กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-01-2009, 16:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default อปจายนมัย

พระอาจารย์เล็ก เทศน์ปีใหม่
วันศุกร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๒
ตอนกราบขอขมาพระรัตนตรัย

...จัดเป็นบุญใหญ่ เป็นบุญในอปจายนมัย การแสดงความนอบน้อมต่อผู้ที่สมควร ถ้าหากว่าเราจะนับกันตามสิ่งที่ได้แสดงออก ก็เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ อปจายนมัย คือความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้เราพบเห็น มีความเย็นตาเย็นใจเกิดขึ้น เกิดความรักความเมตตาต่อผู้ที่แสดงออก เป็นการสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของผู้อื่น ดังนั้นถึงได้เกิดบุญอย่างนี้ขึ้น บางทีเราสงสัยว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ มีอปจายนมัย คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ด้วย ก็เป็นด้วยหลักการทั้งหลายที่ว่ามา


คราวนี้ในส่วนการกล่าวขอขมาต่อพระรัตนตรัย เป็นการที่ได้ปลดเปลื้องกรรมใหญ่ที่ได้สร้างเอาไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กรรมส่วนนี้จะคอยขวางให้การเข้าถึงธรรมของพวกเราช้าลง เพราะว่ากติกาข้อแรกของการเป็นพระอริยเจ้า คือ ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกาย วาจา และใจ ถ้าหากว่าเคยล้วงล้ำก้ำเกินเอาไว้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะคอยขวางอยู่ตลอด โอกาสเข้าถึงมรรคผลจะล่าช้าไป เนิ่นช้าไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำในวันนี้ จัดว่าเป็นบุญใหญ่มาก คือ นอกจากจะเป็น ๑ ใน ๑๐ ของบุญกิริยาวัตถุที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้แล้ว ยังเป็นอนุสสติ คือการระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วย ขณะเดียวกันยังเป็นการตัดกรรมที่เราเคยสร้าง


ถือว่าปีใหม่นี้ เราได้สร้างบุญเป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่ ขึ้นชื่อว่าบุญก็คือความดี ความงาม ความสุข ความฉลาด ที่จะส่งผลดลให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปในอนาคตข้างหน้าของเรา สมเด็จพระสังฆราชญาโณทยมหาเถระ วัดสระเกศ ท่านได้ตรัสเอาไว้ว่า "ตราบใดเรายังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ตราบนั้นบุญยังเป็นความสำคัญ เพราะบุญย่อมส่งวิบาก คือผลที่จะได้รับแต่ในด้านดีอย่างเดียวเท่านั้น"
จะเห็นว่านักปราชญ์ที่สรรเสริญในเรื่องของบุญเรื่องของความดี แม้ว่าในส่วนบุญของเราทำมันเป็นสามิสสุข ก็คือ ความสุขที่ต้องประกอบด้วยอามิส อย่างเช่น เครื่องบูชา ทรัพย์สิน สิ่งของ เป็นต้น แต่ว่าถ้าเราจะไปกล่าวถึง นิรามิสสุข ก็คือ ความสุขที่ปราศจากการอิงอามิส ได้แก่ ความสุขใจที่เกิดจากการประพฤติ การปฏิบัติ อันนั้นก็เป็นคุณที่สูงเกินไป นิรามิสสุข คือความสุขที่ปราศจากอามิส ต้องประกอบไปด้วยพื้นฐานจากสามิสสุข พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าไม่มีฐานก็ไม่มียอด


