#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗
|
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ช่วงนี้พวกเราลากันค่อนข้างจะมาก กระผม/อาตมภาพลองดูรายชื่อคร่าว ๆ ประมาณ ๒๐ รูป ถ้าเป็นวัดอื่นลากันขนาดนี้ก็ล่มจมไปแล้ว ยังดีที่พระของวัดท่าขนุนเราค่อนข้างจะมาก
ว่าแต่จองเหรียญเสริมปัญญากันทันหรือเปล่า ? ไอ้ตัวเล็กมักจะออกในเวลาที่เราไม่คิดว่าจะออก เมื่อวานนี้กระผม/อาตมภาพกำลังอยู่ในงานของวัดถ้ำมงกุฎ (เขาทะลุ) ส่วนวันนี้กำลังอยู่ในงานศพของท่านวินเต ชาคโร พระลูกวัดหินแหลม กว่าจะรู้ว่าเปิดจองก็ปาไป ๒๐ กว่าหน้าแล้ว..! ก็เป็นเรื่องปกติ เนื่องเพราะว่าพวกเรายุติธรรมมากจนเกินไป ก็คือแม้แต่กระผม/อาตมภาพ ถ้าอยากได้ก็ต้องเข้าไปจองเอง ในเรื่องของวัตถุมงคลนั้น กระผม/อาตมภาพไม่ได้หนักใจ อะไรที่พระท่านสั่ง อย่างไรก็จำหน่ายได้ แต่ตอนนี้ที่หนักใจก็คือ เกรงว่าไม่ทันจะเสก สงครามก็จะปะทุรุนแรงเสียก่อน ท่านอย่าลืมว่าชุดนี้ก็คือเหรียญเสริมปัญญา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือ ช่วยในเรื่องการเรียนการศึกษานั่นเอง แต่เนื่องจากวันเสกคือวันเสาร์ ๕ ตรีวัน เป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีที่ ๕ คือปีมะโรง แล้วพอดีกับสภาวะโลกของเราค่อนข้างจะไม่ปกติ กระผม/อาตมภาพก็เลยตั้งใจจะกราบขอบารมีพระให้ท่านสงเคราะห์ ช่วยเหลือเรื่องการป้องกันอันตรายจากภาวะสงครามด้วย แต่รู้สึกโลกเราจะสงบเกินไป ก็เลยมีผู้นำบางประเทศอยากรบมาก..! ต้องบอกว่าไอ้พวกไม่เคยลำบาก ไม่เคยอยู่แนวหน้า ไม่รู้หรอกว่าในสภาพแบบนั้นชีวิตแทบจะไม่มีราคาอะไรเลย กระผม/อาตมภาพอยู่แนวหน้าปีกว่า ทั้ง ๆ ที่โดยภารกิจแล้วคนละ ๑ ปีเท่านั้น เหตุที่ต้องอยู่ถึงปีกว่า เพราะว่าตอนช่วงนั้นมีการปะทะต่อเนื่อง ข้างบ้านของเราคือกัมพูชา หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าเขมร ได้รับความช่วยเหลือจากเวียดนาม หรือที่เรียกกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่าญวน ซึ่งตอนนั้นประเทศเวียดนามตั้งใจจะยึดประเทศไทยด้วย พวกกระผม/อาตมภาพเองได้รับอบรมในการป้องกันพื้นที่ของเรา ถ้าทำตามแผน ต่อให้เวียดนามสามารถยกกองทัพทะลุทะลวงเข้ามาได้ ก็ไม่เกินสระบุรี เพราะว่าพวกเราทั้งหมดพร้อมที่จะเผยไม้ตายสุดท้ายในช่วงนั้น แต่ยังดีที่ว่าพื้นที่ชายแดนแถวตาพระยา อรัญประเทศ ไล่ไปจนถึงละหานทรายของบุรีรัมย์ เป็นพื้นที่ดินค่อนข้างอ่อนถึงอ่อนมาก ถามว่าอ่อนขนาดไหน ? ขนาดรถจอดอยู่เฉย ๆ ก็จมถึง "คัสซี" เลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2024 เมื่อ 02:07 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เรื่องนี้ทางหน่วยที่กระผม/อาตมภาพสังกัดอยู่ มีรถจมไป ๒ คัน แล้วก็ขอทางกองร้อยข้างเคียง ส่งรถ "รสพ" ไม่ใช่รถรับส่งพัสดุภัณฑ์ โปรดอย่าเข้าใจผิด รถสายพานลำเลียงพล ไปช่วยดึงรถบรรทุก ที่เรียกง่าย ๆ ว่า GMC ขึ้นมา ปรากฏว่ารถสายพานทั้ง ๒ คันก็จมไปด้วย สรุปก็คือรถยนต์บรรทุกหรือที่เรียกกันว่า GMC มีของสิบเอกบุญยูร ทรัพย์อุปการ คันเดียวที่รอด เพราะว่าจอดอยู่บนถนน
