#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐
ขอให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ซึ่งในระยะนี้เหตุการณ์ต่าง ๆ รอบข้างบีบรัดเข้ามา โดยเฉพาะในส่วนของพระพุทธศาสนา มีบุคคลจำนวนหนึ่งพยายามที่จะทำลายพุทธศาสนาให้หมดกำลังหรือสูญสิ้นไป ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้กำลังหรือกฎหมาย หรือการสร้างเรื่องเสียหายให้เกิดขึ้นกับพุทธศาสนาก็ตาม ในส่วนนี้พวกเราทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัททั้ง ๔ ซึ่งจัดอยู่ในส่วนของอุบาสกอุบาสิกาบริษัท จะปล่อยวางนิ่งเฉยโดยประการเดียวไม่ได้ ถ้าท่านทั้งหลายคิดว่าเราเป็นบุคคลเล็กน้อย ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะพูดจะทำแล้วผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองจะให้ความสนใจ อาตมาขอยืนยันว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราสามารถสร้างได้ สามารถทำได้ คือ การฝึกฝนตนเองให้เกิดอภิญญาสมาบัติขึ้นมา เมื่อถึงเวลาแล้วถ้ามีบุคคลใดกล่าวจาบจ้วงพุทธศาสนา ในส่วนของฆราวาสไม่มีศีลเป็นข้อห้ามเหมือนอย่างพระภิกษุสามเณร ของพระภิกษุนั้น ถ้าจะแสดงฤทธิ์ก็ติดด้วยข้อห้ามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสห้ามเอาไว้ แล้วท่านที่มีฤทธิ์ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นพระอริยเจ้าที่ยอมรับกฎของกรรม จึงต้องอาศัยอุบาสก อุบาสิกา หญิงชายของเรานี่เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2017 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ในเรื่องของฤทธิ์อภิญญานั้น มีแนวทางในการฝึกหลายแนวด้วยกัน แนวทางแรกก็คือ วิธีการตั้งแต่สมัยพุทธกาล หรือก่อนพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การฝึกกสิณ ๑๐ เริ่มต้นด้วยกสิณกองใดกองหนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุด หาวัสดุที่เป็นกองกสิณนั้น ๆ มา เสร็จแล้วก็กำหนดการภาวนาพร้อมกับจับภาพวัสดุนั้นไปด้วย
ลืมตามองดวงกสิณ หลับตาลงจดจำไว้ พร้อมกับคำภาวนา เราจะจำได้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วภาพก็เลือนหายไป เราก็ลืมตามอง หลับตาลง จดจำไว้ พร้อมกับภาวนา ทำในลักษณะนี้ การเพ่งกสิณไม่ใช่ไปลืมตาจ้อง แต่เป็นการมอง หลับตาลงนึกถึงภาพ เมื่อภาพเลือนหายไป ก็ลืมตามอง หลับตาลงนึกถึงใหม่ ทำอย่างนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง จนกระทั่งหลับตาหรือลืมตา ก็สามารถเห็นภาพกสิณได้เท่ากัน ตอนนี้จะเป็นตอนที่ยาก ก็คือเราต้องประคับประคองภาพกสิณให้อยู่กับเราตลอดเวลา จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือภาพกสิณของเรา ถ้าสามารถรักษาเอาไว้ได้ ภาพนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป จากสีเดิมจะค่อย ๆ จางลง กลายเป็นสีเหลืองอ่อน เป็นสีขาว ค่อย ๆ ใสขึ้น ๆ จนกระทั่งใสสว่างเจิดจ้า ถ้าถึงตรงนี้ก็ลองอธิษฐานขอให้ภาพนั้นใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง เมื่อสามารถกำหนดได้ดั่งใจแล้ว ก็สามารถอธิษฐานใช้ผลกสิณนั้นได้ เมื่อสามารถใช้ผลได้ดั่งใจแล้ว ก็ค่อยขยับไปทำกสิณกองใหม่ ถ้าหากมีความคล่องตัวในกสิณทุกกองแล้ว จะสามารถแสดงฤทธิ์ทุกอย่างได้อย่างที่ต้องการ ไม่ว่าจะเหาะเหินเดินอากาศ มุดน้ำดำดินอย่างไรก็ได้ ซึ่งเป็นฆราวาสไม่มีข้อห้าม แต่ไม่สามารถจะใช้กสิณนั้นไปในทางผิดศีลผิดธรรมได้ ถ้าใช้เมื่อไรก็จะเสื่อมทันที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2017 เมื่อ 02:56 |
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ส่วนอีกวิธีการหนึ่งก็คือ ภาวนาคาถาตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยให้ไว้ ได้แก่ โสตัตตะภิญญาหรือสัมปะจิตฉามิ สองอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องฝึกกสิณ เพราะเป็นเรื่องของพระ ของพรหม ของเทวดา ท่านจะสงเคราะห์
ถึงเวลาเราภาวนาไป ถ้าอารมณ์ใจทรงตัว ก็จะใช้อำนาจของกสิณได้คล้าย ๆ กับผู้ที่ฝึกกสิณ ๑๐ มา ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องอาศัยความพากเพียรพยายามระยะหนึ่งโดยไม่ท้อถอย เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวตั้งมั่นได้ สิ่งต่าง ๆ ที่คิดจะฝึกคิดจะทำจึงจะเกิดผลขึ้น เมื่อเกิดผลแล้ว ต้องซักซ้อมให้มีความคล่องตัว นึกอยากจะใช้เมื่อไรก็ต้องใช้ได้ทันที เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาบุคคลของศาสนาอื่นมาจาบจ้วง มาเบียดเบียน ก็ต้องอาศัยอุบาสก อุบาสิกา ญาติโยมหญิงชายทั้งหลาย ใช้กำลังของอภิญญาสมาบัติเหล่านี้แสดงให้เขาเห็นว่า พุทธศาสนาเป็นของจริง เป็นของแท้ ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พระภิกษุติดด้วยข้อห้าม ติดด้วยศีลที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ เพราะเกรงว่าจะเอาอำนาจของฤทธิ์ของอภิญญาไปแสวงหาชื่อเสียงลาภยศ ทำให้คนยึดติดอยู่แต่ฤทธิ์อภิญญา แล้วไม่มีการอุปถัมภ์อุปัฏฐากพระภิกษุสามเณรที่ไม่ได้มาในสายของอภิญญา ศาสนาของเราก็จะตั้งอยู่ไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2017 เมื่อ 11:20 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ดังนั้น...พุทธบริษัท ๔ ของเราในปัจจุบันนี้ ก็ต้องฝากความหวังไว้ที่อุบาสกอุบาสิกาบริษัท ซึ่งจะช่วยเหลือค้ำจุนพุทธศาสนาของเรา อย่าได้แต่วิตกกังวล เครียด ว่าในสถานการณ์แบบนี้เราจะทำอย่างไรถึงจะช่วยศาสนาของเราได้ แต่ให้เราตั้งหน้าตั้งตาฝึกตน ให้เกิดฌานเกิดสมาบัติขึ้นมา
แม้ว่าโอกาสที่จะใช้ไม่มี ถ้าเราเกิดฌานสมาบัติ เกิดความคล่องตัวขึ้นมา อย่างน้อยคติคือที่ไปในเบื้องหน้าของเราก็จะมั่นคงขึ้น ถ้าท่านสามารถใช้กำลังของอภิญญาสมาบัติมาช่วยในการตัดกิเลสก็จะเป็นไปโดยง่ายขึ้น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จึงขอฝากไว้ว่า ในฐานะอุบาสก อุบาสิกา ท่านทั้งหลายต้องรับผิดชอบพระพุทธศาสนาไปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งจึงเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณร ในเมื่อเรารับผิดชอบอยู่ครึ่งหนึ่ง ภาระหน้าที่ซึ่งหนักหนานี้ ถ้าไม่มีกำลังของสมาธิ ของสมาบัติ ของอภิญญา เราก็ไม่สามารถจะทำหน้าที่ของเราให้ดีได้ ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันเสาร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2017 เมื่อ 11:19 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|