#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ พระภิกษุของเราก็ยังอยู่กันไม่ครบถ้วนอยู่ดี ยังมีกระจัดกระจายอยู่ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ตามภารกิจของตน คือถ้าจากหลาย ๆ ที่ ถ้ากลับมาพร้อมกันก็คงไม่มีที่ให้พัก เนื่องเพราะว่าอาคารประจวบดีกับอาคารเตชะไพบูลย์ มีห้องพักแค่หลังละ ๒๐ ห้องเท่านั้น แค่ตรงนี้พระเราก็เกิน ๔๐ ไปแล้ว
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพระวัดท่าขนุนมักจะได้รับนิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาสตามวัดอื่น หรือว่าเจ้าสำนักสงฆ์ที่เขาตั้งใจจะสร้างขึ้นมา แม้แต่กระผม/อาตมภาพเองลงไปภูเก็ตเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็มีโยมจะถวายสำนักปฏิบัติธรรมให้ ซึ่งถ้าคิดในแง่มูลค่าก็แพงมาก แต่ว่าใครถวายมากระผม/อาตมภาพก็มักจะไม่รับเอาไว้ เนื่องเพราะว่าประการแรก ไม่มีเวลาไปบริหารให้ ประการที่สอง ถ้ารับมาเป็นภาระเมื่อไร ก็ต้องดูแลในเรื่องของการบูรณปฏิสังขรณ์ ก็แปลว่าเพิ่มงานให้ตนเองโดยใช่เหตุ แล้วประการสุดท้าย ศรัทธาของญาติโยมก็มักจะเป็นเฉพาะตน ให้คนอื่นไปแทนเขาก็ไม่ยินดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะรับมาทำอะไร เพราะว่าภาระในปัจจุบันก็มีมากอยู่แล้ว ปัจจุบันนี้วัดต่าง ๆ ที่มีพระวัดท่าขนุนไปอยู่ประจำ ไม่ว่าจะเป็นวัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนถูกต้อง หรือว่าสำนักสงฆ์ก็ตาม ก็มีถึง ๑๐ กว่าแห่งแล้ว ขนาดไม่คิดจะเปิดสาขายังมีขนาดนี้ เปิดสาขาเมื่อไรก็น่าจะมากกว่านี้อีก เพราะว่าท่านที่เคารพเลื่อมใสปฏิปทาของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าถึงเวลาเราประกาศเปิดสาขาเขาก็จะมาอาศัยเกาะอีก เรื่องอย่างนี้จะว่าไปแล้ว เป็นการส่งเสริมให้พระพุทธศาสนาตั้งมั่นอย่างหนึ่ง เพราะว่าถ้าวัดหรือว่าสำนักสงฆ์ต่าง ๆ รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียว มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้เจริญมั่นคงได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ว่าขณะเดียวกัน ก็จะมีความแตกแยกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2023 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ความแตกแยกนี้เกิดจากบรรดาเจ้าสำนักต่าง ๆ ซึ่งมักจะมีลูกศิษย์ศรัทธาเป็นการเฉพาะตน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่ร่วมบุญกันมาในอดีตก็ดี ชอบใจในปฏิปทาปัจจุบันของท่านก็ตาม เมื่อถึงเวลาก็มักจะมีการนำไปเปรียบเทียบกับสำนักอื่น ๆ แล้วด้วยความยึดมั่นถือมั่นก็คือ "หลวงพ่อกูต้องดีที่สุด" ถึงเวลาใครพูดอะไร อยู่ในลักษณะทำให้หลวงพ่อของตนเอง "ด้อยค่า" ลงไป ก็จะมีการทะเลาะเบาะแว้ง กระทบกระทั่งกัน
ถ้าท่านทั้งหลายสังเกต จะเห็นว่าประเทศไทยของเราในปัจจุบันนี้ มีการแตกสายกรรมฐานออกไปอย่างชัดเจน หลายสายด้วยกันเช่นสายธรรมกาย ไม่ว่าจะเป็นวัดพระธรรมกายที่คลองสาม จังหวัดปทุมธานี หรือว่าวัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามที่ดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียวกันนัก ทั้ง ๆ ที่ต้นหลักก็ออกมาจากวัดปากน้ำภาษีเจริญเหมือนกัน หรือว่าทางวัดป่า ปัจจุบันนี้ที่ชัดเจนก็คือสายหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง แต่ปรากฏว่าก็มีสายวัดนาป่าพงที่โดนดีดออกไปจากกลุ่ม แล้วก็ไปตั้งเป็นสำนักพุทธวจนของตนเอง แต่เดิมมาจากรากเหง้าเดียวกัน พอความประพฤติปฏิบัติไม่ตรงกัน คณะกรรมการบริหารกลุ่มมีมติให้ตัดออกจากกลุ่ม ก็ทำให้เกิดสายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก หรือถ้าหากว่าพวกเรามีความใกล้ชิดก็จะเห็นว่าปัจจุบันนี้ยังมีสายหลวงตามหาบัว สายหลวงปู่เทสก์ วัดหินหมากเป้ง การเกาะกลุ่มกันแน่นเหนียวเป็นเรื่องดี แต่ว่าถ้าเผลอเมื่อไร มีกิเลสเข้ามาร่วมด้วย ก็จะกลายเป็นการแตกความสามัคคีโดยใช่เหตุ แล้วบ้านเราก็ยังมีสายนามรูป อย่างของวัดปราสาททอง จังหวัดสุพรรณบุรี สายสันติอโศก ซึ่งโดนขับออกจากคณะสงฆ์ไทย เพราะว่าทำผิดจากระเบียบของคณะสงฆ์ไทย คือบวชกันเองโดยไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่านานไป ๆ มีการกระทบกระทั่งกันมาก หรือว่าคณะศิษย์จับกลุ่มกันใหญ่ขึ้น ความแตกแยกก็จะชัดเจนมากขึ้น อาจถึงขนาดมีการแยกนิกาย อย่างสมัยการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ หลังพุทธปรินิพพาน ๑๐๐ ปี มีการแยกออกไปถึง ๑๘ นิกาย แล้ว ๑๘ นิกายนี้ส่วนใหญ่ก็คืออาจริยวาท ถือคำสอนอาจารย์ของตนเป็นใหญ่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2023 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