ถามว่าทำไมไม่ไปจอดหลบแบบคนอื่นเขา ? สิบเอกบุญยูรบอกว่า จากประสบการณ์ที่เคยรบแถวเขาค้อ หินร่องกล้ามาแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่สถานที่ซึ่งได้รับการบดอัด จนกระทั่งสามารถรับน้ำหนักรถได้ เราจะไว้ใจไม่ได้สักที่เดียว แกก็เลยยอมเป็นเป้าของอาวุธหนัก ด้วยการจอดรถเด่นหราอยู่บนถนนเลย ใครจะด่าก็ช่างมัน แล้วท้ายสุดก็รอดอยู่คันเดียว..! ดังนั้น..ในเรื่องของการรบ ชีวิตของเราจะหมดไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอ ๆ กับการปฏิบัติธรรมเลย อะธุวะ ชีวิตัง ธุวะ มะระณัง ใครที่ปฏิบัติธรรมสาย มจร. หรือบางทีเรียกสายพองยุบ จะต้องท่องกันทุกคน อะธุวะ ชีวิตัง ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ธุวะ มะระณัง ความตายเป็นของเที่ยง อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง ตัวเราจักต้องตายเป็นแน่แท้ อยู่ชายแดนตายง่าย ๆ จริง ๆ ขนาดหลบอยู่ในหลุมบุคคล โอกาสตายไม่มี ยิงอย่างไรก็ต้องเลยหัวไป แต่ปรากฏว่าลูก ค. ที่เราเรียกว่าปืนครก ความจริงปืน ค.ย่อมาจากเครื่องยิงลูกระเบิด เราเห็น "ค." ก็เลยเรียกว่าปืนครกก็แล้วกัน หย่อนลงกลางหลุมพอดี ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ หาซากไม่เจอหรอก กลายเป็นเนื้อบดเละ ๆ อยู่ในหลุมนั่นแหละ ไม่ต้องเสียเวลาเอาขึ้นมา มีเครื่องหมายอะไรที่พอบ่งบอกได้ว่าเป็นตัวตนของเขา ก็เก็บไว้ให้ญาติสักชิ้นหนึ่ง ไอ้ที่เหลือก็กลบไปเลย..! ในเมื่อชีวิตหาความเที่ยงไม่ได้ในศึกในสงคราม เมื่อไม่นานมานี้ อ่านคำสรุปหรือคำคมเกี่ยวกับภาวะสงครามว่า "สงครามก็คือการส่งคนหนุ่มที่ไม่รู้จักกันไปฆ่ากันตาย โดยที่คนแก่ ๆ สองสามคนที่รู้จักกันเป็นคนสั่ง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2024 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
คราวนี้ถ้าภาวะสงครามเกิด ทุกอย่างจะลำบากไปหมด แม้ว่าในยุคนี้สมัยนี้จะไม่ลำบากมากเท่ากับสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ แต่ก็น่าเป็นห่วง เพราะว่าบ้านเราซึ่งพื้นฐานเป็นประเทศกสิกรรม ก็คือเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยได้ทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตวแบบครอบครัว หากแต่ทำในลักษณะของการรับจ้างจากบริษัทใหญ่ ๆ ให้ทำ ผลผลิตทุกอย่างเป็นของบริษัทใหญ่เกือบทั้งหมด..!
