กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ > ฝากคำถามถึงหลวงพ่อ

Notices

ฝากคำถามถึงหลวงพ่อ คุณสามารถตั้งคำถาม และทีมงานจะรวบรวม และคัดกรองเพื่อนำไปถามหลวงพ่อในตอนเย็นวันอาทิตย์ที่หลวงพ่อมารับสังฆทาน

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-08-2023, 11:53
นักเดินทางสังสารวัฏ นักเดินทางสังสารวัฏ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2016
ข้อความ: 78
ได้ให้อนุโมทนา: 140
ได้รับอนุโมทนา 2,995 ครั้ง ใน 208 โพสต์
นักเดินทางสังสารวัฏ is on a distinguished road
Default พระเจ้าจักรพรรดิส่วนใหญ่ แท้ที่จริงคือพระโพธิสัตว์ที่บารมียังไม่เต็ม?

๑.ผมได้อ่านเกี่ยวกับพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งงานหลัก ๆ ของท่านคือ นอกเหนือจากการดูแลประชาชน พระเจ้าจักรพรรดิก็เป็นผู้นำสอนความดีอย่างเบื้องต้น เช่นศีล ๕ เพราะว่าประชาชนของท่านจะได้มีความสุขขณะมีชีวิต และตายไปก็ไปเป็น เทวดา

และผมอ่านมาว่า หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาสายพุทธภูมิ และท่านก็เคยเล่าเรื่องสมัยท่านเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ และพระพุทธเจ้าของเราก็เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็หลายครั้งแล้ว

ผมเลยสงสัยแท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าจักรพรรดิส่วนใหญ่ ก็คือพระโพธิสัตว์ที่ลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ๑๐ เช่นเมตตาบารมี เพราะจะได้ฝึกจิตให้ชินกับการสงเคราะทุกคนไม่เลือกหน้า หรือเปล่าครับ?

๒. คำถามข้อนี้เป็นคำถามที่น่าคิด คำถามคือ ผมได้อ่านวิธีทำบุญเพื่อที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งมีเยอะมาก เช่น ทำธรรมทาน ทำกฐิน ทำสังฆทาน เจริญเมตตา มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เป็นต้น และก็มีชาวพุทธที่ทำบุญแบบที่ผมว่ามาเยอะ แต่สงสัยจริง ๆ ครับ การที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ ต้องมีการคัดเลือกไหมครับ ? เพราะธรรมดาคนเราตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า อาจจะมัวเมาในโลกธรรม ๘ ได้ดังนั้น ดวงจิตที่จะได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ควรจะมีความดี และคุณธรรมสุดยอดจริง ๆ ไม่งั้นอาจจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้

๓. ผมอ่านเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์ท่านต้องฝึกจิต อบรมณ์จิตตนเองให้ชินกับอารมณ์เมตตา ซึ่งก็คือเมตตาบารมี ในบารมี ๑๐ นั่นเอง ตัวอย่างชัด ๆ เลยคือหลวงปู่ปาน ที่ท่านได้อภิญญาแล้วก็เอาอภิญญามารักษาญาติโยม แต่สงสัยครับพระโพธิสัตว์ในเมื่อต้องฝึกจิตให้ชินกับอารมณ์เมตตา

ท่านสามารถไปเกิดเป็นพระยายมได้หรือเปล่าครับ เพราะจะได้กันดวงจิตไม่ให้ลงนรกเยอะ ๆ ?

๔.ผมอยากถามเรื่องมหาสติ ในธรรมในธรรม เท่าที่ผมเข้าใจก็คืออยู่ในลักษณะ สติดูจิต เช่น พอจิตเข้าฌาน ๑ รู้ลม ๓ ฐานอย่างแน่ชัดและอัตโนมัติ และอารมณ์ของจิตเบาลงทันที พอตัวสติรู้ตัวอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต อาการรู้ตัวนั่นแหละ คือธรรมในธรรมใช่ไหมครับ? เพราะเรารู้สาเหตุว่าอารมณ์นี้เกิดมาจากไหน พูดง่าย ๆ รู้เหตุ รู้ผลวของอารมณ์ที่ปรากฎในจิตว่าเกิดมาได้อย่างไร หรือ ถ้าในชีวิตประจำวันเราเห็นคนรวย หรือดู Netflix บางทีเกิดอารมณ์หมั่นไส้ อิจฉา ตัวละครใน Netflix สติก็รู้ทันว่าตอนนี้เกิดอาการอิจฉา ตาร้อนแล้ว หรือยกตัวอีกอย่าง ถ้าเห็นหมา แมวน่ารัก และเกิดอารมณ์รักเช่นอยากให้ข้าวหมา อยากเอามันไปเลี้ยง สติก็รู้ทันทีว่าตอนนี้อารมณ์เมตตา ปรารถนาดีต่อผู้อื่นเกิดขึ้นแล้ว
พอสติรู้ว่าอารมณ์อกุศล เช่นอิจฉาตาร้อน อารมณ์ราคะเกิดขึ้น ชัดเจนก็ต้องเอาปัญญามาแก้ ตัวปัญญาอาจจะใช้ ธัมมวิจยะ ในโพชฌงค์ ๗ มาแก้อารมณ์อกุศล

