#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ทางด้านวัดท่าขนุนของเราก็ดี หรือว่าทางส่วนราชการก็ตาม มีการจัดบำเพ็ญกุศลในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งปีนี้ทรงเจริญพระชนมายุ ๙๑ พรรษาแล้ว "กุศลบารมีใดที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันสร้าง ในการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติตลอด ๓ วันนี้ ขอถวายเป็นพระราชกุศล ขอพระองค์ท่านทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน"
เมื่อครู่นี้ตอนที่พวกเราเลิกจากกรรมฐานแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปตรวจร้านค้าชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน กับตลาดริมแควเมืองท่าขนุน คำถามที่บรรดาเจ้าของร้านค้าถามก็คือ เห็นข้อบกพร่องอะไรบ้างที่ต้องการจะแก้ไข ? ข้อบกพร่องนั้นใหญ่ ๆ เลยก็คือ อันดับแรกก็คือ สินค้าของเรายังไม่หลากหลายและมากพอที่จะบริการต่อนักท่องเที่ยว ประการที่สองก็คือ ร้านค้าหลายรายขาดความอดทน เปิดวันนี้ จำหน่ายไม่ได้ พรุ่งนี้กูก็ปิดร้านแล้ว..! เรื่องของร้านค้าต่าง ๆ นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง อย่างไม่มีก็ ๖ เดือน ๑๐ เดือน เพื่อที่จะให้นักท่องเที่ยวรู้ว่ามีเราอยู่ตรงนั้น เมื่อถึงเวลา เขากลับมาครั้งใหม่จะได้แวะ แต่พอขาดความอดทน ครั้งใหม่เขามาก็ไม่เจออะไรแล้ว ถ้าลักษณะอย่างนั้น คุณไปขายของตลาดนัดเถอะ..! เนื่องเพราะว่าตลาดนัด ส่วนใหญ่ก็คือลูกค้าขาจรทั้งหมด ต่อให้ขายตรงหมู่บ้านนั้นก็มีแค่ลูกค้าขาจร ไม่สามารถนับเป็นลูกค้าประจำได้ ดังนั้น..ในเรื่องของการเปิดร้านค้าชุมชนทั้งสองแห่ง เป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพตั้งใจจะสร้างอาชีพให้แก่ชาวบ้าน เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าชาวบ้านมีกินมีใช้ สภาพครอบครัวก็จะมั่นคง พ่อบ้านก็ไม่ต้องเครียดจนต้องไปพึ่งเหล้าพึ่งยา แม่บ้านก็ไม่ต้องเครียดว่าจะหาเงินให้ลูกพอเรียนหนังสือหรือไม่ เด็ก ๆ ก็ไม่ต้องเครียดว่าเทอมนี้จะมีค่าเทอมหรือเปล่า ? พรุ่งนี้จะมีเงินไปโรงเรียนหรือไม่ ? ซึ่งตรงจุดนี้เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ถ้าจะแก้ที่ต้นเหตุจริง ๆ ก็คือแก้ในเรื่องการศึกษาของเด็ก ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2023 เมื่อ 03:14 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพนั้นสนับสนุนทุนการศึกษาเด็กทุกระดับชั้น ก็คือให้ทุนการศึกษาทุกปี ตอนนี้สามารถให้ได้ครบถ้วนทั้ง ๓๔ โรงเรียนในเขตอำเภอทองผาภูมิตามที่ตั้งใจเอาไว้
ถ้าหากว่าเป็นโรงเรียนประถม จะมอบให้ ๒๐ ทุน ทุนละ ๒,๐๐๐ บาท เท่ากับโรงเรียนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ถ้าเป็นโรงเรียนขยายโอกาสการศึกษา ก็จะมอบทุนชั้นประถม ๒,๐๐๐ บาท ทุนชั้นมัธยม ๓,๐๐๐ บาท โดยให้ทุนประถม ๑๕ ทุน ทุนชั้นมัธยม ๕ ทุน รวมแล้ว ๔๕,๐๐๐ บาท ใช่หรือเปล่า ? คิดนานเกิน..