แม้กระทั่งระยะหลังเรื่องของเมล็ดพันธุ์อะไรต่าง ๆ เขายังมีการจดลิขสิทธิ์ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าในภาวะสงคราม สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือปัจจัย ๔ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ดังนั้น..เรื่องของอาหาร ใคร ๆ ก็ต้องกิน จะเป็นเวลา "กอบโกย" เนื่องเพราะว่าถ้าเรามีอะไรก็ขายได้ทั้งหมด แต่กลายเป็นว่าระบบการผลิตในเรื่องของการกสิกรรมในปัจจุบันไม่เหมือนก่อนนี้ ก็เลยทำให้ถึงเวลาแล้วผู้ที่จะกอบโกยจริง ๆ กลายเป็นบริษัทใหญ่ ๆ ทั้งหมด..! โดยเฉพาะคนไทยเราในปัจจุบันนี้ขี้เกียจเกินกว่าที่จะพูดได้ คือแม้กระทั่งจะปลูกพริก ปลูกมะเขือ ปลูกมะนาวเอาไว้สักต้นสองต้นก็ไม่มี อะไร ๆ ก็เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ..! ปัจจุบันนี้ท่านทั้งหลายก็จะได้ว่ากระทั่งกล้วยหอมก็แบ่งลูกขายกันแล้ว กระทั่งไข่ที่ซื้อไปต้มที่บ้านเองได้ ก็ยังอุตส่าห์ไปซื้อไข่ต้มจากร้านสะดวกซื้อ ยอมซื้อของแพงเพื่อความสบายส่วนตัว กระผม/อาตมภาพเคยถามคนขับแท็กซี่คันที่เรียกไปส่ง ตอนช่วงนั้นทางรถไฟสายสีม่วงกำลังจะสร้างเสร็จ ถามว่า "ถ้าทางรถไฟสายนี้เสร็จ พวกโยมได้รับผลกระทบมากไหม ?" เขาบอกว่า "ถ้าเป็นแท็กซี่แทบไม่มีผลกระทบเลยครับ ประการแรก ถ้าคุณขึ้นรถไฟฟ้าสัก ๓ คน ราคาก็เท่ากับแท็กซี่แล้ว ประการที่สอง รถไฟฟ้าส่งคุณถึงประตูบ้านไม่ได้..!" แล้วแท็กซี่ก็สรุปว่า "คนไทยขี้เกียจครับ ถ้ารถอะไรส่งถึงประตูบ้านได้ก็จะใช้รถแบบนั้น รับประกันว่าพวกผมไม่กระทบหรอก..!" แล้วก็เป็นเรื่องจริง แต่คราวนี้ที่กระผม/อาตมภาพพูดมานี้ คือภาวะสงคราม ซึ่งจะกระทบกับคนทั้งโลก ต่อให้ขี้เกียจขนาดไหนก็กระทบ ดังนั้น..ถึงเวลาข้าวของทุกอย่างก็จะแพง ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าทองคำจะแพงแค่ไหน ให้สนใจว่าจะหาของกินได้หรือไม่ ? ในเมื่อการผลิตของเราไม่ได้อยู่ในมือของตนเอง เราก็พึ่งพาตนเองแบบเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ ยังโชคดีที่คนทองผาภูมิของเรายังอยู่ในลักษณะการพึ่งพาตนเอง ดูได้จากช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดหนัก ๆ แทบจะไม่มีผลกระทบเลย ต่อให้เป็นผู้ที่เปิดร้านค้าขายอยู่ เขาก็มีไร่มีนาเป็นของตนเอง แต่ว่าพี่น้องที่อื่นจะเป็นแบบคนทองผาภูมิหรือไม่ ? ส่วนนี้ก็ปรารภเพื่อฝากเป็นการบ้านเอาไว้ พูดมากไปเดี๋ยวก็จะโดนข้อหาทำให้ชาวบ้านเขาแตกตื่นอีก ตั้งใจจะพูดในเรื่องวัตถุมงคลของวัดท่าขนุนเท่านั้นเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2024 เมื่อ 02:13 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|