ปัจจุบันนี้มีผู้รู้จำนวนมาก เขากล่าวว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านสอนให้ยึดติด เช่น ยึดติดในตัวบุคคล ยึดติดในวัตถุมงคล เป็นต้น อาตมาก็อยากทราบเหมือนกันว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น รู้หรือเปล่า ว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อน หรือว่าครูบาอาจารย์ที่อาศัยคำสอนที่เขาว่ายึดติดนั้น มีกุศโลบายอย่างไร ท่านบอกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนเพื่อความหลุดพ้น อาตมาก็อยากรู้ว่าถ้าเด็กมันยังไม่เรียนป.๑ แล้วก็มีผู้รู้มาบอกว่า เรียนปริญญาเอกไปเลย สูงสุดในพระพุทธศาสนา สูงสุดในประเทศของเรา ไม่มีอันไหนดีกว่านี้อีกแล้ว
เด็กกะโปโลที่ ก.ไก่ ยังเขียนไม่ได้ มันจะเรียนได้ไหม?
หรือไม่ก็ชี้ไปบนยอดเจดีย์นู่น ทองคำประดับเพชรด้วย ดีที่สุด แพงที่สุด เด่นที่สุด สร้างด้วยฉัตรยอดทอง ฐานเจดีย์ไม่ต้องหรอก ฉัตรคงจะลอยอยู่ได้...


ถึงได้กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเนื่องถึงกัน ท่านที่รู้จริงจะไม่ปฏิเสธสมมติ แล้วขณะเดียวกันก็ไม่ได้สรรเสริญวิมุตติโดยจุดเดียว อย่าลืมว่าแม้จะเป็นสิ่งสมมติ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสัจจะ คือ ความเป็นจริง ท่านใช้คำว่า สมมติสัจจะ ขณะเดียวกัน บางสิ่งจริงแท้ที่เป็นสภาวะธรรม ท่านก็เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ ในเมื่อมีทั้งส่วนของสมมติและส่วนของปรมัตถ์ คนที่ก้าวล่วงสมมติอย่างแท้จริงจะเห็นคุณค่า จะไม่เหยียบย่ำทำลายสิ่งสมมตินั้น

ตามประวัติหลวงปู่มั่น ที่หลวงตามหาบัวท่านเขียนเอาไว้ ท่านบอกว่าวันที่หลวงปู่มั่นบรรลุธรรม ท่านนั่งกราบกระท่อมที่ท่านทำสมาธิอยู่ กราบแล้วกราบอีก น้ำตาไหลน้ำตาร่วงด้วยความปิติ
เพราะเห็นจริง ๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะหมด กระท่อมหลังนั้น เกิดขึ้น เปลี่ยนไป และกำลังสลายตัวไปเรื่อย ๆ จะพังอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ต้นไม้สัตว์ป่า ก้อนหินทุกก้อนก็เหมือนกัน ตัวของท่านเองกระทั่งจีวร อัฐบริขารต่าง ๆ ก็สภาพเดียวกัน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนในท่ามกลาง และท้ายสุดก็สลายไป กลายเป็นว่าสมมติทั้งหมดกลายเป็นวิมุติ สิ่งสมมติกลายเป็นปรมัตถ์ มันขึ้นอยู่กับสภาวะจิตของเราว่าเข้าถึงระดับไหน

เราจึงต้องอาศัยสมมติเหมือนกับเป็นน้ำที่รองรับเรือ เพื่อที่จะก้าวข้ามวัฏฏสงสารอันกว้างใหญ่ โดยการละชั่ว ทำดี เว้นบาป สร้างบุญไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าบุญมันเต็มจริง ๆ มันจะปล่อยวางของมันเอง ถึงเวลานั้นรู้ว่าอันไหนดีก็ทำ รู้ว่าอันไหนชั่วก็ละ ไม่ติดแล้วทั้งดีทั้งชั่ว ก็แปลว่าเราสามารถที่จะก้าวพ้นไปได้ เพราะไม่มีอะไรยึดเกาะ แต่ถ้าหากว่าเราเองยังมีการแบ่งว่าอันนี้เป็นสมมติ อันนี้เป็นวิมุตติ อันนี้เป็นสมมติสัจจะ อันนี้เป็นปรมัตถสัจจะ แสดงว่าสภาพจิตของเรามันยังก้าวไม่ถึง ความเป็นจริงแท้ ยังมีการแบ่งแยกว่ายังมีเรา ยังมีเขา ก็แปลว่ายังมีตัวตนที่เป็นอัตตาอยู่ เข้าไม่ถึงความเป็นอนัตตาอย่างแท้จริง

ดังนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราสามารถใช้ในการทบทวนตัวเองของเราได้ ดูย้อนหลังการปฏิบัติของเราได้ ว่าที่เราทำมาตั้งแต่จนบัดนี้ จริง ๆ แล้วตอนนี้เราได้อะไรบ้าง อย่าลืมว่า อิทธิบาท ๔ ตัวสุดท้ายสำคัญที่สุด เรามีฉันทะพอใจที่จะทำ ต้องมีแน่นอนไม่งั้นเราไม่หันมาสนใจปฏิบัติหรอก วิริยะเราพากเพียรทำไปแล้ว ท้อถอยบ้างแต่ก็ยังไม่ทิ้ง จิตตะเป้าหมายของเราแน่นอน แต่คลอนแคลนไปตามกระแสของรักโลภโกรธ หลง แต่อย่างไร ๆ เข็มทิศมันเล็งเป้า มันก็เหลือแต่วิมังสา คือตัวไตร่ตรองทบทวน ปัจจุบันนี้แม้แต่บริษัทห้างร้านของเอกชนก็ใช้หลักธรรมข้อนี้อยู่เสมอ ก็คือการสรุปและประเมินผล คือตัววิมังสานี่เอง


เราต้องทบทวนตัวเองอยู่เสมอว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร สิ่งที่เราทำนั้นตอนนี้เราทำได้เท่าไหร่แล้ว ปัจจุบันนี้ยืนอยู่ตรงจุดไหน ทิศทางที่มุ่งไป ยังตรงกับเป้าหมายเดิมหรือไม่ ถ้าเราสามารถทบทวนตรงนี้ไว้เสมอ เราก็แก้ไขจุดบกพร่องที่จะมีจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองได้ แต่ถ้าหากว่าเราขาดตัวทบทวนตัวนี้
ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะมีน้อยเกินไป

ก็เลยถือโอกาสปีใหม่นี้ ที่พวกเราได้มาทำสามีจิกรรม อปจายนมัย ประกอบด้วยบุญใหญ่ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ สรรเสริญไว้ กล่าวให้พวกเราได้ตระหนักว่า สิ่งที่เราทั้งหลายได้ทำนั้นเป็นความดี แต่เป็นความดีระดับไหน เป็นความดีแค่ระดับสมมติสัจจะ หรือเป็นความดีในระดับปรมัตถสัจจะ ขึ้นอยู่กับกำลังของแต่ละคนซึ่งไม่เท่ากัน จะมองเห็นในระดับไหน จะสามารถตะเกียกตะกายก้าวสู่ขึ้นไปในระดับที่สูงหรือไม่นั้น เป็นภาระของแต่ละคน ที่จะได้ทำต่อไปในโอกาสหน้า


ท้ายสุดนี้ อาตมาภาพ ขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีหลวงปู่ปานวัดบางนมโค และหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด ตลอดจนกุศล ผลบุญที่ญาติโยมได้ตั้งใจบำเพ็ญมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เข้ารวมกันเป็นพลวปัจจัย ดลบันดาลให้ทุกท่าน มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังกันทุกประการ เป็นผู้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม ปรารถนาสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัยแล้วไซร้ ขอให้ความปรารถนาทั้งหลาย เหล่านั้น จงสำเร็จ จงสำเร็จ จงสำเร็จ ทุกประการด้วยเทอญ.
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2013 เมื่อ 16:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-06-2013, 11:29
ชยาคมน์'s Avatar
ชยาคมน์ ชยาคมน์ is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Apr 2009
ข้อความ: 222
ได้ให้อนุโมทนา: 21,244
ได้รับอนุโมทนา 155,559 ครั้ง ใน 2,941 โพสต์
ชยาคมน์ is on a distinguished road
Default

กราบขออาราธนาพระธรรมนี้ไปเผยแพร่ในเฟซบุ๊กชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิตดอทคอมครับ
__________________
ร่วมรณรงค์การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง เริ่มต้นได้ด้วยตัวคุณเอง
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชยาคมน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ

Tags
เทศน์ปีใหม่, อปจายนมัย


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:50



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว