#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖
|
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันสุดท้ายในโครงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสำหรับเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ อากาศช่วงเช้าอยู่ที่ประมาณ ๑๙ องศาเซลเซียส น่านอนมาก ๆ แต่กระผม/อาตมภาพก็ออกไป "เรียกแขก" ตั้งแต่ตี ๓ ครึ่งเหมือนเดิม
เมื่อถึงตี ๔ ก็แจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ให้ทุกท่านกำหนดกำลังใจไปตามที่กระผม/อาตมภาพได้สอนมาทุกเช้า อยู่ในลักษณะ "หากินเอาเอง" เพราะว่าถ้ามัวแต่รอครูบาอาจารย์นำอยู่ เมื่อไรเราถึงจะสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองเสียที ตราบใดที่เรายืนให้มั่นคงด้วยตนเองไม่ได้ เราก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือผู้ใดได้ เนื่องเพราะว่าตนเองก็ยังคงลอยตามน้ำอยู่ แล้วจะไปช่วยเหลือผู้อื่นให้ขึ้นจากน้ำ ย่อมเป็นไปไม่ได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง สามารถเป็นเกาะ ยืนหยัดต้านกระแสน้ำเชี่ยวหรือว่าสามารถก้าวขึ้นสู่ฝั่งได้เลย ก็จะเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อจบจากกรรมฐานภาคเช้า พวกเราก็ได้รับบิณฑบาต ซึ่งบรรดาเจ้าภาพก็น่ารักเหลือเกิน เพราะว่าวิ่งมากันตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ ช่วยกันจัดเตรียมอาหารคาวหวานต่าง ๆ เอาไว้มากมายจนเหลือล้น แต่กระผม/อาตมภาพก็ยังคงปฏิบัติตนเหมือนเดิม ก็คือถ้าเป็นข้าวต้มก็ ๑ ทัพพี ซึ่งถ้าตั้งใจตักจริง ๆ ก็คงตกอยู่ที่ประมาณ ๕ ช้อนโต๊ะ..! ถ้าหากว่าเป็นข้าวสวยก็ครึ่งทัพพี ส่วนกับข้าวก็ตักทุกอย่าง ๆ ละ ๑ ช้อน ซึ่งขอบอกว่ามากมายเพียงพอแก่การอิ่มเลยทีเดียว หลังจากที่ฉันเช้าแล้วก็ปล่อยให้ทุกท่านไปเก็บข้าวเก็บของให้เข้าที่ เนื่องเพราะว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ท่านใดที่รถอยู่ในศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดนครปฐมศูนย์ที่ ๒ ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ก็ให้นำเอาข้าวของขึ้นรถไปเลย หลังจากนั้นเมื่อ ๘ โมงตรง กระผม/อาตมภาพก็ขอให้ทุกท่านมาพร้อมกันที่ศาลาปฏิบัติธรรม ทำการกราบขอขมาพระวิปัสสนาจารย์เสียก่อน ซึ่งในฐานะที่กระผม/อาตมภาพเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่มีอายุกาลพรรษาสูงสุด จึงต้องเป็นผู้รับการกราบขอขมา โดยเป็นผู้รับพานดอกไม้จากตัวแทนเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดทั้งหมด ซึ่งในจำนวนเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั้ง ๑๑๒ รายที่มาอยู่ร่วมกันนั้น มีเพียง ๓ รายที่อายุกาลพรรษามากกว่า นอกนั้นล้วนแล้วแต่อายุกาลพรรษาน้อยกว่าทั้งสิ้น กระผม/อาตมภาพจึงต้องตีหน้าตาย ๆ รับการขอขมาในฐานะตัวแทนคณะพระวิปัสสนาจารย์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2023 เมื่อ 16:18 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
หลังจากนั้นก็ให้ตัวแทนของแต่ละจังหวัด ก็คือจังหวัดละหนึ่งราย ตั้งแต่จังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และสมุทรสาคร ได้กล่าวเปิดใจ ซึ่งสร้างความสนุกสนานเฮฮาให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าหลายต่อหลายท่าน เวลาอยู่วัดก็เจอแต่ญาติโยมมากวนเช้ายันเย็น เมื่อได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติธรรม ก็รีบเก็บข้าวของเผ่นมาโดยด่วนจี๋ ให้ความร่วมมือกับเจ้าคณะปกครองเป็นอย่างดียิ่ง แต่ความจริงก็คือหนีมาพักผ่อนนั่นเอง..!