๔.๑ คำถามข้อนี้เกี่ยวกับวิปัสสนา ในฐานะที่ผมลองทำสมาธิ เจริญสติ สมาธิ และปัญญา จนเข้าฌาน ๑ ได้ และเคยได้อ่านปริยัติ และอภิธรรมมานิดหน่อย อยากถามว่าในระดับปรมัตถธรรมจริง ๆ แล้วเราสามารถสรุปได้ว่า เราฝึกพัฒนา ยกระดับ สติ สมาธิ ปัญญา ให้รู้เท่าทันเจตสิกหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตหรือครับ?

ผมขออธิบายเพิ่มเติมตามความเข้าใจผม พอสติ สมาธิ ปัญญา เราพัฒนาและยกระดับมาถึงที่สุด จนจิตเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ คือจิตเข้าถึงอรหัตผลแล้ว จิตก็รู้เท่าทันเจตสิก หรือพูดในอีกมุมหนึ่ง จิตก็รู้ทันสังขาร ก็คือเจตสิกนั่นแหละ และสังขาร มี ๓ ประเภท ปุญญาภิสังขาร (ความคิดกุศล ความคิดดี) อปุญญาภิสังขาร (ความคิดอกุศล ความคิดเลว) และ อเนญชาภิสังขาร (จิตน่าจะอยู่ในอรูปฌานอันนี้ไม่กล้ายืนยันนะครับ) ดังนั้นจิตที่รู้ทันสังขาร หรือ เจตสิก ถ้าเป็นความคิดดี ความคิดกุศล ความคิดเป็นประโยชน์เช่น ความคิดบริจาคเงินช่วยเหลือคนอื่น สร้างวัด สร้างโรงพยาบาล จิตก็เก็บมาคิดและไตร่ตรองเอาหลักโยนิโสมนสิการ เอาปัญญามาคิดว่าความคิดนี้มีประโยชน์หรือมีโทษอันตรายใด ๆ ถ้ามีแต่ประโยชน์ก็ก็ทำตาม แต่จิตไม่ได้ติดดี นะครับ เพราะจิตทราบแน่ชัด รู้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า ปุญญาภิสังขาร หรือ อปุญญาภิสังขาร คือเจตสิกนั่นเอง ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คนเราตอนแรกอาจจะเป็นคนเลว แต่พอได้ฟังธรรม ก็กลับตัวกลับใจ เป็นคนดี และถ้าคนเราเลวจริง ๆ เป็น นิจจัง คือเป็นคนเลวตลอดเวลาทุกวินาที คนเราก็คงกลับตัวเป็นคนดีไม่ได้แน่

หรืออีกตัวอย่างชัด ๆ เช่นพระองคุลิมาลที่ตอนแรกวิ่งไล่จะฆ่าพระพุทธเจ้า แต่สุดท้ายท่านได้ฟังธรรมสำนึกผิด ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นต้น หรือพูดในอีกแง่มุมหนึ่ง ทุกดวงจิตในวัฎสงสาร ตั้งแต่นรก จนถึงพรหมโลก แท้ที่จริงแล้ว คือดวงจิตดี ดวงจิตที่อยากมีความสุข แต่จิตดันถูกอวิชชาครอบงำ ไม่เห็นตามความเป็นจริง วิธีแก้ก็เอา ปัญญา ธรรมวิจยะ และ โยนิโสมนสิการ มายกระดับจิตตนเองจากโลกียภูมิ จนเข้าถึงโลกุตระภูมิ นั่นเอง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นักเดินทางสังสารวัฏ : 19-08-2023 เมื่อ 22:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นักเดินทางสังสารวัฏ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-09-2023, 04:13
สุธรรม's Avatar
สุธรรม สุธรรม is offline
ผู้ตรวจการณ์เว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jun 2009
ข้อความ: 4,928
ได้ให้อนุโมทนา: 275,123
ได้รับอนุโมทนา 847,653 ครั้ง ใน 13,006 โพสต์
สุธรรม is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมได้อ่านเกี่ยวกับพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งงานหลัก ๆ ของท่านคือ นอกเหนือจากการดูแลประชาชน พระเจ้าจักรพรรดิก็เป็นผู้นำสอนความดีอย่างเบื้องต้น เช่นศีล ๕ เพราะว่าประชาชนของท่านจะได้มีความสุขขณะมีชีวิต และตายไปก็ไปเป็น เทวดา

และผมอ่านมาว่า หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาสายพุทธภูมิ และท่านก็เคยเล่าเรื่องสมัยท่านเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ และพระพุทธเจ้าของเราก็เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็หลายครั้งแล้ว

ผมเลยสงสัยแท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าจักรพรรดิส่วนใหญ่ ก็คือพระโพธิสัตว์ที่ลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ๑๐ เช่นเมตตาบารมี เพราะจะได้ฝึกจิตให้ชินกับการสงเคราะทุกคนไม่เลือกหน้า หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ลงมาเพื่อสร้างทุกบารมี

ถาม : คำถามข้อนี้เป็นคำถามที่น่าคิด คำถามคือ ผมได้อ่านวิธีทำบุญเพื่อที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งมีเยอะมาก เช่น ทำธรรมทาน ทำกฐิน ทำสังฆทาน เจริญเมตตา มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เป็นต้น และก็มีชาวพุทธที่ทำบุญแบบที่ผมว่ามาเยอะ แต่สงสัยจริง ๆ ครับ การที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ ต้องมีการคัดเลือกไหมครับ ? เพราะธรรมดาคนเราตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า อาจจะมัวเมาในโลกธรรม ๘ ได้ดังนั้น ดวงจิตที่จะได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ควรจะมีความดี และคุณธรรมสุดยอดจริง ๆ ไม่งั้นอาจจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ ?
ตอบ : สร้างสมบารมีถึงระดับก่อนก็เป็นก่อน

ถาม : ผมอ่านเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์ท่านต้องฝึกจิต อบรมณ์จิตตนเองให้ชินกับอารมณ์เมตตา ซึ่งก็คือเมตตาบารมี ในบารมี ๑๐ นั่นเอง ตัวอย่างชัด ๆ เลยคือหลวงปู่ปาน ที่ท่านได้อภิญญาแล้วก็เอาอภิญญามารักษาญาติโยม แต่สงสัยครับพระโพธิสัตว์ในเมื่อต้องฝึกจิตให้ชินกับอารมณ์เมตตา

ท่านสามารถไปเกิดเป็นพระยายมได้หรือเปล่าครับ เพราะจะได้กันดวงจิตไม่ให้ลงนรกเยอะ ๆ ?
ตอบ : เป็นกันเป็นปกติ

ถาม : ผมอยากถามเรื่องมหาสติ ในธรรมในธรรม เท่าที่ผมเข้าใจก็คืออยู่ในลักษณะ สติดูจิต เช่น พอจิตเข้าฌาน ๑ รู้ลม ๓ ฐานอย่างแน่ชัดและอัตโนมัติ และอารมณ์ของจิตเบาลงทันที พอตัวสติรู้ตัวอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต อาการรู้ตัวนั่นแหละ คือธรรมในธรรมใช่ไหมครับ ? เพราะเรารู้สาเหตุว่าอารมณ์นี้เกิดมาจากไหน พูดง่าย ๆ รู้เหตุ รู้ผลของอารมณ์ที่ปรากฎในจิตว่าเกิดมาได้อย่างไร หรือ ถ้าในชีวิตประจำวันเราเห็นคนรวย หรือดู Netflix บางทีเกิดอารมณ์หมั่นไส้ อิจฉา ตัวละครใน Netflix สติก็รู้ทันว่าตอนนี้เกิดอาการอิจฉา ตาร้อนแล้ว หรือยกตัวอีกอย่าง ถ้าเห็นหมา แมวน่ารัก และเกิดอารมณ์รักเช่นอยากให้ข้าวหมา อยากเอามันไปเลี้ยง สติก็รู้ทันทีว่าตอนนี้อารมณ์เมตตา ปรารถนาดีต่อผู้อื่นเกิดขึ้นแล้ว
พอสติรู้ว่าอารมณ์อกุศล เช่นอิจฉาตาร้อน อารมณ์ราคะเกิดขึ้น ชัดเจนก็ต้องเอาปัญญามาแก้ ตัวปัญญาอาจจะใช้ ธัมมวิจยะ ในโพชฌงค์ ๗ มาแก้อารมณ์อกุศล
ตอบ : คำถามคืออะไรวะ ?

ถาม : คำถามข้อนี้เกี่ยวกับวิปัสสนา ในฐานะที่ผมลองทำสมาธิ เจริญสติ สมาธิ และปัญญา จนเข้าฌาน ๑ ได้ และเคยได้อ่านปริยัติ และอภิธรรมมานิดหน่อย อยากถามว่าในระดับปรมัตถธรรมจริง ๆ แล้วเราสามารถสรุปได้ว่า เราฝึกพัฒนา ยกระดับ สติ สมาธิ ปัญญา ให้รู้เท่าทันเจตสิกหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตหรือครับ ?

ผมขออธิบายเพิ่มเติมตามความเข้าใจผม พอสติ สมาธิ ปัญญา เราพัฒนาและยกระดับมาถึงที่สุด จนจิตเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ คือจิตเข้าถึงอรหัตผลแล้ว จิตก็รู้เท่าทันเจตสิก หรือพูดในอีกมุมหนึ่ง จิตก็รู้ทันสังขาร ก็คือเจตสิกนั่นแหละ และสังขาร มี ๓ ประเภท ปุญญาภิสังขาร (ความคิดกุศล ความคิดดี) อปุญญาภิสังขาร (ความคิดอกุศล ความคิดเลว) และ อเนญชาภิสังขาร (จิตน่าจะอยู่ในอรูปฌานอันนี้ไม่กล้ายืนยันนะครับ) ดังนั้นจิตที่รู้ทันสังขาร หรือ เจตสิก ถ้าเป็นความคิดดี ความคิดกุศล ความคิดเป็นประโยชน์เช่น ความคิดบริจาคเงินช่วยเหลือคนอื่น สร้างวัด สร้างโรงพยาบาล จิตก็เก็บมาคิดและไตร่ตรองเอาหลักโยนิโสมนสิการ เอาปัญญามาคิดว่าความคิดนี้มีประโยชน์หรือมีโทษอันตรายใด ๆ ถ้ามีแต่ประโยชน์ก็ก็ทำตาม แต่จิตไม่ได้ติดดี นะครับ เพราะจิตทราบแน่ชัด รู้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า ปุญญาภิสังขาร หรือ อปุญญาภิสังขาร คือเจตสิกนั่นเอง ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คนเราตอนแรกอาจจะเป็นคนเลว แต่พอได้ฟังธรรม ก็กลับตัวกลับใจ เป็นคนดี และถ้าคนเราเลวจริง ๆ เป็น นิจจัง คือเป็นคนเลวตลอดเวลาทุกวินาที คนเราก็คงกลับตัวเป็นคนดีไม่ได้แน่

หรืออีกตัวอย่างชัด ๆ เช่นพระองคุลิมาลที่ตอนแรกวิ่งไล่จะฆ่าพระพุทธเจ้า แต่สุดท้ายท่านได้ฟังธรรมสำนึกผิด ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นต้น หรือพูดในอีกแง่มุมหนึ่ง ทุกดวงจิตในวัฎสงสาร ตั้งแต่นรก จนถึงพรหมโลก แท้ที่จริงแล้ว คือดวงจิตดี ดวงจิตที่อยากมีความสุข แต่จิตดันถูกอวิชชาครอบงำ ไม่เห็นตามความเป็นจริง วิธีแก้ก็เอา ปัญญา ธรรมวิจยะ และ โยนิโสมนสิการ มายกระดับจิตตนเองจากโลกียภูมิ จนเข้าถึงโลกุตระภูมิ นั่นเอง
ตอบ : รู้ทัน หยุดคิด เลือกคิด พูด ทำ แต่ส่วนดี
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:38



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว