#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖
|
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ สิ้นเดือนอีกแล้ว กระผม/อาตมภาพมีภารกิจตั้งแต่เช้า หลังจากบิณฑบาตและฉันเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็มาดูการรับสมัครผู้ที่จะบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน จากนั้นก็ต้องเดินทางไปยังวัดวังปะโท่ เพื่อทำการอุปสมบทนาค ๒ รูปด้วยกัน เสร็จจากนั้นแล้ว ถึงได้วิ่งกลับมาวัดท่าขนุนอีกครั้งหนึ่ง
ช่วงนี้ทีมงานวัดท่าขนุนนั้นเหลืออยู่น้อยมาก เพราะว่าส่วนหนึ่งสิบกว่ารูป ต้องไปอบรมบาลีก่อนสอบเพื่อรอการสอบรอบสอง จึงต้องมีการแบ่งงาน อย่างเช่นว่าฝ่ายหนึ่งรับสมัคร หลังจากนั้นก็ส่งไปให้อีกฝ่ายหนึ่งโกนหัว มารับผ้าไตร แล้วเข้านั่งรอประจำจุด เพื่อให้กระผม/อาตมภาพมาถึงแล้วจะได้ทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์ ให้การบรรพชาต่อไป ส่วนทุกคนที่จะมาบวชครั้งนี้นั้น จะต้องผ่านการตรวจ ATK ที่หน้างานเสียก่อน เพื่อความปลอดภัย เพราะว่าปีที่แล้วก็ยังมีผู้ที่จะมาบวชติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จนต้องส่งเข้าโรงพยาบาลไปดำเนินการตามขั้นตอนทางการแพทย์ จึงต้องตรวจกันก่อนเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ปีนี้มีจำนวนผู้สมัครใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ก็คือได้มาที่ ๖๕ รูป เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า กระผม/อาตมภาพจะต้องเดินทางไปยังงานต่อไปอีก จึงขอเลื่อนการบวชที่ปกติแล้วจะเป็นตอน ๕ โมงเย็น มาเป็นในตอน ๑๐ โมงครึ่งช่วงเช้าแทน จึงทำให้การรับสมัครนั้นต้องปิดลงตั้งแต่ประมาณ ๑๐ โมงตรง ทำให้บรรดาท่านทั้งหลายที่วางใจว่า กำหนดการทุกปีก็เหมือนกัน คือเวลา ๕ โมงเย็นถึงจะเป็นการบรรพชาหมู่ ทำให้ต้องพลาดการบวชไปอย่างน่าเสียดาย หลังจากที่กระผม/อาตมภาพทำการบรรพชาหมู่ให้เรียบร้อยแล้ว จึงบอกกล่าวกับสามเณรทั้งหลายว่า เณรทั้งหลายนั้นรับเอาศีล ๑๐ ไปแล้ว คุณงามความดีในตอนนี้เปรียบเสมือนแสงสว่าง พวกเราก็สว่างเจิดจ้าเต็มที่เต็มทางกันทุกคน ส่วนฝ่ายที่ไม่ดี บางทีพวกเราเรียกว่า "ผี" นั้น เป็นฝ่ายมืด ถ้าหากว่าแสงสว่างของเรายังสว่างอยู่ ความมืดก็ไม่สามารถที่จะเข้าใกล้มาได้ สามเณรทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังรักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ทั้ง ๑๐ ข้อ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าข้อใดข้อหนึ่งขาดไป ก็เหมือนอยู่กับเรามีไฟอยู่ ๑๐ ดวง แล้วดับไปทีละดวง...ทีละดวง ถ้ายิ่งดับไปมากเท่าไร แสงสว่างของเราก็ยิ่งเหลือน้อย ความมืดก็จะใกล้ชิดติดตัวของเราเข้ามาทุกที ถ้าหากว่าถึงขนาดดับหมดเลย ก็เป็นอันว่าตัวใครตัวมัน แม้แต่หลวงพ่อก็ไม่สามารถที่จะช่วยได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2023 เมื่อ 02:18 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
บรรดาสามเณรทั้งหลายฟังแล้วก็คงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วบรรดาวิทยากรต่าง ๆ ในงานบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนนั้น มักจะใช้ภาษาที่เป็นทางการบ้าง ปนภาษาบาลีเป็นจำนวนมากบ้าง ทำให้บรรดาสามเณรภาคฤดูร้อน โดยเฉพาะในส่วนของอำเภอทองผาภูมิ ที่ประกอบไปด้วยคนต่างด้าวเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวมอญ พม่า กะเหรี่ยง ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้มีความคล่องตัวในภาษาไทยมากนัก
โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลัง ๆ ต่อให้เป็นคนไทย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถที่จะตกภาษาไทยได้เช่นกัน เนื่องเพราะว่าขาดการศึกษาอย่างจริงจัง จึงทำให้บรรดาวิทยากรพูดไปแล้ว ก็เหมือนกับลมผ่านหูไปเฉย ๆ เพราะว่าสามเณรทั้งหลายซึมซับเข้าไปได้น้อยมาก กระผม/อาตมภาพจึงต้องใช้คำพูดและการเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้สามเณรรู้ว่า จำเป็นอย่างไรถึงต้องรักษาศีลเอาไว้ ถ้าหากว่าทำได้บริสุทธิ์บริบูรณ์เท่าไร ตัวเราเองได้บุญได้กุศลมากเท่านั้น พ่อแม่ของเราก็ได้มากพอกัน บรรดาญาติพี่น้องที่มาร่วมอนุโมทนาก็จะได้อานิสงส์ในผลบุญเหล่านั้นไปด้วย หลังจากนั้นแล้วกระผม/อาตมภาพก็มอบหมายให้พี่เลี้ยง นำสามเณรทั้งหลายไปตักอาหารเพลรอเอาไว้ เมื่อพร้อมแล้วทำการพิจารณาอาหารและเริ่มฉัน ซึ่งโดยปกติแล้วการฉันของพระภิกษุสงฆ์นั้น ทางวัดท่าขนุนถืออาสนะเดียวเป็นปกติ ก็คือถ้าลุกขึ้นก็แปลว่าเลิกกันไปเลย แต่เนื่องจากว่าสามเณรนั้นเป็นเด็ก ถ้าหากว่าไม่ปล่อยให้ฉันอย่างเต็มที่ ก็อาจจะมีปัญหาเหมือนอย่างปีก่อน ๆ คือสามเณรหลายรูปก็ต้องตื่นขึ้นมากระซิบกระซาบคุยกันกลางดึก เพราะว่าท้องว่างแล้วนอนไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับก็ต้องหาเพื่อนคุย จึงทำให้พรรคพวกเพื่อนฝูงพลอยไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้กระผม/อาตมภาพจึงอนุญาตให้สามเณรทั้งหลาย ถ้าหากว่าฉันแล้วไม่อิ่ม สามารถลุกขึ้นไปตักอาหารเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะวันนี้ บรรดาเจ้าภาพต่างนำเอาภัตตาหารอย่างชนิดดีเลิศมา เพื่อที่จะถวายแก่พระภิกษุและสามเณร ไม่ว่าจะเป็นต้มแซ่บซี่โครงอ่อน หรือว่าไก่ทอดก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าบรรดาผู้ที่ชราแล้วอย่างกระผม/อาตมภาพนั้น ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้จักประมาณในการกิน เผลอฉันมากเกินไปเมื่อไร ก็อาจจะก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย โดยเฉพาะส่วนที่ต้องกำชับพระพี่เลี้ยงทั้งหลายก็คือ ถ้ามีสามเณรที่เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องให้รีบแจ้งแก่พระพี่เลี้ยง เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือแก้ไข จ่ายยากันให้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะมีการติดหวัด หรือว่าติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ พาให้เดือดร้อนกันไปทั้ง ๖๐ กว่ารูป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2023 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
อีกส่วนหนึ่งก็คือเราต้องไม่ลืมว่าสามเณรนั้นก็คือเด็ก ย่อมมีการดื้อการซนกันเป็นธรรมดา จึงอย่าทำกิจกรรมที่ต้องนั่งนิ่ง ๆ เป็นระยะเวลานาน ซึ่งนโยบายเหล่านี้ในปีที่ผ่านมา บรรดาสามเณรภาคฤดูร้อนชอบใจมาก เพราะว่ามีการเดินจงกรมรอบวัดบ้าง เดินขึ้นยอดเข้าพระพุทธเจติยคีรีบ้าง เดินขึ้นยอดเขารอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนบ้าง ตลอดจนกระทั่งไปเดินสกายวอล์คที่เขื่อนวชิราลงกรณ ทำให้เณรทั้งหลายไม่เครียด อยู่ตามโครงการได้ครบทั้ง ๑๐ วัน แล้วก็ยังมีบุคคลอีกเป็นจำนวนมากที่ขออยู่ต่อยาวไปจนกระทั่งหลังสงกรานต์เลยก็มี
เหตุที่ต้องกำชับเอาไว้ก็เพราะว่าสามเณรนั้นคือเชื้อสายของสมณะ เป็นบุคคลที่ชาวบ้านให้การเคารพบูชา ถึงเวลาก็อนุเคราะห์สงเคราะห์ด้วยข้าวปลาอาหารและปัจจัย ๔ อื่น ๆ ก็แปลว่าสามเณรนั้นเป็นที่เคารพของคนอื่น อย่างน้อยก็ต้องทำตัวให้อยู่ในสถานภาพที่น่าเคารพ เนื่องเพราะว่าการบวชสามเณรนั้น ถ้าเปรียบเป็นการลงทุนแล้ว สามเณรลงทุนในกิจการไปเป็นเงิน ๑๐ ล้านบาท ญาติโยมทั่วไปลงทุนในกิจการด้วยศีล ๕ เปรียบเหมือนกับลงทุนไป ๕ ล้านบาท ถ้าหากว่ากิจการมีกำไรเหมือน ๆ กัน สามเณรย่อมได้กำไรมากกว่าเป็นเท่าตัว แต่ขณะเดียวกัน ถ้ากิจการนั้นเจ๊งขาดทุน สามเณรก็จะขาดทุนมากกว่าหลายเท่า ดังนั้น..พี่เลี้ยงตลอดจนกระทั่งตัวสามเณรเอง จึงต้องช่วยกันระมัดระวัง อย่าให้มีการบกพร่องในศีล ตลอดจนกระทั่งวัตรปฏิบัติต่าง ๆ เป็นอันขาด โดยเฉพาะที่วัดท่าขนุนจะปลุกสามเณรตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วลงมาเจริญกรรมฐานพร้อมกันตอนตี ๔ ต่อด้วยการทำวัตรเช้า เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พี่เลี้ยงก็จะจัดสามเณรที่รูปร่างค่อนข้างจะใหญ่ อายุค่อนข้างจะมาก อย่างเช่นว่าเรียนในระดับ ม.ต้น หรือว่า ม.ปลายแล้ว ออกบิณฑบาตร่วมกับพระ เพราะว่าถ้าให้สามเณรเล็ก ๆ ที่อยู่แค่ชั้น ป.๔ ป.๕ ป.๖ ไปเดินตามพระ ด้วยความที่เป็นเด็กเล็ก ขาสั้น ก็จะเดินตามพระไม่ทัน เมื่อคัดเอาบรรดาสามเณรที่มีรูปร่างสูงใหญ่ออกมาบิณฑบาต ในส่วนที่เหลือก็ให้พระพี่เลี้ยงนำไปช่วยกันทำความสะอาดวัด รดน้ำต้นไม้ ถูศาลา ขัดห้องน้ำ เหล่านี้เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้จะทำให้สามเณรทั้งหลายรู้จักรับผิดชอบตัวเอง อย่างที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่า เมื่อมาอยู่วัด สามเณรสามารถที่จะอาบน้ำ ซักผ้า ตลอดจนกระทั่งรับประทานอาหารด้วยตนเอง แต่พอกลับบ้านไป พ่อแม่ก็คอยดูแลเป็นอย่างดี แทบจะป้อนข้าวให้ทีละคำ จึงทำให้สามเณรนั้นกลับไปสู่ความเคยชินของตน ทางบ้านไม่สามารถที่จะต่อยอดในสิ่งที่ทางวัดดำเนินการไปแล้ว จนทำให้การอบรมจากทางวัดสูญเปล่าไปอย่างน่าเสียดาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2023 เมื่อ 02:24 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ตรงจุดนี้จึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรที่จะตระหนักว่า เรานั้นเป็นบุคคลที่อายุมากกว่า ถ้าคิดกันแบบคนประมาทก็คือ อย่างไรเสียก็ต้องตายก่อนลูกหลานของตนเองแน่นอน ถ้าหากว่าไม่ให้ลูกหลานของตนเองสามารถทำอะไร ๆ ด้วยตนเองไว้ตั้งแต่แรก ถ้าปุบปับเราเป็นลมแดด หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Heat Stroke ถึงแก่ชีวิตไปอย่างฉับพลันทันที ลูกของเราก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะว่าทำอะไรไม่เป็นเลย
ก็จะไปตกที่ภาษิตจีนกล่าวว่า เป็นอาการแบบ "พ่อแม่รังแกฉัน" ก็คือช่วยเหลือดูแลจนกระทั่งแทบจะทำแทนทุกอย่าง เมื่อถึงเวลาทำอะไรไม่เป็น สิ้นพ่อสิ้นแม่ไป ก็ไม่สามารถที่จะรักษาทรัพย์สมบัติมรดกเอาไว้ได้ จนกระทั่งต้องหมดเนื้อหมดตัว กลับกลายเป็นขอทาน เมื่อมีผู้มาถามว่า "เป็นลูกเศรษฐีไม่ใช่หรือ ? ทำไมตอนนี้ถึงเป็นเช่นนี้ ?" ขอทานก็บอกว่า "เป็นเพราะพ่อแม่รังแกฉัน" เหล่านี้เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งก็คือทรัพย์สินสิ่งของที่มีค่า โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ ให้ผู้ปกครองนำกลับไปทั้งหมด ไม่ให้เหลือติดตัวเอาไว้ เพราะว่าเคยมีการทำตกหล่นสูญหายเอง แล้วก็ไปกล่าวหาว่าเพื่อนฝูงลักขโมย แม้กระทั่งวันนี้ พอบวชสามเณรเสร็จก็มีแม่ยัดสตางค์ไว้ให้ สามเณรไม่มีกระเป๋าใส่ ก็เหน็บเอวไว้บ้าง เสียบเอาไว้แถวหน้าอกบ้าง โอกาสที่จะหล่นหายจึงมีสูงมาก อีกอย่างหนึ่งก็คือกระผม/อาตมภาพกำหนดไว้ว่า ตลอดโครงการ ๑๐ วันให้คนเป็นพ่อเป็นแม่มาเยี่ยมได้ครั้งเดียวในวันที่ ๕ เมษายนเท่านั้น ถ้าหากว่าใครมาก่อนหน้านั้น จะตีสามเณรที่เป็นลูกหลานแทน..! เพราะถือว่าไปอ้อนวอนจนกระทั่งพ่อแม่มา ดังนั้น..ถ้าพ่อแม่ไม่กลัวว่าลูกจะโดนตี จะมาเยี่ยมก่อนหน้านั้นก็ได้..! บางท่านก็ว่าจะเป็นการเข้มงวดโหดร้ายไปหรือเปล่า ? ขอให้ทราบว่าในโลกยุคปัจจุบันนี้ สภาพสังคมโหดร้ายกว่าที่ท่านทั้งหลายคิด ถ้าเราไม่พยายามเคี่ยวเข็ญให้สามเณรยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ออกไปเผชิญโลกภายนอกเมื่อไร ก็อาจจะถึงขนาดแตกสลาย กลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็มี สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2023 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|