ตกเลขแล้ว..! ถ้าเป็นโรงเรียนมัธยมก็จะให้โรงเรียนละ ๓๐ ทุน ทุนละ ๓,๐๐๐ บาท เท่ากับ ๙๐,๐๐๐ บาท แต่ว่ามีอยู่หนึ่งโรงเรียนที่พิเศษ ก็คือให้กันมานาน ได้แก่ โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา โรงเรียนนี้มีระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพด้วย จึงเพิ่มระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพเข้าไป แม้ว่าจะให้ทุนเท่ากับมัธยมศึกษา แต่กลายเป็น ๔๐ ทุน ก็คือโรงเรียนนี้ได้ไปทั้งสิ้น ๑๒๐,๐๐๐ บาท แล้วเด็กที่จบจากโรงเรียนมัธยมของทองผาภูมิวิทยา สามารถที่จะสอบชิงทุนของทางวัดท่าขนุนได้ทุกปี จะมีทุนสายวิทย์ให้ ๑ ทุน ทุนสายศิลป์ให้ ๑ ทุน ทุนละ ๓๐,๐๐๐ บาท ถ้าคุณสอบได้ มารับปีละ ๓๐,๐๐๐ บาทจนกว่าจะจบหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรทั่วไป ๔ ปี หลักสูตรครุศาสตร์ ๕ ปี หรือว่าหลักสูตรแพทย์ศาสตร์ ๖ ปี ในเรื่องของการให้ทุนการศึกษา ในระดับประถมและมัธยมเราให้กับเด็กดี ก็คือกำหนดกฎเกณฑ์กติกาไปเลยว่า อันดับแรก ต้องมีความประพฤติดี อันดับที่สอง เรียนดี อันดับที่สาม ทางบ้านมีฐานะยากจน มอบให้ทางโรงเรียนคัดสรรกันมา แต่ก็มักจะมีพวก "อยากจน" หลุดมาเสมอ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าโรงเรียนแต่ละแห่ง ไม่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้านหรือว่าตำบลไหน ก็ต้องเกรงใจผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ แม้ว่าเขาจะ "อยากจน" มาก แต่ว่าเด็กที่ยากจนจริง ๆ ก็มีอยู่ จึงพอที่จะอะลุ้มอล่วยกันได้ แต่พอในระดับทุนปริญญาตรี เราให้เด็กเก่ง ก็คือต้องมาแข่งกันสอบชิงทุน เพราะว่าเด็กเก่งโอกาสที่เรียนจบมีสูงกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2023 เมื่อ 03:23 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
อีกส่วนหนึ่งก็ให้ทุนการศึกษาพระภิกษุสามเณรทั้งอำเภอ ใครต้องการเรียน ไม่ว่าจะระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก กระผม/อาตมภาพมีทุนสนับสนุนให้ อย่างปัจจุบันนี้ ระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์มาเปิดห้องเรียนที่อำเภอทองผาภูมิ มีนิสิต ๕๐ กว่ารูป พระครูวิลาศกาญจนธรรมเหมาจ่ายค่าเทอมให้ เทอมหนึ่งประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ บาท เพราะว่าพระภิกษุสามเณรของเราส่วนหนึ่งที่มาบวช ก็เพื่อให้มีโอกาสทางการศึกษา
ถ้าหากว่าเด็กของเรามีการศึกษา สายตาจะกว้างไกลขึ้น การเลือกหนทางชีวิตจะมีมากขึ้น ไม่ใช่จบแค่ชั้น ป.๖ แล้วก็ออกไปเป็นแรงงาน แต่เมื่อเรียนสูงมากขึ้น โอกาสที่จะทำงานดีกว่าเดิม ยกฐานะทั้งตนเองและครอบครัวขึ้นมาได้ ครอบครัวก็จะมั่นคงขึ้น เมื่อหลาย ๆ หมู่บ้านมั่นคงขึ้น ตำบลนั้นก็จะดี หลาย ๆ ตำบลมั่นคง อำเภอนั้นก็จะดี หลาย ๆ อำเภอมั่นคง จังหวัดนั้นก็จะดี หลาย ๆ จังหวัดมั่นคง ประเทศนั้นก็จะดี ในเมื่อเราพยายามแก้ไขตั้งแต่พื้นฐาน เปิดโอกาสให้เด็กมีการศึกษา ในส่วนของผู้ใหญ่ เราก็หาอาชีพการงานให้เขา สนับสนุนในเรื่องใดก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องเปลี่ยนเป็นมูลค่าได้ เปลี่ยนเป็นตัวเงินได้ จึงต้องหาตลาดให้เขาด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วเขาผลิตสินค้าออกมา ไม่สามารถจะจำหน่ายได้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำอะไร อีกส่วนหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ก็ตาม สุขภาพสำคัญที่สุด ต่อให้มีฐานะ มีเงินทองขนาดไหน ถ้าสุขภาพชำรุดก็ยอมจนดีกว่า..! กระผม/อาตมภาพจึงต้องสนับสนุนโรงพยาบาลทุกวิถีทาง หาเครื่องมือแพทย์ให้ สร้างห้องพิเศษให้ สร้างห้องฟอกไต สร้างห้องอภิบาลเด็กทารก สร้างห้องผ่าตัด สร้างยูนิตทันกรรมเคลื่อนที่ ไม่เช่นนั้นแล้วอย่างคนไข้โรคไตของเราต้องวิ่งลงไป ๑๔๐ กิโลเมตรถึงในตัวเมือง แล้วถ้าเตียงไม่ว่าง ก็ฟอกไตไม่ได้ ตะกายกลับมาอีก ๑๔๐ กิโลเมตร จะตายกลางทางเสียก่อน..! อาตมภาพจึงสร้างหน่วยไตเทียมตามภาษาทางการแพทย์ ก็คือห้องฟอกไต จำนวน ๑๒ ยูนิตให้ แต่ตอนนี้มีแค่ ๗ เตียง ถ้าถามว่าแล้วอีก ๕ เตียงไปไหน ? ยังหาคนดูแลไม่ได้ เพราะว่าคนไข้ ๑ คนต้องมีพยาบาลชำนาญการในด้านนี้ ๑ คน เราต้องรอเขาอบรมบุคลากรให้สำเร็จก่อน ถึงจะเพิ่มเตียงให้ได้ แล้วเตียงก็ไม่ได้สำคัญ แต่สำคัญที่เครื่องมือในการฟอกไต
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2023 เมื่อ 03:26 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ระยะแรกเขาเสนอมา ราคาประมาณชุดละ ๖ แสนบาท ฟอกไตทีหนึ่งหมดสภาพ นอนแผ่ไป ๒ วัน ทางด้านผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ คือหมอนุ้ย (แพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี) บอกว่า "หลวงพ่อคะ..มีชุดฟอกไตที่ราคาแพงมาก ก็คือตกราคาประมาณ ๙ แสนกว่าถึง ๑ ล้านบาท แต่ฟอกไตเสร็จแล้ว คนไข้สามารถทำงานต่อได้เลย" กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ไม่ใช่ปัญหา ยกมาได้เลย ทางวัดพร้อมจ่ายให้"
โรงพยาบาลได้หมอผ่าตัดมา ศัลยแพทย์หายากมาก แต่มาแล้วไม่มีห้องผ่าตัด ขาดห้องปลอดเชื้อ ขาดเครื่องมือแพทย์ บอกเขาไปว่า "คุณไปทำเอกสารมา ต้องใช้เงินเท่าไร" เขาลงรายละเอียดมาทั้งหมด ๔ ล้านกว่าบาท กระผม/อาตมภาพบอกว่า "เอาเงินไปจัดการสร้างเลย" ทุกวันนี้คนไข้ทางด้านล่าง ถ้าหากว่าล้นโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา เขาก็จะมาขอฟอกไตที่โรงพยาบาลทองผาภูมิ มาขอผ่าตัดที่โรงพยาบาลทองผาภูมิ ในเมื่อไม่ต้องห่วงใยกังวลในเรื่องของสุขภาพ ครอบครัวก็ไม่เครียด เข้าวัดปฏิบัติธรรมได้ กว่าจะมาถึงวัด กูหมดไปกี่ร้อยล้านก็ไม่รู้..?! แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะว่าถ้าหากว่าเราทำแบบนี้ได้ พื้นฐานของสังคมในของชุมชนของเราจะหนาแน่นมั่นคงมาก เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคมที่ผ่านมา คุณศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม มาตรวจประเมินชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน ว่าสมควรจะได้เป็น ๑๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมหรือไม่ ? เพราะว่าเราฝ่าฟันจาก ๘,๐๐๐ กว่าชุมชนขึ้นมา เป็น ๑๐๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรม เป็น ๓๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรม เป็น ๒๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรม ปัจจุบันนี้รออย่างเดียวว่าผลการประเมินจะทำให้เราติด ๑ ใน ๑๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมของประเทศหรือไม่ ? สิ่งที่ท่านผู้ตรวจฯ บอกไว้ก็คือชุมชนนี้เข้มแข็งมาก เพราะว่าทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน วัด โรงเรียน ส่วนราชการ ร่วมมือกันเป็นอย่างดี บอกอะไรคำเดียว ทุกคนหันไปด้านเดียวกันหมด แต่สิ่งที่กระผม/อาตมภาพหวั่นใจอยู่ก็คือว่า ทุกวันนี้ข้อกลางที่ประสานบ้าน วัด โรงเรียน และส่วนราชการอยู่ก็คือเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จึงต้องพยายามวางพื้นฐานด้วยการจัดตั้งจัดสร้างอะไรก็ตาม จะตั้งคณะกรรมการให้เขาบริหารกันเองด้วย ไอ้คนไหนมาถามบ่อย ๆ ว่าเรื่องนี้ต้องทำอย่างไร ก็ "โบก" กบาลไป..! ให้คุณตัดสินใจแล้วก็ไปทำเอง ทำถูกก็ได้กำไร ทำผิดก็ได้บทเรียน จะได้รู้ว่าคราวหน้าควรตัดสินใจอย่างไร ถ้าหากว่าเขาสามารถบริหารได้คล่องตัว ต่อไปไม่ต้องมีเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เขาก็จะอยู่กันได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2023 เมื่อ 03:29 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
