|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ตรงกับวันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ปีฉลู ซึ่งในช่วงเช้าทางวัดท่าขนุนของเรา ก็จัดให้มีการทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ และเจริญพระพุทธมนต์ไปแล้ว ช่วงค่ำก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาอีก ๑ กัณฑ์
คราวนี้ในส่วนของวันพระ ทำไมตั้งแต่ก่อนพุทธกาล หรือว่าในสมัยพุทธกาล ถึงได้กำหนดว่า ต้องเป็นวันขึ้นหรือแรม ๑๕ ค่ำหรือ ๑๔ ค่ำ ? ทำไมต้องเป็นวันขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ ? เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้และเข้าใจอย่างแท้จริง เอาแค่สมัยพุทธกาล ก็มีศาสดาเจ้าลัทธิอยู่ถึง ๖๒ ลัทธิ ซึ่งลัทธิทั้งหลายเหล่านี้เชื่อว่าตายแล้วเกิดบ้าง เชื่อว่าตายแล้วสูญบ้างให้ยุ่งไปหมด ตอนแรกตัวกระผม/อาตมภาพเอง ก็คิดว่า ทำไมลัทธิเฮงซวยห่วยแตกแบบนี้ ยังมีคนนับถือกันมากมายนักขนาดนั้น ? แต่พอศึกษาลึกซึ้งเข้าไปจริง ๆ แล้ว ถึงได้ทราบว่าเจ้าลัทธิเหล่านี้ทั้งหลายเป็นของจริงทั้งสิ้น ๖๒ ลัทธิที่ว่านั้นแบ่งออกเป็น ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิอยู่ ๑๘ ลัทธิ อปรันตกัปปิกทิฏฐิอีก ๔๔ ลัทธิ บรรดาปุพพันตกัปปิกทิฏฐินั้น สามารถระลึกชาติย้อนอดีตได้ ในพระไตรปิฎกบอกว่าร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ครึ่งกัปบ้าง หนึ่งกัปบ้าง ของเราแค่ระลึกได้เป็นพันชาติก็แย่แล้ว นั่นระลึกย้อนหลังได้เป็นกัป กัปหนึ่งนี่เราเกิดเป็นล้าน ๆ ชาติเลย..! ส่วนอปรันตกัปปิกทิฏฐินั้น สามารถที่จะเห็นอนาคตได้ ว่าคนเราตายแล้วไปเป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดานางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง เป็นอรูปพรหมบ้าง ก็ลักษณะเดียวกัน คือ สามารถมองล่วงหน้าไปได้มากน้อยต่างกันตามกำลังของตน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-08-2021 เมื่อ 23:36 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ในเมื่อเห็นไม่เหมือนกัน จึงบัญญัติลัทธิขึ้นมาต่างกันไปตามความเห็นของตน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงกลายเป็นของจริง ของแท้ แต่ยังไม่ใช่เพชรยอดมงกุฎ
เพราะว่าบางศาสดาอย่างท่านอารกะ ตรงนี้มาจากสัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย อรกสูตร ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ชีวิตเหมือนกับต่อมน้ำ ก็คือฟองน้ำที่ผุดขึ้นมาตอนฝนตกหยดลงไป ก็จะแตกหายไปในเวลาอันรวดเร็ว ชีวิตเหมือนกับน้ำค้าง โดนแดดเผา ก็ระเหยหายไปในเวลาอันรวดเร็ว ชีวิตเหมือนก้อนน้ำลายที่ติดอยู่ปลายลิ้นบุรุษผู้มีกำลัง จะโดนถ่มทิ้งเมื่อไรก็ได้ ชีวิตเหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ รังแต่จะถูกเผาหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว ชีวิตเหมือนลำธารไหลลงจากภูเขา พรวดเดียวก็ผ่านหน้าไปแล้ว ชีวิตเหมือนโคที่เขานำไปฆ่า ต้องตายแน่นอน นั่นแค่ศาสดานอกศาสนาเท่านั้น เขาสามารถเห็นอนิจจังได้ แต่ตัวทุกขังเห็นไม่ชัด และไม่มีตัวอนัตตา ก็คือไม่เห็นทุกข์ กับไม่เห็นความไม่มีตัวตนเราเขา ในเมื่อท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีความรู้จริงอยู่ในระดับหนึ่ง ถึงจะไม่ใช่ระดับเพชรยอดมงกุฎ แต่ว่าถ้าเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปแล้ว ความรู้ความสามารถของท่านใช้ได้เลย ดังนั้น...ที่บรรดาท่านทั้งหลายกำหนดให้สาวกของตนมีวันธรรมสวนะ คือวันฟังธรรม โดยกำหนดว่าเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ แรม ๑๕ ค่ำ หรือแรม ๑๔ ค่ำ ถ้าเดือนขาด แล้วก็เป็นวันขึ้น ๘ ค่ำ และแรม ๘ ค่ำ สาเหตุนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วก็เกี่ยวกับดวงดาวทั้งหลายที่โคจรอยู่ในห้วงอวกาศ โดยเฉพาะส่วนที่ใกล้โลกที่สุด ก็คือดวงจันทร์ เราจะเห็นว่าความเชื่อนี้ผูกพันกับจันทรคติ คือการโคจรของดวงจันทร์ น้ำจะขึ้นลงสูงสุดในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือแรม ๑๕ ค่ำ หรือแรม ๑๔ ค่ำ ผู้หญิงจะมีรอบเดือนอยู่ในช่วงมาตรฐาน ๒๘ วันโดยประมาณ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-08-2021 เมื่อ 23:36 |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ในเมื่อเกี่ยวข้องกันดังนี้ อานุภาพของดวงดาวต่าง ๆ ก็จะสร้างความปั่นป่วนให้แก่เลือดลมและฮอร์โมนในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือธาตุน้ำ ธาตุลม ซึ่งจะขึ้นสูงสุด ต่ำสุด หรือว่าเคลื่อนขวางสุด ในช่วงขึ้นแรม ๑๕ ค่ำ หรือแรม ๑๔ ค่ำ หรือว่าขึ้นแรม ๘ ค่ำ คนเราก็จะหงุดหงิด กลัดกลุ้ม วางกำลังใจไม่ค่อยจะถูก บางทีก็ทะเลาะเบาะแว้งกันไปทั่ว
ถ้าอย่างของทางด้านตะวันตก เขาก็เชื่อว่าพวกบรรดาไสยศาสตร์ต่าง ๆ ถ้าอาศัยวันขึ้นแรมของพระจันทร์ จะทำให้เกิดอานุภาพมากขึ้น แล้วอย่างบรรดาผีดูดเลือด หรือว่ามนุษย์หมาป่า ก็เกี่ยวพันกับดวงจันทร์อย่างแนบแน่น บรรดาโบราณาจารย์ต่าง ๆ ถึงได้กำหนดให้วันขึ้นแรม ๑๕ ค่ำ หรือว่าแรม ๑๔ ค่ำเดือนขาด และวันขึ้นแรม ๘ ค่ำ เป็นวันถือศีล ฟังเทศน์ ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม นอนอยู่วัด รักษาศีล ๘ เพราะว่าถ้าหากว่าเรามีศีลเป็นกรอบ มีสมาธิทรงตัว ผลกระทบจากธรรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะพลังของดวงดาว ก็จะส่งผลกับเราน้อยมาก ถ้าท่านที่กำลังใจเข้มแข็งทรงตัว ก็ไม่เกิดผล ถ้าหากว่ารู้จักรักษาศีล ปฏิบัติธรรม ก็เกิดผลน้อย สามารถควบคุมอยู่ในขอบเขตที่ตนเองรับได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องที่มาที่ไปของวันพระ ไม่ใช่แค่สักแต่กำหนดขึ้นมาว่าให้เป็นวันทำบุญ ฟังเทศน์ ฟังธรรม หรือว่าอยู่วัดรักษาอุโบสถศีลเฉย ๆ แต่ว่ามีที่มาด้วยความลึกซึ้ง ที่บางทีพวกท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร หรือว่าญาติโยมก็ตาม อาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน วันนี้ก็เลยนำมากล่าวถึง เพื่อให้ได้ทราบอย่างชัดเจน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2021 เมื่อ 02:41 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
แต่ขณะเดียวกัน ถ้าจะนำไปอ้างต่อ ตัวเองต้องเข้าใจให้ชัดเจนด้วยว่ามีที่มาจากไหน ? มีที่ไปอย่างไร ? ไม่อย่างนั้นพอเขาซักถามแล้ว ไปไม่เป็น ก็จะโดนคนปรามาส ซึ่งจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็เป็นโลกจินไตย คือความเป็นไปของโลก ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่าเป็น ๑ ใน ๔ อย่างที่ไม่บังควรคิด บุคคลที่คิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า แต่ว่าหลายท่านก็อาจจะสงสัย เพียงแต่ไม่ชัดเจน
วันนี้กระผม/อาตมภาพก็เลยนำมาบอกกล่าวกันให้ชัดเจน ว่าทำไมวัดท่าขนุนจึงมีการทำบุญวันพระทั้งเช้าและค่ำ ? ก็เพื่อให้บุคคลที่เห็นประโยชน์ ได้มีโอกาสในการเสริมสร้างบุญกุศล ในทาน ในศีล ในภาวนาให้กับตัวเอง โดยเฉพาะส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ รักษาใจของตนเอาไว้ ไม่ให้ส่งส่ายวุ่นวายไปตามอานุภาพของดวงดาวต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งแจ้งให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2021 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|