กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-01-2019, 09:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุุกร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๒

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมรับปีใหม่ของพวกเรา ซึ่งโดยปกติแล้ววันเดือนปีที่ผ่านไปนั้น แต่ละวันก็ไม่ได้มีความต่างอะไร เพราะว่านำพาชีวิตของเราให้ก้าวเข้าใกล้ความตายไปเรื่อย ๆ

ดังนั้น..นักปฏิบัติที่ดีจึงต้องทรงความไม่ประมาทอยู่เป็นนิจ พยายามที่จะรักษา กาย วาจา ใจ ของเราให้อยู่ในกรอบของศีล ของสมาธิ ของปัญญา เพื่อที่สภาพจิตจะได้เคยชินกับความดี ถ้าหากว่าหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี เกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม สภาพจิตที่เคยชินกับความดี ก็ย่อมนำเราไปสู่สุคติ หรือว่าถ้าหากว่าเราไม่นิยมร่างกายนี้ ไม่นิยมการเกิด ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้

ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็นวันใหม่ เดือนใหม่ ปีใหม่อย่างไร สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้วก็เหมือนกัน คือเราก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา เราก้าวเข้าไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา ดังที่ในบาลีกำหนดให้บรรพชิตคือนักบวช พิจารณาเนือง ๆ ว่า กะถัมภูตัสสะ เม รัตตินทิวา วีติปะตันติ วันคืนล่วงไป ๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ เป็นการเตือนสติตัวเราให้รู้ว่า บัดนี้ปีเก่าผ่านไปอีกปีหนึ่งแล้ว เราแก่ลงไปอีกหนึ่งปี เราเข้าใกล้ความตายเข้าไปอีกหนึ่งปี ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริงก็จะรู้สึกว่านานเกินไป มากเกินไป มองภาพรวมกว้างเกินไป

นักปฏิบัติที่แท้จริงต้องเอาเฉพาะตอนนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น ก็คือชั่วลมหายใจเข้าออกตรงหน้า ถ้าหายใจเข้าไม่หายใจออก เราก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้า เราก็ตายอีกเช่นกัน นักปฏิบัติที่ดีจึงต้องเร่งรัดตนเองอยู่เสมอ ขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองอยู่เสมอ ก็คือ กาย วาจา ของเรานี้ ขัดเกลาด้วยศีล ใจของเราขัดเกลาด้วยสมาธิและปัญญา เพื่อที่จะชำระจิตของเราให้ผ่องใสจากกิเลส
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2019 เมื่อ 18:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 14-01-2019, 20:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าสติสมาธิของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะกินใจของเราได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงขนาดตรัสว่า บุคคลที่ทรงอัปปนาสมาธิ คือ ทรงฌานสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป มารจะมองไม่เห็น

เนื่องเพราะว่าอำนาจของสมาธิสมาบัติ แม้จะเป็นเบื้องต้นแค่ปฐมฌานก็ตาม สามารถกดกิเลส คือ รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว เมื่อไม่มีสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นบริวารคอยรายงานอยู่ มารก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นหรือทำอันตรายเราได้

ดังนั้น..สิ่งนักปฏิบัติทั้งหมดพึงหวังในชีวิตก็คือ การปฏิบัติแล้วอย่างน้อยต้องทรงปฐมฌานให้ได้ การที่เราระมัดระวังรักษาศีลทุกสิกขาบท ทำให้สติสมาธิของเราทรงตัวอยู่ตรงหน้า เมื่อมาจับอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออกควบกับคำภาวนา เราก็สามารถที่จะทรงสมาธิได้ง่ายยิ่งขึ้น

ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่าเมื่อสมาธิทรงตัว กิเลสเกิดไม่ได้ชั่วคราว ทำอย่างไรที่เราจะใช้ปัญญาในการประหัตประหารกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น ก็ต้องพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษ โดยเฉพาะโทษของการเกิด เพราะว่าเกิดมาเมื่อไร ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์โศกร่ำไร ความปรารถนาไม่สมหวัง ความกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เหล่านี้ก็ย่อมมีแก่เราทันที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2019 เมื่อ 20:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 14-01-2019, 20:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเห็นโทษของการเกิดก็จะเกิดความเบื่อ ถ้าสามารถประคับประคองรักษาความเบื่อไปได้ระยะหนึ่ง เมื่อปัญญาเกิดก็จะเห็นว่า ธรรมดาของการเกิดมาเป็นเช่นนี้ จะต้องพบแต่สิ่งที่น่าเบื่อหน่าย สิ่งที่เป็นทุกข์เช่นนี้ สภาพจิตก็จะตัดละว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ตายเมื่อไรเราปรารถนาที่เดียวคือพระนิพพาน

ก็จะเอาจิตสุดท้ายเกาะพระนิพพาน หรือเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่กำหนดว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดนอกจากบนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่กับพระองค์ท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน จิตสุดท้ายของเราจะอาศัยตรงนี้เป็นหลัก

ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจเข้าออกเราก็ดูลมหายใจ ถ้ายังมีคำภาวนาก็ใช้คำภาวนาควบคู่ไปด้วย ถ้าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา ก็กำหนดใจจดจ่อแนวนิ่งอยู่ที่ภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะภาพพระนิพพาน

ในแต่ละวันพยายามรักษากำลังใจอยู่ตรงจุดนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อถึงเวลากำลังกิเลสที่กินเราก็จะลดน้อยถอยลงไปด้วย ด้วยอำนาจของ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วท้ายสุดเมื่อปัญญาของเรามีมาก กำลังสมาธิมีสูง เราก็สามารถสลัดหลุดพ้นจากการร้อยรัดของกิเลสทั้งหลาย เข้าสู่พระนิพพานได้ตามต้องการ

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2019 เมื่อ 13:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:27



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว