|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
|||
|
|||
ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์
ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ ใจ นั้นแลเป็นผู้จะก้าวทะยาน ออกจากมหาสมมุติมหานิยมอันเป็นเครื่องดึงดูดจิต สู่อวกาศนอกสมมุติคือ วิมุตติหลุดพ้น ๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๕ หมายเหตุ.... ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปนะคะ (เป็นความเห็นส่วนตัว ท่านใดที่ประสงค์จะคัดลอกออกไป ต้นฉบับเขามีอยู่ กรุณาไปคัดลอกที่ต้นฉบับค่ะ) |
สมาชิก 248 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
|||
|
|||
ภาพประกอบ โดยคุณอาสวะ ผู้ประสานงาน โดยคุณโอรสทศพล พิมพ์ธรรมทาน โดยลัก...ยิ้ม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 11-04-2012 เมื่อ 09:31 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
|||
|
|||
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 10-04-2012 เมื่อ 11:01 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
|||
|
|||
|
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
|||
|
|||
|
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
|||
|
|||
|
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
|||
|
|||
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อความทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมปนฺโน) อายุ ๙๗ ปี พรรษา ๗๗ ปี เจ้าอาวาสวัดเกษรศีลคุณ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มรณภาพเนื่องจากปอดอักเสบ ณ กุฏิวัดเกษรศีลคุณ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดฺอุดรธานี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๓.๕๓ น. สมเด็จบรมพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ พร้อมเครื่องเกียรติยศประกอบศพ ณ ศาลาการเปรียญวัดเกษรศีลคุณ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานไตรครอง โกศโถ ฉัตรเบญจาตั้งประดับ ปี่ กลองชนะ ประโคมเวลาพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ และทรงรับศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด การนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ไปในการพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ ๑๐ รูปบังสุกุล แล้วทรงเชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ วางที่หน้าโกศศพ วันศุกร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. เชิญหีบศพตั้งบนจิตกาธาน วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๗.๐๐ น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานพระราชานุญาต ในการถ่ายทอดสดพิธีพระราชทานเพลิงศพ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วันอาทิตย์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๖.๐๐ น. พระราชทานผ้าไตรในการเก็บอัฐิ นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นหาที่สุดมิได้แก่พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) คณะสงฆ์วัดเกษรศีลคุณ ศิษยานุศิษย์ และญาติมิตรของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่งนี้ตลอดไป ขอถวายพระพร (พระสุดใจ ทนฺตมโน)
เจ้าอาวาสวัดเกษรศีลคุณ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2012 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
|||
|
|||
พระวรธรรมคติ สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท สุขา สทฺธมฺมเทสนา สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี สมคฺคานํ ตโป สุโข ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายให้เกิดสุข การแสดงสัจธรรมให้เกิดสุข ความพร้อมเพรียงของหมู่ให้เกิดสุข ความเพียรของผู้พร้อมเพรียงกันให้เกิดสุข การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในโลกเป็นการยากยิ่ง เพราะเมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้วได้ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง แล้วทรงมีพระมหากรุณาสั่งสอน บัญญัติพระธรรมวินัยแก่โลก เพื่อความสันติสุข ทรงประทานอริยวงศ์ที่สืบสานต่อกันมาเป็นพุทธวิถีไว้ในโลก พระธรรมวินัย เป็นสัจธรรมที่บริบูรณ์ด้วยพระปริยัติธรรม พระปฏิบัติธรรม และพระปฏิเวธธรรม เพื่อให้พุทธบริษัทสี่ได้ศึกษาประพฤติปฏิบัติตามแล้ว ทำให้เกิดสุข เกิดมรรคผลไปตามลำดับ จนถึงที่สุดคือพระนิพพาน พุทธบริษัทสี่เมื่อได้ศึกษาประพฤติปฏิบัติตามแนวทางแห่งสัมมาปฏิบัติ ซึ่งสรุปลงในศีล สมาธิ ปัญญา ให้ถึงพร้อมย่อมบังเกิดผลให้เกิดสุข ทั้งตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ บรรพบุรุษไทยนับแต่องค์พระมหากษัตริย์เป็นต้นมา กอปรด้วยสติปัญญา มองเห็นการณ์ไกล จึงได้รับพระพุทธศาสนามาประดิษฐานไว้ในแผ่นดินไทย จนเป็นวิถีไทย ชีวิตไทย เมื่อยุคสมัยใดเกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง พระมหาเถระสำคัญในพระพุทธศาสนา ย่อมมีบทบาทในการแก้ปัญหาให้แก่ชาติบ้านเมือง เกื้อหนุนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ดำรงคงเป็นปกติ ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ชาติไทย ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ก็มีพระมหาเถระสำคัญ เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เป็นต้น ต่อมาในปัจจุบันนี้ เมื่อชาติบ้านเมืองเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) พระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสี พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ก็ได้มีบทบาทที่โดดเด่นในการช่วยแก้วิกฤตดังกล่าว โดยออกเผยแผ่แสดงพระธรรมเทศนาตามสถานที่ต่าง ๆ เกือบทั่วประเทศ และเผยแผ่พระธรรมเทศนานั้นทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน ทางโทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ชี้ชวนให้เกิดความพร้อมเพรียงสามัคคี เสียสละเงินทองค้ำจุนประเทศชาติได้อย่างมหาศาล ดังนั้น พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามมหาบัว ญาณสฺปนฺโน) จึงเป็นพระมหาเถรที่ประพฤติปฏิบัติตนได้บริบูรณ์ตามพุทธโอวาทว่า จงทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด จึงสมควรที่พุทธบริษัทจะน้อมรำลึก น้อมนำมาเป็นแบบอย่างที่ดี ตามพุทธประเพณีที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องสรรเสริญผู้ถึงพร้อมด้วยภูมิจิตภูมิธรรม พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามมหาบัว ญาณสฺปนฺโน) เป็นพระเถระรูปหนึ่งที่ได้แสดงภูมิจิตภูมิธรรมอันสูงส่งดังเป็นที่ประจักษ์แก่พุทธบริษัทโดยทั่วกัน ขอให้พุทธบริษัทสี่ได้พึงสำเหนียกศึกษาแนวทางการปฏิบัติอันดีงาม น้อมนำเอามาเป็นแบบแผนแบบอย่างเพื่อเผยแผ่ เพื่ออนุชนพุทธบริษัทรุ่นหลังได้รำลึกสืบสานอริยวงศ์ของพระพุทธเจ้า ให้เจริญไพบูลย์เพื่อความสามัคคีความสุขในหมู่ชนสืบไป. (สมเด็จพระญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหาร
|
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
|||
|
|||
พระนิพนธ์ไว้อาลัยแด่ องค์หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน หลวงตามหาบัว... ท่านพ่อมหาบัวของลูก ท่านพ่อเป็นอริยบุคคลที่ลูกรักและเทิดทูนมาตลอด ถ้าจะถามกันว่าลูกรู้จักท่านพ่อมานานหรือยัง... ก็คงต้องตอบว่านานมากกว่าสี่สิบปีแล้ว ลูกก็ได้ยินชื่อเสียงของท่านพ่อว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ท่านพ่อเป็นพระที่เคร่ง และเป็นสายปฏิบัติ เป็นที่นับถือของชาวอีสานและประชาชนคนไทย ตอนลูกอายุได้ ๑๗-๑๘ ปี ลูกได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถไปกราบท่านพ่อ... ตอนนั้นก็แค่ได้ขึ้นไปกราบ กราบเสร็จแล้วก็ต้องลงมารอข้างล่าง (ใต้ถุนกุฏิ เพราะในช่วงนั้นยังถือว่าเป็นเด็ก ๆ อยู่) ลูกมาได้กราบท่านพ่อและฟังธรรมจริง ๆ ก็ราว ๆ ปี ๒๕๓๘ ซึ่งตอนนั้นลูกกำลังทุกข์ทั้งทางกายและทางใจจนซึมเศร้า ต้องเข้าโรงพยาบาลวิชัยยุทธอยู่เป็นเดือน ๆ ตอนนั้นลูกไม่พูดเลย เพราะไม่อยากพูด จนแพทย์ พยาบาลวิตก ประกอบกับลูกมีอาการเบื่ออาหารและผอมลง ๆ จนน้ำหนักเหลือ ๓๗ กิโลกรัม ทุก ๆ คนที่ดูแลลูก (แพทย์ พยาบาล มิตรสหายตลอดจนข้าราชบริพาร) พากันกังวล ทุกคนก็พยายามที่จะหาทางให้ลูกสบายใจ โดยหาญาติพี่น้องมาคุยด้วย เมื่อไม่ได้ผลก็พากันนิมนต์พระหลายรูปมาแสดงธรรมให้ลูกฟัง... แต่ก็ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ จึงมีคนรู้จักท่านหนึ่งมาแนะนำกับผู้หลักผู้ใหญ่ของลูกว่า “นิมนต์หลวงตามหาบัวซิ” ก็มีแพทย์ท่านหนึ่งแย้งขึ้นมาว่า “หลวงตามหาบัวนะหรือจะมา ออกจากวัดท่านยังไม่ค่อยออกมาเลย แล้วจะให้ท่านนั่งเครื่องบินมาถึงกรุงเทพฯ คงเป็นไปไม่ได้” (ช่วงนั้นท่านพ่อมักจะอบรมพระ และอุบาสก อุบาสิกาอยู่ในวัดเป็นส่วนใหญ่) แพทย์ท่านนั้นพูดไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และพยาบาลที่รับโทรศัพท์ก็บอกว่าทางวัดป่าบ้านตาดแจ้งมาว่า ท่านพ่อจะมาเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาล... แค่ได้ฟังข่าวว่าท่านพ่อจะมาเยี่ยมลูก ลูกก็ปลื้มมากจนสุดจะบรรยาย คิดอยู่ในใจว่าเป็นบุญของลูกเหลือหลายที่ท่านพ่อจะมาโปรดลูก เมื่อได้กราบท่านพ่อ ลูกก็เสมือนหายป่วยไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ครั้นได้ฟังธรรมของท่านพ่อ ใจอันมืดมิดของลูกก็สว่างไสวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ท่านพ่อสอนลูกในตอนนั้นว่า อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ เพราะฉะนั้นควรปล่อยวาง ไม่ควรเก็บไว้ให้ใจทุกข์เปล่า ๆ อนาคตก็ยังมาไม่ถึงไม่ควรคาดเดาหรือจินตนาการไปให้จิตฟุ้งซ่าน ซึ่งเมื่อจิตฟุ้งซ่านแล้วก็จะเกิดทุกข์ได้เหมือนกัน ท่านพ่อสอนว่า “จงอยู่ในปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตย่อมจะดีตามมา” หลังจากจบการแสดงธรรมโปรดลูก ลูกรู้สึกซาบซึ้ง และศรัทธาท่านพ่ออย่างสุดจะบรรยาย จึงได้กราบขอเป็นลูกศิษย์ ซึ่งลูกก็ได้ยินท่านกล่าวว่า “รับ ด้วยความยินดี” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2012 เมื่อ 10:34 |
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
|||
|
|||
หลังจากนั้น จิตใจลูกก็สบาย ปลอดโปร่ง อาการเจ็บป่วยก็หายวันหายคืนจนออกจากโรงพยาบาลได้ หลังจากออกจากโรงพยาบาล ลูกก็นึกอยากตามขึ้นไปกราบท่านพ่อที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี แต่ในช่วงแรก ๆ ที่ขึ้นไปวัดป่าบ้านตาด ลูกต้องยอมรับว่ากลัว ๆ กล้า ๆ เพราะเคยได้ยินมาว่าท่านพ่อดุ... จริง ๆ แล้ว ลูกมาทราบหลังจากที่ลูกได้กราบท่านพ่ออย่างสม่ำเสมอว่า ท่านพ่อไม่ดุเลย แต่กลับเมตตาลูกเสมือนลูกเหมือนหลานแท้ ๆ ตอนคิดว่าท่านพ่อดุ ลูกก็เลยไม่กล้าขึ้นไปคนเดียว แต่ชวน ฯพณฯ องคมนตรี เชาวน์ ณ ศีลวันต์ (ซึ่งเป็นสามีของคุณหญิงไขศรี ณ ศีลวันต์ อาจารย์คณิตศาสตร์ของลูก) ซึ่งท่านก็เป็นศิษย์ของท่านพ่ออยู่แล้ว ไปเป็นเพื่อนฟังธรรมด้วย อะไรที่ลูกไม่กล้าพูดไม่กล้าถามในตอนต้น ๆ ท่านองค์มนตรีก็ช่วยกรุณาถามนำ เพื่อให้ลูกกล้าพูดกล้าถามด้วยตนเอง
ตอนลูกมาเป็นศิษย์ท่านพ่อใหม่ ๆ ท่านพ่อ... ดูแลทุกด้าน นอกจากสอนธรรมะให้ลูกแล้ว ท่านพ่อยังดูแลเอาใจใส่แม้ในด้านสุขภาพของลูก อาทิเช่น ท่านพ่อเห็นลูกผอมมากถึงเวลาท่านพ่อฉันตอนเช้า ท่านพ่อก็ให้ลูกนั่งรับประทานอยู่หลังเสาที่ท่านพ่อนั่งอยู่ (ตอนนั้นศาลาวัดป่าบ้านตาดยังมีเพียงชั้นเดียว) ท่านพ่อจะหันมาถามลูกว่า “ทานข้าวหรือเปล่า” ลูกก็ตอบไปว่า “ทานเจ้าค่ะ” ท่านพ่อก็ถามต่อว่า “ที่ว่าทานน่ะ ทานข้าวกี่เม็ดหรือกี่ช้อน” อันนี้แสดงถึงความเมตตาเอาใจใส่ลูก แม้ประเด็นเล็กประเด็นน้อย นอกจากนั้น ตอนเป็นศิษย์ท่านพ่อเดือนแรก ๆ ลูกยังงอแงอยู่มาก มีเรื่องอะไรกระทบใจเข้าก็มาร้องไห้ไปเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ท่านพ่อฟังไป ท่านพ่อก็สอนว่า “ทูลกระหม่อมลูก น้ำตาเป็นของมีค่า ควรให้ไหลออกมาด้วยความปีติ ไม่ใช่ความโศกเศร้า” (หลังจากมาเป็นศิษย์ท่านพ่อไม่นาน ท่านพ่อก็เมตตารับลูกเป็นลูกบุญธรรม) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 12-04-2012 เมื่อ 10:22 |
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
|||
|
|||
ปีแรกของการเป็นลูกศิษย์ ท่านพ่อบอกให้ลูกนอนโรงแรมซึ่งขณะนั้นชื่อโรงแรมเจริญศรี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Centara) เพราะท่านพ่อเป็นห่วงว่าลูกจะไม่คุ้นเคยกับชีวิต “ชาววัดป่า” แล้วตี ๕ กว่า ๆ ลูกก็จะเดินทางออกจากโรงแรมมาคอยใส่บาตรอยู่หน้าวัด พอใส่บาตรเสร็จก็เดินไปที่ศาลา ก่อนฉันท่านพ่อก็จะ “ให้พร” และหลังจากนั้นท่านพ่อและพระในวัดก็จะฉันพร้อมกัน ลูกก็ได้รับข้าวก้นบาตรท่านพ่อทุกครั้ง หลังจากนั้นแล้ว ท่านพ่อก็จะเทศน์โปรดญาติโยมที่มาทำบุญ ท้ายสุดท่านพ่อก็จะให้พรอีกครั้ง แล้วลูกก็จะกลับไปพักชั่วคราวที่โรงแรม
และจะย้อนกลับเข้ามาที่วัดอีกทีช่วงราว ๆ บ่ายสองโมง ลูกก็จะเข้ามาสนทนาธรรมกับท่านพ่อ และเรียนที่จะภาวนา การภาวนานั้นลูกรู้สึกว่ายากมากในตอนต้น ๆ คิด ๆ แล้วลูกก็ขำตัวเอง เพราะขนาดทั้งกำหนดลมหายใจเข้า-ออกแล้ว ยังมีคำบริกรรมกำกับก็ยังไม่วาย จิตแล่นไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ ลูกเลยต้องค่อย ๆ หัด เริ่มจาก ๑๐ นาทีก่อน แต่ลูกก็ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองโดยใน ๑๐ นาทีนั้น ลูกก็จะท่องแต่คำบริกรรม...กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออกอย่างเคร่งครัด มาหลัง ๆ ลูกก็สามารถภาวนาติดต่อกันได้ถึง ๕๐ นาที แต่กระนั้นช่วงแรก ๆ เพราะความช่างสงสัยของลูก ลูกเคยถามท่านพ่อว่า “ทำไมลูกภาวนาแล้ว ลูกไม่เห็นสวรรค์ เห็นเทวดาฯ บ้างเลย ลูกเคยได้ยินว่าคนอื่น ๆ เขาว่าเขาเห็นกัน” จำได้เลยว่า ตอนนั้นท่านพ่อหัวเราะ และถามลูกว่า “อยากเห็นนักเหรอ” ลูกก็บอกว่า “เปล่า” และท่านพ่อก็สอนว่า ไม่เห็นน่ะดีแล้ว เพราะจุดประสงค์ของการภาวนาก็คือ ทำให้จิตรวมเกิดความสงบ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดปัญญา ท่านพ่อบอกว่า ถ้าคนภาวนาแล้วเห็นนรก สวรรค์ เทวดา ภูตผี ก็อาจจะทำให้หลงเพลิดเพลินติดไปกับสิ่งที่ตนเองเห็น ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่ทางสงบได้ ปีต่อ ๆ มา ท่านพ่อให้ลูกเข้ามาอยู่ในวัด ลูกก็ไปอยู่ที่กุฏิและภาวนาตามที่ท่านพ่อสอน เป็นความรู้สึกส่วนตัวของลูกว่า ภาวนาที่วัดป่าบ้านตาดแล้ว จิตลูกรวมเร็ว สงบเร็ว นิ่งเร็วกว่าภาวนาที่บ้านหรือโรงแรม คำสอนของท่านพ่อทุกคำลูกจดจำเสมอ คำสอนที่ลูกซาบซึ้งมากที่สุด คือ ท่านพ่อสอนลูกว่า ทุกอย่างสำคัญที่ใจ ชีวิตนี้มีใจเป็นประธาน ถ้าใจเราดีแล้วทุกอย่างจะดีตาม ดังนั้นลูกจึงพยายามทำใจให้ดีอยู่เสมอ ทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ไร้ตะกอน หรือความขุ่นข้องหมองใจ นอกจากนั้น ท่านพ่อสอนให้ลูกรู้จักการให้อภัยแก่คนที่ปฏิบัติต่อลูกไม่ดี ท่านพ่อสอนว่า ทานอะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าอภัยทาน ท่านพ่อสอนลูกให้เข้มแข็งดุจหินผา ไม่ให้อะไรมากระทบใจแล้วเป็นทุกข์ แต่ในขณะเดียวกัน ท่านพ่อก็สอนให้ลูกอ่อนโยนเหมือนต้นอ้อลู่ลมกับคนที่แวดล้อม ท่านพ่อสอนให้ลูกละโทสะ (ซึ่งแต่ก่อนลูกมีมาก) และให้รู้จักปล่อยวาง ท่านพ่อยังอธิบายอีกด้วยว่า การปล่อยวาง ไม่ใช่ปล่อยวางไปเฉย ๆ โดยไม่พิจารณาความถูกต้อง ทุกอย่างต้องผ่านการพิจารณาก่อน ถ้าเราเป็นฝ่ายผิดก็ต้องปรับแก้ไขตนเองแล้วจึงปล่อยวาง ถ้าเราพิจารณาแล้วว่า สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ถูกก็ปล่อยวาง “สิ่งกระทบ” นั้นไปเลย การได้รับการอบรมช่วงนี้จากท่านพ่อ ส่งผลทำให้ลูกมีสุขภาพดีขึ้น โรคบางโรค เช่น โรคนอนไม่หลับก็หายไปเลย เพราะจิตลูกนิ่งสงบ ไม่ฟุ้งซ่านอย่างแต่ก่อน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 12-04-2012 เมื่อ 17:28 |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