ตรงส่วนนี้กระผม/อาตมภาพในสมัยที่เรียนหนังสืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกก็ตาม เวลาแห่งการเรียนหนังสือก็คือเวลาแห่งการพักผ่อน ไม่ต้องไปสนใจเรื่องงานบริหารใด ๆ ทั้งสิ้น ถือว่าการเรียนการสอนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด พ้นจากการเรียนการสอนไปแล้ว ถึงจะไปสนใจในเรื่องงานอื่น ๆ ที่ขำก็เพราะว่า เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมหลายท่านถือว่า การปฏิบัติธรรม ๗ วันนี้เป็นการพักผ่อนบ้าง เป็นการฟื้นฟูกำลังของตนเองบ้าง เป็นการมาหาความรู้เพิ่มเติมบ้าง ตัวแทนจากสุพรรณบุรีบอกว่า "กระผมพยายามที่จะตื่นให้ทันหลวงพ่อเล็ก แต่ไม่เคยตื่นได้ทันแม้แต่วันเดียว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเวลาอยู่วัดก็ไม่ง่วง แต่พอมาอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรม ทำไมถึงได้ง่วงนักก็ไม่รู้ ?" กระผม/อาตมภาพจึงได้ชี้แจงไปว่า เวลาอยู่วัดท่านมีเวลาพักผ่อนเป็นการส่วนตัว แต่ว่าเมื่อมาอยู่ในศูนย์ปฏิบัติธรรม เราต้องตื่นตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง กว่าจะได้นอนก็ ๓ ทุ่มบ้าง ๓ ทุ่มครึ่งบ้างทุกวัน เมื่อหลายวันเข้า ร่างกายเหนื่อยล้า ก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้ตื่นได้อย่างใจ ส่วนกระผม/อาตมภาพเองนั้นไม่ได้ใช้นาฬิกาปลุกมาตั้งแต่พรรษาที่ ๓ หรือพรรษาที่ ๕ แล้ว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในช่วงระหว่างพรรษาที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ นั้นยังต้องมีนาฬิกาปลุกอยู่ "เผื่อเหนียว" แต่ว่าหลังจากนั้นแล้ว มั่นใจว่าสามารถกำหนดจิตให้ตื่นตามเวลาที่ต้องการได้ ก็เป็นอันว่าเลิกใช้นาฬิกาปลุกมาจนบัดนี้ ดังนั้น..การที่ตื่นเช้านั้นไม่ได้ตื่นเพราะว่าเป็นคนแก่ หากแต่ว่าตื่นในระยะเวลานี้มาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ แล้ว เพื่อที่จะเร่งรัดปฏิบัติธรรมของตนเองให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงต้องสละเวลานอนของตนเองให้เหลือน้อยลง เพื่อที่จะได้ปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น เมื่อเปิดใจเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องรองรับบรรดาญาติโยมทั้งหลาย ที่ไหลมาเทมาเพื่อเป็นเจ้าภาพเลี้ยงส่งในวันนี้ แม้กระทั่งท่านอาจาย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และน้องขวัญ (ขวัญข้าว ธิดารินทร์) นักร้องคู่ใจของท่านอาจาย์ธนิสร์ ก็มาร่วมเป็นเจ้าภาพถวายเพลเป็นวันที่สามแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2023 เมื่อ 16:21 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อพวกเราทั้งหมดได้รับบิณฑบาตช่วงเพลและฉันเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมาซักซ้อมในการรับวุฒิบัตร ซึ่งวุฒิบัตรนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก จะเป็นเครื่องประกอบในการพิจารณาว่า ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าคณะปกครองขนาดไหน ถ้าใครไม่มีวุฒิบัตรผ่านการอบรมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรม ก็แปลว่าท่านไม่ให้ความร่วมมือในงานครั้งนี้ ยกเว้นท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ได้รับการพิจารณาแล้วว่าให้สามารถขาดการอบรมได้ แต่คาดว่าคงต้องไปชดเชยในการอบรมครั้งต่อ ๆ ไป
ถ้าท่านไม่มีวุฒิบัตร ก็แปลว่าในเรื่องของตำแหน่งหน้าที่การงานต่าง ๆ ของท่าน ที่จะเจริญก้าวหน้ากว่านี้ก็ไม่มีหวัง เพราะว่าคำสั่งผู้บังคับบัญชา ให้ไปปฏิบัติธรรมแค่นี้ท่านยังทำไม่ได้ แล้วท่านจะไปทำงานอะไรที่ยากกว่านี้อีก ? ในการซักซ้อมรับวุฒิบัตรนั้น กระผม/อาตมภาพเองขำก็ขำ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ทุกคนนั้นส่วนใหญ่แล้วถึงเวลารับจริงก็ตื่นเต้น สมาธิจึงหลุดเกลี้ยง ดังนั้น..แค่การรับวุฒิบัตรจากผู้บังคับบัญชาหรือองค์ประธาน ซึ่งเป็นเรื่องง่าย ๆ ว่าจะมือซ้ายต้องอยู่ตรงไหน มือขวาอยู่ตรงไหน ก็ขวักไขว่พันกันให้มั่วไปหมด..! กระผม/อาตมภาพนึกถึงตอนที่ได้รับถวายรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ในฐานะผู้สร้างคุณงามความดีให้แก่พระพุทธศาสนา จากพระหัตถ์ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งตอนนั้นพระองค์ท่านยังเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตลอดจนกระทั่งเจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ก็ต่างคนต่างมาซักซ้อม ซ้อมแล้วซ้อมอีก ๓ รอบ ๕ รอบ ซ้อมจนกระทั่งมั่นใจว่าจะไม่มีการผิดพลาด แต่เมื่อพอกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จ ปรากฏว่าทุกคนลืมขั้นตอนกันหมดว่ามือซ้ายควรจะอยู่ที่ไหน มือขวาควรจะอยู่ที่ไหน เมื่อรับแล้ว ควรที่จะประคองไว้ลักษณะอย่างไร เพียงแต่ว่ากระผม/อาตมภาพยังคงทำถูกต้องตามแบบฝึกอยู่เสมอ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า จิตใจนั้นไม่ได้ตื่นเต้นไปกับอะไรรอบข้าง สนใจอยู่อย่างเดียวว่า ขั้นตอนนี้เราจะทำอะไร ขั้นตอนนี้เราควรทำอะไร เมื่อใจจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า โอกาสที่จะผิดพลาดก็ไม่มี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2023 เมื่อ 16:23 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
จนกระทั่งเมื่อพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคระใหญ่หนกลาง มาถึง ท่านได้นำบูชาพระรัตนตรัยและเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ กล่าวถวายรายงาน แล้วเป็นการเบิกตัวพระวิปัสสนาจารย์ และเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมผู้ผ่านการอบรมเข้ารับวุฒิบัตร เพื่อที่จะได้เป็นเครื่องยืนยันว่าตนเองได้ผ่านการอบรมมาแล้วอย่างแน่นอน
เมื่อรับวุฒิบัตรเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ยังมีเมตตาให้ถ่ายรูปหมู่รวมกันทีละจังหวัด รวมทั้งบรรดาเจ้าคณะปกครองซึ่งมาร่วมพิธีปิดในครั้งนี้อีกชุดหนึ่ง ก็แปลว่าต้องถ่ายรูปหมู่กันถึง ๕ ชุด เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็รีบเดินทางออกมา เพราะเกรงว่าจะไปงานปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดอาวุธวิกสิตารามไม่ทัน เมื่อออกมาจนกระทั่งเกือบจะพ้นหมู่บ้านออมไทยแล้ว เลขาฯ จุก (พระมหาอินทรปกรณ์ ฐิตสุโภ ป.ธ.๔) เลขานุการเจ้าคณะตำบลลิ่นถิ่น เขต ๒ พระวิปัสสนาจารย์ในโครงการครั้งนี้ ก็โทรศัพท์มาว่า พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร.จะถวายของที่ระลึกในฐานะพระวิปัสสนาจารย์ให้ จึงได้ให้เลขาฯ จุกกราบเรียนท่านไปว่า "กระผมมีงานปลุกเสกวัตถุมงคล จึงรีบออกมาแล้ว" ตรงจุดนี้ วันพรุ่งนี้ที่เป็นพิธีเปิดงานอบรมพัฒนาศักยภาพพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะตำบล เลขานุการเจ้าคณะตำบล และพระวินยาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ คาดว่าอาจจะได้รับประทานมะเหงกจากเจ้านายเป็นแน่แท้ เพราะว่าขนาดมีข้าวของเงินทองให้ กระผม/อาตมภาพยังไม่ยอมอยู่รับ เผ่นแน่บไปทำหน้าที่ของตนเองแล้ว ถ้าหากว่าดูย้อนหลังไป กี่ชาติกี่ภพกระผม/อาตมภาพก็มีนิสัยเช่นนี้ ก็คือเมื่อทำงานเสร็จก็เป็นอันว่าต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ไม่ได้สนใจในเรื่องของบำเหน็จบำนาญรางวัลใด ๆ ทั้งสิ้น ให้ก็ยินดีรับไว้ ไม่ให้ก็ไม่เอา หรือถ้าหากว่าไปแล้ว ใครจะให้ก็ต้องนำไปให้ทีหลัง ดูแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าหมั่นไส้อยู่เหมือนกัน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2023 เมื่อ 16:27 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|