#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๑
ให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ เป็นการปฏิบัติธรรมวันสุดท้ายในต้นเดือนกันยายนของเรา ส่วนที่อยากจะบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายในวันนี้ก็คือว่า พวกเราเดินทางมาไกลพอแล้ว คำว่า เดินทางไกลพอแล้ว คือ เราเวียนว่ายตายเกิดมามากพอแล้ว การแหวกว่ายในวัฏสงสารที่หาต้นหาปลายไม่ได้ของเรานั้น ความจริงแล้วเกิดจากการที่เราว่ายวน ถ้าเรารวบรัดตัดตรงก็ขึ้นฝั่งไปได้นานแล้ว เพียงแต่เราไม่รู้ว่าจะตัดทางตรงไปได้อย่างไร สิ่งที่ท่านทั้งหลายสร้างสมมา ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา จะว่าไปแล้วก็เป็นเสบียงบุญ ช่วยให้การเดินทางในวัฏสงสารของเรานี้ไม่ลำบากจนเกินไป แต่ทำอย่างไรที่จะทำให้เราสามารถก้าวล่วงพ้นจากห้วงวัฏฏะนี้ได้ คำว่า วัฏฏะ คือ วนเวียน หมุนวน ก็เพราะว่าเราวนเวียนหมุนวนอยู่ บางทีพื้นที่เล็ก ๆ เพียงนิดเดียว แต่พอเราไปวนเป็นวงกลมอยู่ ก็กลายเป็นการเดินทางที่ไม่รู้จบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เราทั้งหลายเหมือนอย่างกับบุคคลที่อยู่บนบ้านซึ่งกำลังไฟไหม้ แต่แทนที่จะรีบหลีกหนีไปให้ห่าง เพื่อให้พ้นจากอันตราย เรากลับไปนอนสบายใจอยู่ โดยไม่รู้ว่าไฟกำลังไหม้บ้าน การดำเนินชีวิตของเราทุกวัน ทุกย่างก้าว เราเดินอยู่บนกองไฟ ก็คือไฟแห่งความทุกข์ที่เกิดจาก ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเผาลนเราอยู่ตลอดเวลา แต่เรากลับไม่รู้ตัวว่าเราเดินอยู่บนกองไฟ เราอยู่บนบ้านที่ไฟกำลังไหม้ เราจึงมีแต่ความประมาทเป็นปกติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2018 เมื่อ 19:27 |
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะตำหนิก็ไม่ได้ เพราะว่าปัญญาของเราไม่เพียงพอ วิธีที่จะหลุดพ้นจากห้วงวัฏสงสารนี้มีทางเดียว ก็คือต้องเดินทางตรง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้แนะนำทางให้แก่พวกเรา คือ มรรค ๘ หนทาง ๘ ประการ ที่จะพาเราก้าวล่วงพ้นจากวัฏสงสาร ประกอบไปด้วย สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ มีความเห็นถูก มีความดำริคือความคิดถูก ส่วนนี้เป็นปัญญา สัมมาวาจา พูดถูก สัมมากัมมันตะ ทำถูก สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพได้ถูก ส่วนนี้เป็นศีล สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้องถูกทาง สัมมาสติ ตั้งสติไว้ถูกทาง โดยเฉพาะในสติปัฏฐานทั้ง ๔ สัมมาสมาธิ ตั้งสมาธิไว้ถูกต้อง คือทรงฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ได้ ส่วนนี้จัดเป็นสมาธิ ก็แปลว่าถ้าหากเราจะเดินทางตรง คือเดินในทางของ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เอง ในส่วนของศีลนั้น ท่านให้เรารักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ในส่วนของสมาธินั้น ท่านให้ใช้สมาธิไปในอนุสติอย่างน้อย ๓ ประการ ก็คือระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อเห็นคุณความดีชัดแจ้ง เราก็จะไม่ล่วงเกินพระรัตนตรัย ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2018 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ในส่วนของปัญญานั้น คือรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าหากว่าเราตายลงไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะหมดอายุขัยก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอมีพระนิพพานเป็นที่ไปแห่งเดียวเท่านั้น
นี่เป็นหนทางที่ตรงที่สุดซึ่งจะนำเราหลุดพ้นจากห้วงวัฏสงสาร ที่เวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน แล้วถ้าหากไม่รู้จักทางออก ก็ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกันไม่รู้จบ มีแต่ความทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้น ในเมื่อเรารู้แล้วว่าเราเดินทางวนเวียนอยู่มามากพอแล้ว ก็ควรที่จะพอเสียทีกับการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นนี้ ให้มุ่งไปตามทางตรงคือมรรค ๘ ย่อลงมาเหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว พยายามตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ ซ้อมแล้วซ้อมอีก ย้ำแล้วย้ำอีกอยู่ทุกวันทุกเวลาโดยไม่เบื่อไม่หน่าย ถ้าหากว่ากำลังความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราสมบูรณ์พร้อม เราก็จะก้าวล่วงจากวัฏสงสาร ซึ่งประกอบไปด้วยความทุกข์อันเอนกอนันต์นี้ เข้าสู่พระนิพพานซึ่งเป็นที่พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันอาทิตย์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๑ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-09-2018 เมื่อ 08:04 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|