|||
|
|||
สิ่งที่ท่านพ่อเน้นสอนลูกอีกเรื่อง คือเรื่องความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ท่านพ่อว่า พ่อแม่เลี้ยงเรามายากลำบากนัก เราฉี่ เราอึใส่ตักพ่อแม่ ท่านก็ยังไม่เคยว่า คอยเช็ดคอยล้างให้ แล้วแค่พ่อแม่ตักเตือนจะมีปฏิกิริยาอะไรหนักหนา ไม่ได้นะ ถ้ากตัญญูไม่ได้ก็ไปเกิดเป็นลูกแมงป่องซะ
ท่านพ่อย้ำสอนให้ลูกมีสติทุกขณะจิต เพราะท่านพ่อสอนว่า คนเราถ้าขาดสติแล้ว ก็จะทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร นอกจากนั้น ท่านพ่อสอนว่า เวลาภาวนาก็ต้องใช้สติกำกับ เพื่อจะป้องกันการหลุดจากการกำหนดลมหายใจ และคำบริกรรมอีกด้วย คำสั่งสอนของท่านพ่อลูกจดจำ และพยายามปฏิบัติตามอย่างเต็มความสามารถ ทำให้ลูกของท่านพ่อในวันนี้ เป็นคนเข้มแข็งขึ้น มีความสุขขึ้น มีความอดทน อดกลั้น มีความสุขุม เยือกเย็น สามารถสู้กับโลกมนุษย์ที่มีแต่ความทุกข์ ความเศร้า การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความอิจฉาริษยา ฯลฯ ได้อย่างไม่ทุกข์จนเกินไป ลูกเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับในอดีต ท่านพ่อเป็นผู้ชุบชีวิตให้ลูก ให้ลูกกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิมมากมายนัก เรื่องที่ลูกกล่าวมาถึงช่วงนี้ เป็นเพียงเรื่องที่ท่านพ่อเมตตาลูก ทำให้ลูกในฐานะศิษย์คนหนึ่ง แต่พระคุณของท่านพ่อนั้นครอบคลุมไปถึงการที่ท่านพ่อเป็นห่วงประเทศชาติ ในปี ๒๕๔๐ ประเทศไทยอยู่ในภาวะติดหนี้ติดสินเป็นอันมาก มองไปแล้ว ดูอนาคตของเมืองไทยจะมืดมน นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า เมืองไทยคงต้องก้มหน้าก้มตาใช้หนี้กันไปหลายสิบปี ตอนนั้นท่านพ่อมีความห่วงใยประเทศชาติและประชาชนคนไทย จึงได้จัดให้มีการทำผ้าป่าช่วยชาติ ซึ่งในการนี้ทำให้ท่านพ่อต้องเดินทางไปแทบทุกจังหวัดในประเทศไทย รับบริจาคเงินและทองคำ ต้องเทศน์โปรดประชาชนและได้สอนว่า ทองอยู่บนตัวญาติโยม ก็ยังไม่งามสง่าเท่ากับอยู่ในคลังหลวง ตอนที่ท่านพ่อเริ่มโครงการผ้าป่าช่วยชาติ ท่านพ่อก็อายุ ๘๐ กว่าแล้ว แต่ท่านก็ยังปฏิบัติภารกิจในการทำผ้าป่าช่วยชาติ อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ลูกเคยตามท่านพ่อไปในครั้งที่ท่านพ่อทำผ้าป่าช่วยชาติในภาคกลาง ลูกเองอายุยังน้อยกว่าท่านพ่อมาก ก็ยังรู้สึกเหนื่อย แต่ท่านพ่อยังคงนั่งเทศน์อบรมประชาชนทีละ ๔๕ นาทีเป็นอย่างน้อย และอย่างมากก็ชั่วโมงครึ่ง ท่านพ่อทำเช่นนี้ไปทุก ๆ ภาค ทำให้ได้ทองเข้าคลังหลวงถึง ๑๒ ตัน (ก่อนที่จะอาพาธหนัก แต่ดูจากการบริจาคทองคำถวายท่านพ่อเพื่อนำเข้าคลังหลวง ตอนท่านพ่อละสังขาร น่าจะได้ทองคำเข้าคลังหลวงรวมทั้งหมด ๑๓ ตัน) และหนี้สินที่เป็นเงินสกุล Dollar ก็รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา และนำไปใช้หนี้เรียบร้อย เท่ากับประเทศไทยได้เป็นไทแก่ตัว และทำให้คนไทยทุกคนมีศักดิ์ศรีขึ้นมา |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
|||
|
|||
ท่านพ่อไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย ไม่เคยหวังอยากได้โน่นได้นี่ เงินบริจาคที่ญาติโยมบริจาคก็นำไปช่วยคน เช่น นำอาหารไปให้หมู่บ้านที่ขาดแคลน ยากจน และได้สร้างโรงพยาบาลอีกด้วย ท่านพ่อบอกว่าวัดนี้ (วัดป่าบ้านตาด) อยู่อย่างพอเพียง ไม่ต้องการความหรูหราหรือฟุ้งเฟ้อ ทุกอย่างท่านพ่อทำเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชนจริง ๆ ความจริงท่านพ่อไม่ได้สงเคราะห์เฉพาะคนไทย คนในประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ช่วยเหลือมาตลอด และที่สำคัญท่านพ่อทำทุก ๆ อย่างแบบปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง
แม้ ณ วันนี้ ท่านพ่อได้ละสังขารไปแล้ว แต่ท่านพ่อจะสถิตอยู่ในดวงใจของลูก และดวงใจของคนไทยทั้งประเทศ และลูกเชื่อว่าเมตตาบารมีของท่านพ่อจะคุ้มครองลูก คุ้มครองปวงประชาชนคนไทยตลอด จนคุ้มครองประเทศไทยให้มั่นคง และมีความร่มเย็นเป็นสุข สำหรับลูก ลูกให้สัญญากับท่านพ่อว่า จะนำคำสั่งสอนของท่านพ่อที่จารึกอยู่ในใจของลูกมาปฏิบัติ เพื่อให้ลูกเข้าสู่ทางสว่างอย่างแท้จริง “... คือ ความเย็น ชื่นฉ่ำ ของสายน้ำ คือ ร่มเงา ลึกล้ำ ของพฤกษา คือ ความสงบ แน่วนิ่ง ของวิญญาณ์ คือ ดวงแก้ว ล้ำค่า อยู่กลางใจ” ท่านพ่อจะอยู่ในดวงใจของลูกชั่วกาลนาน กราบเท้าท่านพ่อด้วยความระลึกถึงและเทิดทูนอย่างที่สุด จุฬาภรณ์ (ลูกของท่านพ่อ)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 20-04-2012 เมื่อ 01:35 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
|||
|
|||
