#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันศุกร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่ถนัดของตน แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไปพร้อมกับคำภาวนา หายใจออกกำหนดรู้ตามออกมาพร้อมกับคำภาวนา
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นวันตรุษจีน ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนั้น บรรดาญาติพี่น้องชาวจีนต่างพากันสร้างความดี อย่างเมื่อวานนี้อาตมาไปกราบพระแก้วมรกต นอกจากชาวต่างชาติแล้ว คนที่ไปกราบพระแก้วมรกตมากที่สุด ก็คือ พี่น้องชาวจีน เพราะถือเป็น ๑ ใน ๙ สถานที่สำคัญที่ต้องไปกราบไหว้ให้ได้ แต่เท่าที่สังเกตก็คือว่า คนที่ไปส่วนใหญ่ ไปกราบไหว้ในลักษณะอามิสบูชา ก็คือใช้ดอกไม้ธูปเทียน แล้วอธิษฐานขอในสิ่งที่ตนปรารถนา ถ้าถามว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ? ก็ถูกต้องอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญอามิสบูชา เพราะการบูชาด้วยวัตถุสิ่งของนั้น จะเป็นปัจจัยให้เกิดความร่ำรวยในภายภาคหน้า แต่พระองค์สรรเสริญการปฏิบัติบูชามากกว่า เพราะว่าการปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา หรือว่า ศีล สมาธิ ปัญญานั้น เป็นหนทางในการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ดังนั้น..ในเทศกาลตรุษจีนอย่างนี้ แม้ว่าเราจะปฏิบัติบูชา แต่ก็อย่าฝืนโลกเสียทีเดียว การที่เราอยู่ในโลก เราต้องเคารพสมมติของทางโลก ถ้าหากว่าทางบ้านไหว้เจ้า เราก็ควรจะไหว้ด้วย แต่ว่าขณะเดียวกัน เมื่อมีโอกาสเราก็มาถวายสังฆทานด้วย อย่าไปปฏิเสธในสิ่งที่พ่อแม่ หรือบรรพบุรุษทำสืบเนื่องกันมา เพราะว่าอาจจะสร้างโทษให้แก่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมากอย่างที่คิดไม่ถึง เพราะถ้าเราปฏิเสธไม่ไหว้เจ้าตามท่าน ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่ท่านคิดว่าดี แล้วเราบอกว่าเราจะไปวัดแทน เกิดพ่อแม่หรือบรรพบุรุษของเรา กล่าวปรามาสพระรัตนตรัยขึ้นมา ก็จะเกิดโทษอย่างแรงสำหรับท่านทั้งหลายเหล่านั้น กลายเป็นว่าเราสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่ผู้อื่นโดยที่ไม่ได้เจตนา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 04:08 |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ดังนั้น..แม้ว่าเราจะรู้ว่า การปฏิบัติบูชานั้นดี แต่การปฏิบัติก็ยังมีอยู่หลายระดับ ระดับแรกได้แก่ระดับของศีล ก็คือ สามารถควบคุมกายวาจาของเราให้อยู่ในกรอบได้ ไม่ล่วงละเมิดด้วยการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดโกหก หรือว่าดื่มสุราเมรัย เป็นต้น
ในระดับของสมาธิ เราควบคุม กาย วาจา และใจ ของเราได้ โดยที่สามารถบังคับจิตใจของเราให้จดจ่อแน่วแน่อยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งจะมีอานิสงส์มากกว่าการปฏิบัติในศีลเป็นร้อยเท่า ส่วนในเรื่องของปัญญา เป็นการที่เราพิจารณาแล้ว รู้แจ้งเห็นจริงในสามัญลักษณะของสรรพสิ่งแล้วจิตใจยอมรับได้ เราจะเห็นได้ว่าในช่วงตรุษจีน หลายต่อหลายท่านได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนา อย่างเช่นว่า ได้เงินโบนัส หรือเงินแต๊ะเอียของจีนเขา เราก็ดีใจ บางท่านได้เป็นสิ่งของ เป็นทองคำ เป็นรถยนต์ ก็มี แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น ก็เพียงแต่สร้างความปีติยินดีให้กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่ของที่จีรังยั่งยืน ความสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ถ้าหากว่าเรามีปัญญาดังนี้ ก็จะต้องหาช่องทางว่า ทำอย่างไรเราถึงจะไม่ต้องมาเกิดอีก ก็ต้องย้อนกล่าวกลับไปถึงการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ที่ผ่านมา ศีลทำให้เราสามารถควบคุมกายวาจาเอาไว้ได้ ป้องกันการล่วงละเมิดในกิเลสหยาบ คือในส่วนของวีติกกมกิเลสได้ สมาธิเป็นการควบคุมกาย วาจา และใจของเรา บังคับให้ใจของเรานั้น อยู่ในกรอบของความดี ทำให้ในส่วนของกิเลสที่กรุ่นอยู่ในใจของเรา โดนดับสงบลงชั่วคราวได้ คือ สมาธิจะเป็นส่วนในการที่หักห้ามปริยุฏฐานกิเลส กิเลสที่กรุ่นอยู่ในใจของเราให้ดับลงได้ชั่วคราว จนกระทั่งสุดท้ายจำเป็นต้องใช้ปัญญา ในการถอนอนุสัยกิเลส อย่างเช่น กามราคานุสัย อวิชชานุสัย เป็นต้น ก็คือในส่วนของกามราคะก็ดี ในส่วนของโทสะก็ดี ในส่วนของอวิชชาความรู้ไม่ทั่วถึงธรรมก็ดี ซึ่งฝังรากลึกอยู่ในใจของเรานั้น จำเป็นต้องใช้ปัญญาในการขุดค้น ในการตัดทอน ในการลด ละ แล้วก็เลิก ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นลงไป ซึ่งก็ต้องอาศัยกำลังของศีลสร้างเสริมให้สมาธิทรงตัว แล้วอาศัยกำลังของสมาธิสร้างเสริมให้เกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาแล้ว ก็ไปควบคุมศีลและสมาธิให้ทรงตัวอีกระดับหนึ่ง จะเป็นการหมุนเวียนกันไปอย่างนี้ เป็นต้น จนสามารถที่จะรู้เห็นกิเลสได้อย่างชัดเจน แล้วก็ละเว้นการประพฤติอันเป็นต้นเหตุแห่งการก่อทุกข์ให้เกิดขึ้นกับเรา เมื่อเราเว้นการสร้างเหตุแห่งทุกข์ได้ ทุกข์ก็ไม่เกิดกับเรา และท้ายสุดเราดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง คือรู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วในที่สุด ก็ถอดถอนละวางเสียซึ่งความปรารถนาในร่างกายนี้ ความปรารถนาในโลกนี้ ความปรารถนาในการเกิด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 15:00 |
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เมื่อสามารถถอดถอน ละวางออกไปจากใจของเราได้ เราก็ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์อีก ดังนั้น..ในช่วงตรุษจีน จะเห็นญาติโยมโดยเฉพาะพี่น้องชาวจีนมากต่อมากด้วยกันเข้าวัดเข้าวาหรือเข้าศาลเจ้า เพื่อที่จะไปประกอบกรรมความดี
แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว ก็เป็นความดีในด้านอามิสบูชาดังที่ได้กล่าวมา ส่วนพวกเราทั้งหลายเมื่อรู้ว่า การปฏิบัติบูชานั้นดีอย่างไร เราก็มาปฏิบัติกันตามแบบของเรา เพียงแต่ว่าการปฏิบัตินั้น เราอยู่กับโลกก็ต้องเคารพสมมติของทางโลกด้วย ให้อยู่กับโลกในลักษณะของน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัวใบบอน แต่ว่าไม่ได้ติดอยู่กับใบบัวหรือใบบอนนั้น ก็คือเราไปกับโลกได้ แต่เรามีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องป้องกัน ไม่ให้เราเผลอไปยึดติดกับโลก ดังนี้เป็นต้น ดังนั้น..ในช่วงวาระของตรุษจีนนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจให้ชัดเจนว่า อามิสบูชานั้นเป็นเรื่องดี เพราะว่าเป็นเหตุให้เกิดโภคสมบัติในภายภาคหน้า แต่ขณะเดียวกัน ปฏิบัติบูชานั้น นอกจากนำความสุขในชาตินี้มาให้แก่เรา เพราะเป็นผู้มี กาย วาจา ใจ อันสงบ มีกำลังในการที่จะดับกิเลสได้ชั่วคราวแล้ว ยังสามารถจะนำประโยชน์สุขในเบื้องหน้า คือกำลังใจที่ทรงตัว ทำให้เราไปเกิดในสุคติภพได้ ตลอดจนนำประโยชน์สุขสูงสุด ก็คือ พาให้เราหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ เราจึงควรที่จะกระทำทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา โดยที่ไม่คัดค้านอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยหลงเข้าใจผิดว่าสิ่งนี้ดีกว่า เพราะว่ากำลังใจของบุคคลนั้นอยู่ในระดับไหน ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ตนปฏิบัตินั้นดีแล้วถูกแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเป็นการดีของเขา ถูกของเขา หรือว่าดีของพระพุทธเจ้า ถูกของพระพุทธเจ้า เมื่อเรารู้ว่าสิ่งไหนที่เป็นสิ่งดีของพระพุทธเจ้า และถูกของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ให้เรายึดถือและปฏิบัติเพื่อความล่วงพ้นจากความทุกข์ของเรา จากนี้ไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจปฏิบัติภาวนา ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา เนื่องในวาระโอกาสวันขึ้นปีใหม่จีน แม้ว่าจะเป็นวัน ๒ ค่ำแล้วของจีนแล้วก็ตาม แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนตราบใดที่ยังไม่ถึง ๖ ค่ำ ก็ยังอยู่ในช่วงหยุดงานของคนจีนเขาอยู่ ในสมัยนี้แม้ว่าบุคคลจะยังยึดถือประเพณีอยู่ก็ตาม แต่ว่าความสำคัญของตรุษจีนก็ลดน้อยถอยลงไปมาก พวกเราก็อาศัยความสำคัญของตรุษจีนนี้ ในการสร้างความดีใส่ตัว ด้วยการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาของเรา ลำดับต่อไปนี้ ก็ให้ทุกคนกำหนดความรู้สึกทั้งหมด อยู่กับลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจอยู่ มีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดรู้ไป ถ้าลมหายใจเบาลง คำภาวนาเริ่มขาดหายไป ก็กำหนดใจรู้ว่าลมหายใจเบาลง คำภาวนาขาดหายไป หรือว่าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนาเลย ก็กำหนดสติรู้อยู่อย่างนั้น อย่าอยากให้เป็นและอย่าอยากให้หาย เรามีหน้าที่กำหนดดู กำหนดรู้ไปเฉย ๆ ให้ปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์ วันศุกร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 15:00 |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|