#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุุกร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่อยากจะเตือนพวกเราในวันนี้ก็คือเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐาน ถ้านับในเรื่องของประโยชน์แล้วมีประโยชน์มหาศาลมาก แต่เนื่องจากว่าพวกเราทั้งหลายนั้นยังขาดกำลังใจ กำลังใจในที่นี้จะว่าไปแล้วก็คือกำลังสมาธิ ในเมื่อสมาธิไม่ทรงตัว การที่จะรักษาอารมณ์ในการปฏิบัติให้ต่อเนื่องก็เป็นไปได้ยาก เพราะว่ามักจะฟุ้งซ่านไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง เสียก่อน ถ้าหากว่าสมาธิจิตของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับคำภาวนา ถ้าไม่เคลื่อนไม่คลายไปไหน รัก โลภ โกรธ หลง จะโดนกำลังสมาธิกดดับลงชั่วคราว ตอนช่วงนั้นเราจะมีความสุขมาก เป็นความสุขที่พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ถูก บุคคลที่โดนไฟ รัก โลภ โกรธ หลง ๔ กองเผาอยู่ตลอดเวลา ถ้าไฟดับลงเราจะมีความสุขแบบไหน ? พูดเป็นภาษาคนไม่ได้ บาลีว่าปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตัวเท่านั้น คราวนี้การปฏิบัติของเราส่วนใหญ่เราทำด้วยความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเก่ง อยากดี อยากเด่น อยากดัง ในเมื่อเราเริ่มต้นด้วยความอยาก โอกาสที่จะได้ดีก็มีน้อย เพราะว่าตัวอยากเป็นความฟุ้งซ่าน เป็นนิวรณ์ใหญ่ที่กั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึง แต่ถ้าหากว่าไม่อยากแล้วเราจะปฏิบัติทำไม ? ถ้าหากว่าความอยากเกิดขึ้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่เวลาภาวนาให้กำลังใจของเราอยู่กับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่อยู่กับความอยาก พูดง่าย ๆ ก็คือว่าอยากได้ แต่ตอนภาวนาให้ลืมความอยากเสียก่อน ถ้าเราสามารถทำแบบนี้ได้ กำลังสมาธิก็จะทรงตัวได้ง่ายแล้วก็เร็ว เพราะว่าสภาพจิตไม่ได้วุ่นวายด้วยความอยาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2018 เมื่อ 03:10 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ในแต่ละวันญาติโยมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษากำลังใจของเราให้มั่นคงอยู่กับสมาธิ เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสหยาบ คือ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาทำให้สภาพจิตของเราเศร้าหมองมืดบอด ถ้ากำลังใจของเราจดจ่ออยู่กับสมาธิภาวนา สภาพจิตก็จะค่อย ๆ ผ่องใสขึ้น ทรงตัวมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ก็จะทำให้เราเกิดความพากเพียรในการปฏิบัติมากขึ้น เพราะว่าทำแล้วเกิดผลดี
การที่เราปฏิบัติธรรมแล้วเกิดผลดี ก็จะทำให้เราอยากที่จะทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยเฉพาะเมื่อกำลังสมาธิทรงตัว สามารถต่อต้านกิเลสได้ เราก็จะรู้ว่าเวลาที่จิตเราผ่องใสจากกิเลสนั้นมีความสุขอย่างไร แล้วเวลาที่จิตโดนท่วมทับด้วยกิเลสนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน เมื่อเป็นดังนั้นในแต่ละวัน โดยเฉพาะช่วงเช้ามืด เราจึงต้องสร้างกำลังใจของเราให้ทรงตัวเอาไว้ ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องรีบเอาสติจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา หรือบางท่านเคยชินกับภาพพระหรือพระนิพพาน ก็ส่งจิตไปกราบพระบนพระนิพพาน รักษากำลังใจให้ทรงตัวเสียก่อนแล้วค่อยไปทำอย่างอื่น ถ้าเกรงว่าเราภาวนาแบบนั้นจะเผลอหลับ ก็ให้ตั้งใจนึกถึงพระ ไม่ว่าจะเป็น พุทโธ ธัมโม สังโฆ อย่างไรก็ได้ สัก ๓ ครั้ง ๕ ครั้ง ๗ ครั้ง แล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ให้ร่างกายสดชื่นก่อน แล้วค่อยมานั่งสมาธิภาวนาก็ได้ กำลังสมาธิที่ได้ในช่วงเช้า จะรักษากำลังใจของเราให้ผ่องใส ถ้าหากว่าประคับประคองดี ๆ ก็อาศัยได้ทั้งวัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2018 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
แต่ถ้าหากว่าฝีมือไม่ดี กำลังสมาธิไม่สูง กระทบกับกิเลส ไม่ว่าจะระหว่างเดินทางหรือระหว่างทำงาน กำลังสมาธิเคลื่อนคลายหรือสลายตัวไป เราก็ต้องรีบหาเวลาเหมาะ ๆ ภาวนารักษากำลังใจให้มั่นคงเสียใหม่
สมัยฝึกหัดอาตมาให้วิธีเข้าส้วม แต่ว่าเข้านานนิดหนึ่ง ก็คือภาวนาจนลมหายใจทรงตัวแล้วค่อยออกมา อย่าทำให้คนอื่นเห็น ไม่อย่างนั้นจะเป็นขี้ปากเขา เมื่อกำลังใจทรงตัวก็อาศัยได้อีกหลายชั่วโมง พอถึงเวลาเลิกงานแล้วมีเวลาก็รีบภาวนา แต่ส่วนใหญ่ตอนเลิกงานก็มักจะเหนื่อยจนหมดสภาพ ดังนั้น...ถ้าหากว่าทำหน้าที่ของเรา ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำชำระร่างกาย หาอาหารให้กิน ซักผ้า ฯลฯ หมดงานประจำวันแล้ว ถึงเวลาก่อนนอนก็กราบหมอนเสีย ๓ ครั้งแล้วนอนไปเลย เหนื่อยมาทั้งวันจะให้นั่งภาวนาก็ไม่ไหว นอนภาวนาจับลมหายใจแทน ให้คิดว่าร่างกายของเราที่นอนเหยียดยาวลงไปก็เหมือนกับคนตาย ถ้าหากว่าไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกในวันรุ่งขึ้น หรือว่าหมดอายุขัยตายลงไป เราขอไปพระนิพพานที่เดียว แล้วกำหนดลมหายใจ กำหนดคำภาวนา หรือว่าเกาะภาพพระของเราไว้ให้หลับไป พยายามหมุนเวียนทำอย่างนี้ไปทุกวัน กำลังใจของเราจะมั่นคง มีกำลังในการสู้กิเลส มีกำลังในการทวนกระแสโลก ท้ายที่สุดก็สามารถตัดและข้ามกระแสไปได้ เข้าสู่พระนิพพานตามที่พวกเราหวัง ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2018 เมื่อ 03:14 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|