คำระลึกถึง อาตมภาพมีความคุ้นเคยนับถือกันกับหลวงตามหาบัว ตั้งแต่คราวไปพักที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒-๘๓ สมัยนั้นหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ไปเรียนนักธรรมเอก และบาลีประโยค ๓ ที่วัดเจดีย์หลวง วันหนึ่งได้ขึ้นไปกุฏิหลังพระเทพโมลี (พิมพ์ ธมฺมธโร) แล้วก็เห็นพระบัว ญาณสมฺปนฺโน นอนอยู่ ไม่มีมุ้งกลด ต้องนอนตากยุง อาตมภาพได้ถวายมุ้งหลังหนึ่ง ก็รู้จักมักคุ้นกันมาแต่นั้น ท่านเป็นผู้ที่มีความตั้งมั่นในการศึกษาพระปริยัติธรรม จะเอาเพียงนักธรรมเอกและประโยค ๓ ต่อจากนั้นไปก็จะออกปฏิบัติกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งไปอยู่ศึกษาอบรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ๘ ปี จนได้หลักจิตหลักใจ แล้วมาตั้งวัดป่าบ้านตาด แนะนำสั่งสอนพระเณรและประชาชนจนมีลูกศิษย์ลูกหา เป็นที่เคารพนับถือเลื่อมใสของประชาชนทั่วประเทศ แม้แต่อาตมภาพขณะใดจิตไม่สงบดับจากกิเลส ก็มาปรึกษาหารือกับหลวงตามมหาบัว ท่านก็แนะนำ อันนี้เนื่องจากบุญเก่าได้บันดาลให้มาพบกัน ปลายปีที่แล้วในระยะหลวงตาอาพาธ อาตมาได้แวะไปเยี่ยมหลายครั้ง ในวันที่หลวงตามหาบัวจะละสังขาร อาตมภาพ ขณะพักจำวัดหลับเคลิ้มไป ก็ปรากฏว่าหลวงตามหาบัวแวะมาหากราบ ๓ ครั้ง ก็พูดว่า “เจ้าคุณฯ ผมมาลานะ” อาตมภาพก็ถามว่า “จะลาไปไหน ?” ท่านบอกว่า “ไปที่ไม่เกิดอีก เพราะชาติสุดท้ายของผม ให้เจ้าคุณอยู่ต่อไป ให้ลูกหลานได้กราบไหว้” แล้วหายไป ตื่นขึ้นก็จำความฝันได้ชัดเจน เวลาประมาณตี ๔ นาฬิกา ก็ยังนึกอยู่ว่า หลวงตามหาบัว คงไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว ตอนเช้าก็รับทราบว่ามรณภาพ รู้สึกใจหายและรู้สึกอาลัยในการจากไปของหลวงตาเป็นที่สุด ซึ่งอาตมภาพมั่นใจว่า “ท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว” ท่านได้วางแบบอย่างอันงดงาม ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ดำเนินรอยตาม ขอให้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนได้สืบแนวปฏิปทาต่อไป พระอุดมญาณโมลี (จันทร์ศรี จนฺทาทีโป)
ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๙ (ธ) เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ พระอารามหลวง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2012 เมื่อ 18:18 |
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
|||
|
|||
สัมโมทนียกถา ตั้งแต่พ่อแม่ครูอาจารย์ละสังขารขันธ์ อาตมภาพก็ได้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์ท่าน ในการจัดเตรียมงานต่าง ๆ นับตั้งแต่สถาบันพระมหากษัตริย์ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงยิ่ง โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงดูแลอุปถัมภ์ค้ำชูด้วยจริยาวัตรอันงดงามของลูกที่มีต่อท่านพ่อ อย่างไม่ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก นับตั้งแต่เริ่มอาพาธจนลมหายใจสุดท้าย ต่อเนื่องจนถึงงานพระราชทานเพลิงสรีรสังขารพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ ทรงอดตาหลับขับตานอน อดทนอดกลั้นสมเป็นขัตติยนารีอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ปวงคณะศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย นับจากพระสงฆ์องค์เจ้า ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ จากทุกสารทิศทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีความพร้อมเพรียงสามัคคีร่วมมือร่วมใจทำงานในหน้าที่ของตน ๆ เพื่อให้งานพระราชทานเพลิงของพ่อแม่ครูอาจารย์ มีความเรียบง่ายแบบพระกรรมฐาน แต่ยิ่งใหญ่อลังการสมพระเกียรติของพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ ที่ทำประโยชน์อย่างกว้างขวางทั้งรูปธรรมนามธรรมแก่โลก ซึ่งปรากฏผลภายในเวลาเพียงเดือนเศษ ทุกอย่างก็เสร็จสมบูรณ์ครบถ้วนในทุกด้านทุกทาง ดังจะเห็นได้จากภาพและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ อาตมภาพขออนุโมทนาสาธุการในความศรัทธา ความสามัคคีกลมเกลียว ความกตัญญูกตเวทิตาของท่านทั้งหลายที่มีต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ สมกับที่ท่านได้อบรมสั่งสอน และช่วยเหลือพวกเราทั้งหลายอย่างทุ่มเทตลอดมา ทั้งทางโลกทางธรรมโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก แม้สังขารขององค์ท่านจะแข็งแรงพอเป็นไป หรืออ่อนล้าทรุดโทรมเพียงใดก็ตาม แต่เมตตาธรรมของท่านดำรงอยู่อย่างมั่นคงเสมอ ขอผลานิสงส์แห่งความสามัคคีกลมเกลียว กตัญญูกตเวทิตา จงเป็นเกราะกำบังภยันตรายทั้งภายนอกภายในแก่พวกเราทั้งหลาย ขอให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกผู้ทุกคนตามลำดับแห่งธรรม ตราบกระทั่งบรรลุถึงนิพพานในที่สุดด้วยเทอญ หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ
ประธานคณะสงฆ์ศิษยานุศิษย์องค์หลวงตาฯ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 13:42 |
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
|||
|
|||
(น้องสาวและหลานขององค์หลวงตา) ๑. คำทำนายของคุณตา องค์หลวงตา ถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาแห่งสกุล โลหิตดี เมื่อขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีฉลู ตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๕๖ ณ หมู่บ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยบิดา นายทองดี และมารดา นางแพง ได้ให้มงคลนามว่า บัว ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๑๖ คน มีรายนามดังต่อไปนี้ ๑. คุณตาคำไพ โลหิตดี (ถึงแก่กรรมปี ๒๕๐๕) สมรสกับคุณยายตุ้ม (มิทราบนามสกุล) มีบุตรธิดา ๒ คน ๒. พระธรรมวิสุทธิมงคล (องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) ๓. คุณหม (ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย) ๔. คุณยายอั้ว โลหิตดี (ถึงแก่กรรมปี ๒๕๒๓) สมรสกับคุณตาผง สารีจันทร์ (ถึงแก่กรรม) มีบุตรธิดา ๘ คน ๕. คุณลัว (ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย) ๖. คุณยายคำตัน โลหิตดี (ถึงแก่กรรมปี ๒๕๕๔) สมรสกับคุณตาเหมิก นามวิชัย (ถึงแก่กรรม) มีบุตรธิดา ๔ คน ๗. คุณขาม (ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย) ๘. คุณลัง (ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย) ๙. คุณแข้ง (ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย) ๑๐. คุณตาจัด โลหิตดี (ถึงแก่กรรมปี ๒๕๒๕) สมรสกับคุณยายหนู รักษาศิริ (อายุ ๘๕ ปี) มีบุตรธิดา ๑๓ คน ๑๑. คุณตาหนูพล โลหิตดี (ถึงแก่กรรมปี ๒๕๓๙) สมรสกับคุณยายบัวลอย พิเคราะห์แนะ (ถึงแก่กรรม) มีบุตรธิดา ๕ คน ๑๒. คุณยายสวน โลหิตดี (อายุ ๘๕ ปี) สมรสกับคุณตาสมบูรณ์ สุรินทรัตน์ (ถึงแก่กรรม) มีบุตรธิดา ๑๓ คน ๑๓. คุณยายศรีเพ็ญ โลหิตดี (อายุ ๘๓ ปี) สมรสกับคุณตาวันดี บัวสอน (ถึงแก่กรรม) มีบุตรธิดา ๙ คน ๑๔. คุณแม่จันดี โลหิตดี (อายุ ๘๐ ปี) มีบุตรธิดา ๔ คน คุณแม่จันดีเข้าปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี ๒๕๒๔ ๑๕. คุณกล่ำ (ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย) ๑๖. คุณแม่เถิง โลหิตดี (ถึงแก่กรรมปี ๒๕๔๓) สมรสกับคุณตาสงฆ์ ไชยกิจ (ถึงแก่กรรม) มีบุตรธิดา ๗ คน ในจำนวนพี่น้องของท่าน มีท่านผู้เดียวที่ดำรงอยู่ในสมณเพศ และกอปรด้วยศีลาจารวัตรอันงดงาม ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอันประเสริฐ เป็นที่เคารพสักการบูชาของชาวพุทธอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 11-05-2012 เมื่อ 11:56 |
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
|||
|
|||
ถิ่นฐานบ้านเดิม
ต้นตระกูลเดิมขององค์หลวงตาอยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม ต่อมาพากันอพยพไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในครั้งนั้นได้ตามกันมาหลายบ้านหลายครอบครัวด้วยกัน ต่างก็เดินทางด้วยเท้า ด้วยล้อ และเกวียน มุ่งหน้าหาดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ จนกระทั่งมาพบสถานที่อันเหมาะสมคือจังหวัดอุดรธานี จึงพากันพักอยู่ที่บ้านคำกลิ้ง * บ้างก็ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่นเลย บ้างก็ย้ายออกไปอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ เช่น บ้านโนนทัน บ้านตาด* เป็นต้น และเจริญสืบมา องค์ท่านเล่าสาเหตุที่โยกย้ายจนมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนที่หมู่บ้านตาด ดังนี้ ... พวกที่มาจากมหาสารคามนั้น เดิมเป็นคนละหมู่บ้าน ๆ ตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็ยกพวกมา มาตั้งรวมอยู่ด้วยกันจนกลายเป็นอันเดียวกันหมด เลยเหมือนกับว่าญาติกัน มีเหตุมาจากแม่น้ำชีท่วม ถ้าเวลาท่วมก็ท่วมซะจนไม่มีอะไรจะกิน มันจะตาย ทนไม่ไหวก็เลยมา หาทำเลดูที่ตรงไหน เลยมาได้ตรงนี้ เลยเอาตรงนี้ ถ้าว่าแล้งก็แล้งไปเสีย ถ้าว่าท่วมก็ท่วมไปเสีย มีแต่ท่าเสียท่าเดียวมาหลายปี มันเลยจะตาย คนไม่มีข้าวกินแล้ว ก็เลือกกระเสือกกระสนกัน จึงได้มาตั้งอยู่นี้ ทีแรก มาตั้งที่บ้านคำกลิ้งก่อน ยกมากันมากอยู่นะ ไม่ใช่คนหนึ่งคนเดียวครอบครัวเดียวนะ.. มันมาหลายบ้านรวมกัน มาตั้งเป็นบ้านคำกลิ้ง จากนั้นก็แยกออกมาเป็นบ้านตาด บ้านโนนทัน .. พอสงครามโลกครั้งที่ ๒ พวกทหารญี่ปุ่นพากันยกมาตั้งฐานทัพขึ้นใส่บ้านโนนทัน เลยยกบ้านโนนทันนี้แตกออกมาตั้งเป็นบ้านหนองใหญ่* บ้านหนองตูม* ทุกวันนี้... ================================ *บ้านคำกลิ้ง บ้านตาด บ้านหนองใหญ่ บ้านหนองตูม เป็นหมู่บ้านอยู่ในละแวกเดียวกันระยะ ๑๐ กิโลเมตร
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 19-04-2012 เมื่อ 13:56 |
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
|||
|
|||
สภาพความเป็นอยู่สมัยนั้น
สมัยก่อน ณ บ้านตาดนี้เป็นป่าดงดิบ มีทั้งต้นยาง ตะเคียนทอง ประดู่ และต้นไม้อื่น ๆ หลากหลายพันธุ์มากทั้งปริมาณและขนาด สัตว์ป่าจึงมีชุกชุม ไม่ว่าจะเป็นหมูป่า เสือ ช้าง กวาง เป็นต้น องค์หลวงตาเคยบรรยายสภาพความเป็นอยู่ในสมัยนั้นว่า “... โอ๋ย.. เป็นดงใหญ่ที่สุดเลยนะ ตั้งแต่กรมทหาร (ค่ายประจักษ์ศิลปาคม) มาเลยละ ตั้งแต่เราเป็นเด็กยังเห็นกรมทหารนี้เป็นดงทั้งนั้นนะ เขามาตั้งใหม่นะนี่ หลวงตาเกิดแล้ว เขาถึงมาตั้งใหม่ แต่ก่อนกรมทหารอยู่ทางบ้านหนองสำโรง* เขาเพิ่งย้ายมาทีหลัง แต่ก่อนเป็นดงทั้งหมด... มีแต่ดงช้าง ดงเสือเต็มหมด... แม้หลวงตามาบวชแล้ว บ้านจั่น** ก็ยังเป็นดงอยู่นะ มาใหม่ ๆ บ้านคำกลิ้งอยู่กลางดงเลย ช้างลงกินน้ำตอนกลางคืนเต็มไปหมด เพราะฉะนั้น การทำมาหากินจึงสะดวก... หารอบบ้านเอาก็พอแล้ว สมัยนั้นการซื้อการขายมันก็ไม่มี ตอนหลวงตาเป็นเด็ก เราจำได้.. ใครได้หมู ได้กวางมาตัวหนึ่ง เขาก็กินกันทั้งหมู่บ้าน แจกกันทั้งบ้านเลยนะ ไม่มีการซื้อการขาย ส่งบ้านนั้นบ้านนี้... เขาหากินกันตามท้องไร่ท้องนา พวกอีเห็น กระจ้อน กระแต มันเต็มแถวนี้หมด พวกปูปลาอะไร ไม่อดไม่อยาก ตั้งแต่เรายังไม่บวชนี่ เสือโคร่งนี้แอบเข้าไปกัดวัว โอ๋ย.. ข้างต้นเสาเรือนเลยนะ ติดกับบ้านเลยนะ เพราะดงติดกับบ้าน สัตว์เลี้ยงตามบ้านเขาก็ไม่ได้ผูกไว้ ดังนั้น เสือมันพอกินได้ มันก็กินทันที เพราะมันกินได้ง่ายกว่าสัตว์ป่า สัตว์ตามบ้านมันไม่ค่อยระวังตัว ช้างมันก็เข้าไปกินในสวนเขา สวนก็ติดกับบ้านนั่นนะ มันกินพวกกล้วยพวกอะไร ตอนกลางคืนดังโป๊ก ๆ เป๊ก ๆ เขาก็ไม่ว่าอะไรนะ... เฉยมาก ขนาดนั้นนะ ทางล้อทางเกวียนอะไรก็ไม่ค่อยได้ใช้ เพราะไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ทำนาก็ทำพอกินเท่านั้น เพราะว่าไม่ได้ซื้อได้ขาย พอเสร็จสรรพการทำนาแล้ว เขาก็สนุกสนานกัน เพราะไม่ได้ทำงานอะไร การซื้อการขาย การรับจ้างอะไรไม่มี แต่ก่อนไม่มี แล้วใครจะมีเงิน ครัวเรือนหนึ่งมี ๙ บาท ๑๐ บาท ถือว่าเป็นธรรมดาแล้วนะ ถือว่ามีฐานะพอสมควร ถ้ามีเป็นร้อยเป็นชั่งเขาถือว่ามีมากจริง ๆ เป็นคนมั่งมีในบ้านนั้น...” ครอบครัวของท่านทำนาเป็นอาชีพหลัก และเพราะเหตุที่อยู่กลางป่าดงเช่นนี้ จึงย่อมหนีไม่พ้นที่จะเจอะเจอสัตว์เหล่านั้น ฉะนั้น ยามว่างจากนา พ่อของท่านซึ่งเป็นนายพรานที่มีชื่อเสียง จึงเข้าป่าล่าสัตว์อยู่เป็นประจำ เป็นธรรมดานายพรานย่อมชำนาญในการแกะรอยสัตว์ พ่อของท่านนอกจากจะชำนาญในทางแกะรอยสัตว์ ยังขึ้นชื่อลือชาในการแกะรอยคนด้วย นิสัยช่างสังเกตช่างพินิจพิจารณา จึงน่าจะถูกถ่ายทอดมาถึง “เด็กชายบัว” หากสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งหล่อหลอมให้บุคคลอุปมีนิสัยหนักไปทางใดทางหนึ่งจริง การอยู่ท่ามกลางป่าเสือ ดงช้าง และสัตว์ร้ายนานาชนิด ที่เป็นภัยอันตรายรอบด้าน ย่อมสร้างให้คนอยู่ด้วยความไม่ประมาท มีจิตใจเด็ดเดี่ยวอาจหาญและอดทนเป็นเลิศ “เด็กชายบัว” ก็น่าจะรับผลนี้อย่างเต็มภาคภูมิ ================================ * บ้านหนองสำโรงอยู่ห่างจากบ้านตาดประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ไปทางทิศเหนือ** บ้านจั่นอยู่ห่างจากบ้านตาดประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ไปทางทิศเหนือ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:28 |
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
|||
|
|||
(การทำนาของชาวนามณฑลอุดรในช่วง ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) เป็นภาพวิถีชีวิตในอดีต ก่อนองค์หลวงตาถือกำเนิด ๒๐ ปี) สกุลชาวนา ผู้มีอันจะกิน คุณแม่ของท่านนามว่า แพง ถือกำเนิดขึ้นที่บ้านตาด เป็นบุตรของคุณตาพรมมา (มิทราบนามสกุลท่าน) กับคุณยายบับภา ไชยพรมมา ซึ่งย้ายถิ่นฐานมาจากจังหวัดมหาสารคาม แต่พอคุณแม่แพงถือกำเนิดได้เพียงหนึ่งปีเศษเท่านั้น คุณยายบับภาก็เสียชีวิต และได้คุณยายลีซึ่งเป็นน้องสาวของคุณยายบับภาเป็นผู้เลี้ยงดู เมื่อครั้งเติบโตเป็นสาวพอที่จะมีครอบครัวแล้ว ทางบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ให้สมรสกับคุณพ่อทองดี โลหิตดี ส่วนคุณพ่อทองดีนั้นถือกำเนิดที่บ้านคำกลิ้ง เป็นบุตรของคุณปู่สามารถ โลหิตดี กับคุณย่าทุมมา (มิทราบนามสกุลท่าน) ซึ่งย้ายถิ่นฐานมาจากจังหวัดมหาสารคามด้วยเช่นกัน ครั้นเมื่อคุณแม่แพงสมรสกับคุณพ่อทองดีแล้ว คุณพ่อทองดีก็มาอยู่ที่บ้านตาด ปลูกบ้านสร้างเรือนและมีบุตรธิดาด้วยกันหลายคน องค์หลวงตาเป็นลูกคนที่ ๒ ในจำนวนนี้ แม้ท่านจะถือกำเนิดเป็นลูกชาวไร่ชาวนา แต่หากพูดถึงฐานะการเงินของสกุลของท่านแล้ว ก็ไม่ได้ต่ำต้อยกว่าใครในละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง จัดเป็นอันดับหนึ่งในหมู่บ้านนั้น ก็ไม่น่าจะผิดไป เพราะคุณตาของท่านประสบผลดีในการค้าขายจากนิสัยที่ขยันขันแข็งและฉลาด ท่านเคยเล่าความเป็นมาไว้บ้างดังนี้ พออายุเราได้ ๑๑ ปี คุณตาก็ตายจาก.. แม่เล่าให้ฟังว่า คุณตาเป็นคนฉลาด.. ในเรื่องความขยันก็จนกระทั่งเขาร่ำลือทั้งบ้านเลยล่ะ แล้วมาได้เมียสกุลนี้ (สกุลของยาย) คือสกุลนี้เขาก็เป็นสกุลมั่งคั่ง ลูกสาวเขาก็สวยงาม คุณตาเลยมาได้กับลูกสาวคนนี้ (คุณยาย) เขายอมยกให้เพราะเห็นว่าคุณตาเป็นคนขยัน แต่งงานแต่งการกันแล้ว ก็มาได้ลูกสาวคนเดียวคือโยมแม่ คุณตานี้ รูปร่างลักษณะเดียวกับเรา ไม่ใหญ่โตนัก เป็นคนค้าขาย ทำคนเดียวแกนะ คนทั้งบ้านมีเป็นพ่อค้าอยู่คนเดียว แปลกอยู่ ซื้อนั้นซื้อนี้ ซื้ออยู่คนเดียวไม่หยุดไม่ถอย ในป่านั้นส่วนมากมักจะซื้อของป่านะ พวกหนังสัตว์ พวกอะไร ๆ เกี่ยวกับเรื่องของป่านี่ละซื้อมาก ๆ ไปขายเอากำไร ๆ อยู่คนเดียวเงียบ ๆ .. นี่แหละ พวกหนังอีเก้ง หนังอะไรต่ออะไรเอาไปขาย ๆ ทำอย่างนี้อยู่ตลอดประจำมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เวลาคุณตาจะซื้อวัวซื้อควาย ก็ซื้อมาราคา ๒๐-๓๐ บาท เอามาขายตัวละเท่านั้นเท่านี้ ได้กำไร ๒-๓ บาทก็เอา.. แต่ก่อนวัวควายราคา ๓๐ บาทนี้ ถือว่าแพงมากนะ ส่วนมากจะ ๑๕-๑๖ ไปถึง ๒๐ บาท ที่เรียกว่าควายตัวนี้สวยงามมาก คุณตาก็ซื้อมาขาย... พอขายได้แล้วก็ไม่ได้ซื้ออะไร... ได้มาเท่าไหร่ไม่รู้ หากขายอยู่อย่างนั้นตลอด... มีแต่เก็บกับเก็บ... เงินแต่ก่อนเป็นเงินเหรียญ เหรียญบาท มันจึงมีมากขึ้น ใส่เป็นถุงยาว ๆ ๘๐ บาทเป็นมัดหนึ่ง เขาเรียก ๑ ชั่ง... แม่เล่าให้ฟังว่า คนแต่ก่อนถือเงินเป็นสำคัญมาก ประหยัดมาก ไม่ใช่เป็นนักจ่ายนะ ไม่ได้สุรุ่ยสุร่ายอย่างทุกวันนี้... แม่นี้เป็นักประหยัด ยกให้เลย คุณตามอบเงินให้แม่หมด เพราะมีลูกสาวคนเดียว ส่วนคุณยายตายตั้งแต่แม่ยังเป็นเด็กอยู่... นี้ละ มรดกจึงมาตกทางนี้มาก แม่จึงได้มีฐานะมาตั้งแต่โน้น... แต่ไม่ให้ใครทราบง่าย ๆ นะ ... ทางนี้ไม่มีที่จะพูดอะไร ๆ คนโบราณเป็นอย่างนั้น มีแต่เก็บแต่หาอยู่อย่างนั้น พูดออกมา เขาจะหาว่าโอ้อวดเสีย โบราณเราถืออย่างนั้น ถือแบบปกเอาไว้ปิดเอาไว้ แม่เอาเงินมาเทใส่ขันใหญ่ ๆ ให้เห็น จึงได้ทราบชัดเจนว่า ฐานะของเราไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ เป็นขันลงหิน เงินนี้เต็มเลย ๒ ขัน ๓ ขัน เอามาสรงน้ำ เสร็จแล้วก็เอาใส่ถุง ถุงละชั่ง เป็นถุงผ้านะ... เราจึงรู้ว่าพ่อแม่มีเงินมาก เรียกว่าฐานะเป็นที่ ๑ ของหมู่บ้านนี้เลย คุณตาเป็นผู้มอบมรดกให้ ถึงได้มั่งมีอย่างนั้น ถ้าธรรมดาแล้ว โอ๋ย.. ไม่มีละ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 11-05-2012 เมื่อ 11:59 |
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
|||
|
|||
คำทำนายของคุณตา ในขณะที่แม่ตั้งครรภ์ท่านอยู่นั้น ได้ปรารภขึ้นในครอบครัวและวงศาคณาญาติว่า “.... ธรรมดาทารกในครรภ์ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาต้องดิ้นบ้าง ไม่มากก็น้อยพอให้แม่รู้สึก แต่กับลูกคนนี้แปลกกว่าคนอื่น ตรงที่นอนนิ่งเงียบเหมือนไม่มีลมหายใจ จนบ่อยครั้งทำให้แม่คิดตกอกตกใจว่า ‘ไม่ใช่ตายไปแล้วหรือ ? ทำไมจึงเงียบผิดปกตินัก’ ครั้นเวลาจะดิ้นก็ดิ้นผิดทารกทั่ว ๆ ไป คือดิ้นเสียจนแม่เจ็บในท้อง แต่พอเลิกดิ้นแล้วก็กลับเงียบผิดปกติอีก เหมือนกับว่า "คงจะตายไปแล้วละมัง ?" ครั้นพอถึงระยะเจ็บท้องจะคลอด ก็เจ็บท้องอยู่ถึง ๓ วัน ก็ไม่เห็นว่าจะคลอดแต่อย่างใด ตอนเจ็บท้องอยู่นั้นก็ชนิดจะเอาให้ล้มให้ตายเลย เสร็จแล้วก็หายเงียบไปเลย จนกระทั่งคิดว่าไม่ใช่ตายไปอีกแล้วหรือ ? แล้วก็ดิ้นขึ้นมาอีก ...” องค์หลวงตากล่าวถึงเหตุการณ์ในระยะนี้ว่า “โยมแม่เล่าให้ฟัง ลูกทุกคนที่อุ้มท้องผ่านมานี้ ไม่มีใครลำบากเหมือนเรา มีเราคนเดียวที่ทุกอย่างผิดปกติไปหมด ไม่ได้เหมือนใคร กว่าจะได้เกิด มีเหตุการณ์ให้กระเทือนไปหมดทั้งครอบครัว... (อย่างเช่น) ลูกชายคนหัวปีชื่อ คำไพ อันนี้มีนิสัยอย่างหนึ่ง มันดุกดิกอยู่ในท้องแม่นะ บางทีจนได้เอาผ้าปิดเอาไว้ กลัวคนอื่นมองเห็น ลูกดิ้นอยู่ในท้อง โยมแม่ว่าอย่างนั้นนะ มันไม่อยู่เป็นสุขว่างั้น ดุกดิก ๆ อยู่อย่างนั้น ดึ๊กดั๊ก ๆ อยู่ในนั้น จนพูดกับพ่อ ‘เอ! พ่อมันเป็นยังไง ลูกข้อยถึงมาเป็นจั่งซี้ ดิ้นกระด้อกระเดี้ยแท้’ (แปลความว่า เอ.. พ่อ มันเป็นยังไงลูกในท้องถึงเป็นแบบนี้ ดิ้นมากจริง ๆ) ‘ช่างหัวมันเถาะ มันเป็นตามนิสัยของมันดอก’ ‘มันก็โพดแท้ดี๊ เฮาจนได้เอาผ้าปิดไว้ย่านคนเห็น มันดิ้นจนท้องกระเทือน ยุบยับ ๆ จั่งซี้’ (มันก็เหลือเกินจริง ๆ จนต้องได้เอาผ้าปิดไว้ กลัวคนจะเห็น ลูกดิ้นจนท้องกระเทือนยุบ ๆ ยับ ๆ เลยนี่) ‘คนมันเป็นจั่งซั่น นิสัยมันเป็นอย่างนั้น ช่างหัวมันเถอะ’ ... เวลาเราจะมาเกิด แม่บอกว่ามีเรื่องแปลก ๆ เช่น ตอนอยู่ในท้อง บางครั้งไม่ดีดไม่ดิ้น นิ่งเงียบเชียบสนิทเหมือนคนตายแล้ว แต่บางครั้งกลับดีดดิ้นเสียจนนึกว่าจะตายแล้วเหมือนกัน ยิ่งจวนใกล้วันจะคลอดเข้ามาเท่าไหร่ ยิ่งแสดงอาการหนักทุกอย่างเลย จนสุดท้ายเวลาจะคลอดมันก็ไม่ยอมคลอด...” บางครั้งแม่ต้องร้องเรียกหาคุณตาของท่านว่า “อีพ้อ! มาคลำเบิ่งท้องข้อยแน ลูกข้อยบ่แม่นมันตายในท้องละบ๊อ ? มิดออนซอนอยู่หลายมื่อ มิดอิ้งติ้งอยู่หลายวัน บ่มีดิ้นมีด่อยเลย บ่แม่นลูกข้อยตายละบ๊อ ?’ (แปลความว่า ‘พ่อ... มาคลำดูท้องฉันหน่อย ลูกฉันไม่ใช่มันตายในท้องแล้วหรือ ? เงียบสนิทอยู่หลายวัน ไม่มีไหวติงเลย ไม่ใช่ลูกฉันตายแล้วหรือ ?’ คุณตาก็ว่า ‘เฮ่ย! มันบ่เป็นหยังดอก เขามีลูกกันทั้งบ้านทั้งเมือง เขาบ่เห็นเป็นหยัง ?’ (ไม่เป็นอะไรหรอก คนเขาก็มีลูกกันทั้งบ้านทั้งเมือง เขาไม่เห็นเป็นอะไร?’ แม่ก็ตอบว่าคุณตาว่า ‘มีมันก็บ่คือข้อยตั๊วล่ะ’ (เขามีลูกกัน มันก็ไม่เหมือนลูกฉันนะ) หลังจากลูกในท้องนิ่งเงียบเชียบสนิทอยู่หลายวัน ในที่สุด ก็ดิ้นสุดแรงเกิด แม่ก็เรียกหาคุณตาอีกว่า... ‘โอ้ย! ข้อยจะตายละอีพ้อ มาคลำเบิ่งท้องข้อยแน ยามลูกในท้องมันดิ้น มันดิ้นหลายเดี๋ยวหนิ มันบ่ดิ้นธรรมดา มันดิ้นท้องจะระเบิด ลูกข้อยมันตายแล้วบ๊อ’ (พ่อ... ฉันจะตายแล้ว มาคลำดูลูกในท้องให้ฉันด้วย พอลูกในท้องดิ้น มันก็ดิ้นจนเกินไป มิใช่ดิ้นธรรมดา ดิ้นเหมือนว่าท้องจะระเบิด ลูกฉันไม่ใช่ตายไปแล้วหรือ) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2012 เมื่อ 11:35 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) | |
|
|