#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันนี้ ที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต เหตุที่ต้องมาบันทึกตอนนี้ก็เพราะว่า เมื่อขึ้นเครื่องบินไปแล้ว กว่าที่จะถึงสนามบินนานาชาติดอนเมือง ก็เป็นเวลา ๕ โมงเย็นกว่าแล้ว หลังจากนั้นยังต้องหาแท็กซี่เข้าสู่ที่พัก คาดว่าน่าจะเลยเวลาบันทึกเสียงไปนาน จึงทำการบันทึกเสียงเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้หมดปัญหาไปตั้งแต่ต้น
สำหรับช่วงเช้าวันนี้ กระผม/อาตมภาพยังคงรับสังฆทานอยู่ที่บ้านของคุณสหัสชัย - คุณวนิดา ทศกาญจน์ ซึ่งมีญาติโยมทั้งหลายมาถามปัญหาธรรมเป็นจำนวนมาก แต่ที่น่าชื่นใจก็คือว่า นอกจากบุคคลที่เห็นทุกข์แล้ว ยังมีบุคคลที่ปฏิบัติแล้ว อารมณ์จิตหลับและตื่นมีความตื่นรู้เท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก เพราะว่าการปฏิบัติธรรมทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมทั้งหลายก็หวังว่าจะทำให้ได้ถึงในระดับของความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ซึ่งโอกาสที่จะทำได้ถึงก็น้อย เนื่องเพราะว่าอันดับแรก พวกเราทั้งหลายไม่รู้ว่าต้องทำให้ถึงตรงนี้ อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อทำถึงแล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองทำถึง อย่างบุคคลที่มาถามในวันนี้บอกว่าตนเองนอนไม่หลับ แต่ความจริงแล้วตนเองนั้นหลับ เพียงแต่ว่าสภาพจิตนั้นตื่นอยู่ ตามที่ได้รับการฝึกปรือมา เพื่อที่จะได้ระมัดระวัง ไม่ให้มีกิเลสเข้ามากินใจเราได้ในขณะที่หลับอยู่ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็มักจะคิดว่าตนเองนอนไม่หลับ ทั้ง ๆ ที่บางทีนอนไปแล้ว ได้ยินเสียงกรนของตนเองเสียด้วยซ้ำไป..! หลายท่านนั้น กระผม/อาตมภาพให้คำแนะนำไปว่า อย่าไปสนใจว่าเราจะหลับหรือว่าไม่หลับ ให้ตั้งใจว่าถ้าไม่หลับได้แหละดี เราจะภาวนาให้มากไปเลย ซึ่งถ้าตั้งใจในลักษณะอย่างนี้ สภาพจิตคลายตัวลง ก็มักจะตัดหลับไปเลยทีเดียว แต่ถ้าท่านที่รู้แล้วว่าสภาพจิตของเรา เมื่อมาถึงตรงนี้จะมีสภาพความตื่นอยู่ เพื่อที่จะได้ระมัดระวัง ไม่ให้กิเลสกินใจของเราได้ในยามที่หลับ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ก็จะอาศัยช่วงนี้ในการกำหนดจิตภาวนา หรือว่าพิจารณาตามที่ตนต้องการ จนกระทั่งได้ระยะเวลาที่สมควร ก็จะสั่งการให้ตนตื่นขึ้นมา ซึ่งการตื่นนั้น ก็แค่กระจายความรู้สึกออกไปตามปลายมือปลายเท้า เมื่อประสาทร่างกายสมบูรณ์แล้ว ก็บอกตัวเองว่า "ลืมตาขึ้น พลิกตัว ลุกนั่ง ยืนขึ้น เดินไปห้องน้ำ" เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2023 เมื่อ 01:46 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ขั้นตอนเหล่านี้ ถ้าหากเราพิจารณาดูจากสภาพจิตของตน จะเห็นว่าช้ามาก ค่อย ๆ เป็นไปทีละลำดับ แต่ถ้าหากว่าบุคคลอื่นมองเห็นเรา ก็จะเห็นว่าเราลืมตาตื่น พลิกตัว ลุกนั่ง แล้วเดินไปเลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า สภาพจิตที่ได้รับการฝึกฝนดีแล้ว มีความแหลมคมและว่องไวมาก ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่ทันกับกิเลส ที่เข้ามากินใจของเราอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเราไม่สามารถที่จะระมัดระวังได้ทัน
ช่วงนี้ถ้าหากว่าใครที่เคยมีอุบัติเหตุรุนแรง อาจจะพบเห็นว่าสภาพสิ่งรอบข้างเหมือนกับช้าไปหมด จนกระทั่งเราสามารถที่จะแก้ไขเหตุการณ์จากร้ายให้เป็นดี หรือว่าจากหนักได้เป็นเบาได้ทันท่วงที เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสภาพจิตของเราโดนเร่งด้วยอุบัติเหตุ จนเข้าสู่ความเร็วสูงสุดของตน จึงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความเร็วปกติ เป็นความเชื่องช้าเสียจนเหมือนอย่างกับในภาพยนตร์ที่มีการถ่ายภาพแบบสโลว์โมชั่น ทำให้เราสามารถที่จะมองหาหนทางแก้ไขปัญหาตรงหน้าได้ทันการ เรื่องของสภาพจิตของเราที่เสวยอารมณ์ ปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามากินใจก็เช่นกัน มีความเร็วมากจนกระทั่งเราระวังไม่ทัน แต่ถ้าสภาพจิตของเราเข้ามาถึงตรงจุดนี้ จะมีความเร็วที่พอฟัดพอเหวี่ยงกัน หรือว่ามีความเร็วกว่า ทำให้เราสามารถป้องกันเอาไว้ได้ทันท่วงที แต่ว่าในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายซักซ้อมจนมีความคล่องตัวแล้ว สติ สมาธิ ปัญญา มีความรู้รอบ ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่งก็คือ ทันทีที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจก็จะไม่นำมาครุ่นคิด หากแต่ปัญญาจะแยกแยะอย่างฉับพลันทันที ว่าถ้าคิดแบบนี้จะเป็นคุณแก่เรา ถ้าคิดแบบนี้จะเป็นโทษแก่เรา คำว่า "เป็นคุณ" ก็คือทำให้สภาพจิตของเราสะอาด ผ่องใส ปราศจากกิเลสยิ่ง ๆ ขึ้นไป คำว่า "เป็นโทษ" ก็คือ ทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง ในใจของเรานั้น เจริญงอกงามขึ้นมา ถ้ามาถึงในระดับนี้ สภาพจิตก็จะตัดด้านการที่คิดแล้วเป็นโทษแก่ตนเอง มาคิดเฉพาะในด้านที่เป็นคุณแก่ตนเองเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2023 เมื่อ 01:48 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ถ้ามาถึงในระดับนี้ กำลังใจของท่านก็จะสะอาดกว่าปกติ เนื่องเพราะว่าจะมีแต่สิ่งที่ดี ๆ ที่เรารับเข้ามาสู่ใจ สิ่งที่ไม่ดีไม่งามนั้น เราก็ไม่คิดถึง ในเมื่อเราไม่ไปยุ่ง ไม่ไปเกี่ยว ก็เปรียบเสมือนกับเชื้อเพลิง ต่อให้กองใหญ่แค่ไหนก็ตาม ถ้าเราไม่เอาไฟเข้าไปจุด ก็ไม่สามารถที่จะเผาผลาญเราให้เดือดร้อนขึ้นมาได้
จึงเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมบางท่านกล่าวเอาไว้ว่า คนที่ปฏิบัติไปถึงระดับแล้ว ไม่ใช่ว่าตัดกิเลส หากแต่ว่าเขาเหล่านั้นไม่ไปยุ่งกับสาเหตุของการเกิดกิเลส กิเลสจึงเกิดไม่ได้ ทำให้เหมือนกับโดนตัดออกไปจากใจเอง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราไม่ต้องเสียเวลาไปถกเถียงกันว่า ใครพูดถูก ใครพูดผิด ใครมีความเห็นว่าอย่างไร แต่ว่าสิ่งที่เราต้องสนใจก็คือ ซักซ้อมอยู่เสมอ ๆ จนสภาพจิตมีความคล่องแคล่ว ชำนาญ รู้เท่าทันสิ่งที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ว่าสิ่งใดจะทำให้กรรมฐานของเราเจริญ สิ่งใดที่จะทำให้สภาพจิตของเรามืดมัวลงไป แล้วเราก็เลือกเฉพาะสิ่งที่ทำให้สภาพจิตของเราดีขึ้น เจริญขึ้น มีความก้าวหน้ามากขึ้น เราก็จะสามารถขัดเกลาสภาพจิตของตนเอง ให้บางเบาจากกิเลสได้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ จนกระทั่งในที่สุด เมื่อกิเลสใหม่ไม่สามารถที่จะเกิดได้ กิเลสเก่าโดนขัดเกลาไปเรื่อย ๆ ก็บางเบา หมดสภาพลงไป จนสภาพจิตของเราผ่องใสถึงที่สุด ก็สามารถที่จะก้าวล่วงจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ว่าเมื่อมาถึงตอนที่ลาจากกัน แม้ว่าจะมีการกราบขอขมาพระรัตนตรัย เผื่อว่าในการถามปัญหาต่าง ๆ มีการก้าวล่วงด้วยสิ่งหนึ่งประการใด จะได้ไม่มีโทษแก่ตนเองก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่ญาติโยมปรารภก็คือ "เมื่อหลวงพ่อจะกลับก็รู้สึกว่าใจหาย" ถ้าลักษณะนี้ แปลว่ากำลังใจยังไม่เพียงพอที่จะรักษาตนเอง เรายังเป็นไม้เลื้อยที่ต้องอาศัยเกาะไม้ใหญ่อยู่ตลอดเวลา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2023 เมื่อ 01:50 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ ท่านทั้งหลายต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เอาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นไป จนกระทั่งสภาพจิตของเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่เกาะอย่างแท้จริง เราก็จะไม่รู้สึกว่าใจหายเมื่อต้องห่างจากครูบาอาจารย์ หรือไม่รู้สึกว่าโดนทอดทิ้ง ไม่รู้สึกว่าเหงา เหล่านี้เป็นต้น
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่กล่าวตามพุทธพจน์บทพระบาลีที่ว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่พระตถาคตเจ้าก็เป็นเพียงผู้บอกกล่าวเท่านั้น เมื่อบอกหนทางที่ถูกที่ควรให้แล้ว ก็อยู่ที่ท่านทั้งหลายว่าจะเร่งรัดตัดตรงไปสู่ปลายทาง หรือว่าจะค่อย ๆ เดินชมดอกไม้ไปตามระยะทางที่เหลืออยู่ ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละคน ครูบาอาจารย์นอกจากให้กำลังใจ นอกจากมาสนับสนุนบางระยะบางเวลาแล้ว สิ่งที่เหลือทั้งหมดก็ได้บอกได้กล่าวให้แก่ทุกคนไปแล้ว เหมือนกับมอบเคล็ดวิชาไปให้ พวกท่านจะสามารถฝึกปรือจนกระทั่งกลายเป็นจอมยุทธโดดเด่นในยุทธจักรได้ หรือว่าจะกลายเป็นเพียงปลายอ้อปลายแขม ยังต้องเกิดอีกนาน ก็ต้องขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลายเอง ว่าจะมีความเพียรพยายามมากน้อยเพียงใด สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2023 เมื่อ 01:51 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|