นี่คือลักษณะของการทำงานเพื่อส่วนรวมจริง ๆ ที่องค์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำให้พวกเราได้เห็นอยู่ตลอดเวลา ๗๐ ปีที่พระองค์ครองราชย์ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก็ทรงงานเคียงข้างในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาตลอด
แล้วสิ่งที่ถ่ายทอดสืบมาถึงในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าใช้คำพูดชาวบ้านก็คือ "โคตรฉลาด" รู้ว่าทำงานอย่างไรก็ไม่มีทางพ้นเงาของพ่อได้ พ่อมีเวลาทำงานถึง ๗๐ ปี ภาพจำอยู่ในใจของชาวบ้านฝังลึกเกินกว่าที่จะไปทำงานแล้วได้รับการยอมรับแทน พระองค์ท่านจึงใช้วิธีปิดทองหลังพระ "สืบสาน รักษาและต่อยอด" ตามปฐมบรมราชโองการ ที่ให้ไว้ในวันบรมราชาภิเษก ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ท่านทำ ผลประโยชน์ตกแก่ชาวบ้านโดยที่ชาวบ้านไม่รู้ตัว อาเซียน ๑๐ ประเทศเป็นหนี้ต่างประเทศล้นพ้นตัว ประเทศไทยประเทศเดียวไม่เป็นหนี้ เนื่องเพราะว่าพอพระองค์ขึ้นครองราชย์ ไม่ยอมให้รัฐบาลกู้เงิน อยากได้เงินเท่าไรมาเอาที่พระองค์ท่าน พวกเรารู้หรือไม่ว่างบประมาณแผ่นดินที่ใช้ ๆ กันอยู่เป็นเงินของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ กว่าล้านบาท หลายคนที่สงสัยว่า ถึงเวลาก็โดยเสด็จพระราชกุศล โดยเสด็จพระราชกุศล แล้วเงินไปไหน ? ประเทศไทยเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาดหลายระลอก แม้ว่าอาตมภาพจะรอดมาแล้ว ๙ ระลอกก็ตาม แต่ก็มีคนตาย คนป่วยจำนวนมาก แต่พอเทียบเปอร์เซ็นต์กับต่างประเทศแล้ว ของเราคนตายน้อยมาก แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดจากการที่ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ พระราชทานพระราชทรัพย์ให้ทางแพทย์ จัดหาเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ในการช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ท่าน นี่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นที่กระผม/อาตมภาพกล่าวถึง เพราะว่าวันนี้เป็นวันแม่ สมเด็จพระพันปีหลวงเป็นแม่ที่อบรมลูกได้ดีมาก ๆ จนกระทั่งลูกแต่ละพระองค์ทรงงานอย่างชนิดไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี หรือว่าสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน นั่นก็ทรงงานจนกระทั่งสุขภาพชำรุด นอนโรงพยาบาลยาวมาแล้ว แม้กระทั่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ก็ทรงงานจนสุขภาพชำรุด นอนโรงพยาบาลแทนบ้านมาแล้ว..! นี่คือสิ่งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทำเพื่อพวกเรา เราแค่ทำตัวให้เป็นพสกนิกรที่ดี ขอให้ดีอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ดีเฉพาะวันแม่ ไม่ใช่ดีเฉพาะวันพ่อ ไม่ใช่ดีเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา ขอให้คุณงามความดีนั้นดีออกมาจากใจที่เสียสละเพื่อส่วนรวมมากกว่าตนเอง ก็จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา มีกำลังพระทัยที่อยากจะช่วยเหลือประชาชนกันต่อไป ใช้เวลาวันแม่มามากพอแล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2023 เมื่อ 03:33 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|