อย่างในปัจจุบันนี้ ถ้าหากมีการอ้างอิงก็จะอ้างว่า "หลวงปู่ชาว่าอย่างนี้" "หลวงตามหาบัวว่าอย่างนี้" นี่คืออาจริยวาท วาทะหรือคำพูดของอาจารย์ ที่เขาจะยกขึ้นมาเพื่อที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ก็ได้ ก่อให้เกิดโทษก็ได้
การก่อประโยชน์ก็คือ ถ้าเป็นสิ่งที่ดีแล้วเราน้อมรับเข้ามาปฏิบัติ ก็จะได้ประโยชน์ตามนั้น เพราะว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านเก่งจริงดีจริงนั้นมีมาก แต่ถ้าเรายกขึ้นมาเพื่อข่มสายอื่น ตรงนี้ก็ "เป็นเรื่อง" ทันที เพราะว่าเท่ากับแบกกิเลสไปชนกัน เรื่องนี้ตั้งแต่พุทธปรินิพพานได้ ๓ เดือน ความแตกแยกก็เกิดขึ้นแล้ว แต่ว่าความแตกแยกที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่คณะสงฆ์แตกกัน คือพอหลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน มีการสังคายนาพระธรรมวินัย ผ่านไป ๗ เดือนสำเร็จเรียบร้อย ปรากฏว่ามีพระปุราณเถระจากทักขิณาคีรีชนบท ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณสุไหงโกลก กว่าจะเดินทางไปถึงกรุงราชคฤห์ก็ผ่านไป ๗ เดือนแล้ว ถ้ารวมพุทธปรินิพพานด้วยก็ ๑๐ เดือนถ้วน เขาทำการสังคายนาพระธรรมวินัยเสร็จแล้ว ด้วยความที่ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ มีลูกศิษย์มาก มีอาวุโสพรรษามาก คณะสงฆ์ให้ความเคารพ ก็ต้อนรับกราบไหว้ และเรียนถวายท่านไปว่า พระสงฆ์ได้มีมติในการสังคายนาพระธรรมวินัยดังนี้ ๆ พระปุราณเถระกล่าวว่า "ดูก่อนอาวุโส สิ่งที่ท่านทั้งหลายได้กระทำนั้น ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่เราจะปฏิบัติเฉพาะที่ได้ยินมาต่อเบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น" มาบรรลัยตรงนี้เอง..! เนื่องเพราะว่าบางอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตเอาไว้เฉพาะกิจ เฉพาะเวลา อย่างเช่นเวลาเกิดทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพงขึ้นมา พระสงฆ์ที่ห้ามสะสมอาหาร อนุญาตให้สะสมอาหารได้ ก็คือจากที่ห้ามหุงต้มเอง ห้ามเก็บไว้เอง ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ของตน ช่วงนั้นก็ทำได้ เมื่อพ้นจากทุพภิกขภัย คือความอดอยากผ่านพ้นไปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ประกาศให้ยกเลิก แต่ว่าท่านที่อยู่ไกลอย่างทักขิณาคีรีชนบท ข่าวไปไม่ถึง และไม่ได้ฟังจากพระโอษฐ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังคงมติเดิมเอาไว้ ก็คือของบางอย่างได้มาไม่ต้องประเคน เก็บอาหารเอาไว้เองได้ หุงต้มเองได้ เก็บไว้ภายในที่อยู่ได้ เหล่านี้เป็นต้น ก็แปลว่าแม้ความแตกแยกจะไม่ชัดเจน แต่ว่าแนวทางการปฏิบัติเริ่มแยกกันแล้ว พอ ๑๐๐ ปีผ่านไป ก็ไปแยกชัดเจนตรงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ ก็คือกลายเป็น ๑๘ นิกาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2023 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ที่มาปรารภตรงนี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เห็นภาพของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยให้ชัดเจนขึ้นว่า ในเรื่องของสายธรรมต่าง ๆ นั้น มีแต่สายพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มาจากคำสอนของพระองค์ท่าน แต่ว่าบุคคลผู้เรียนรู้ไป มีความถนัด มีความชำนาญอย่างไร ก็สอนลูกศิษย์ไปตามความถนัดของตน
เหมือนอย่างกับว่าไปเรียนทำอาหารจากสุดยอดพ่อครัวระดับ ๕ ดาวมิชลิน แต่ลูกศิษย์ถนัดแบบไหน คนนี้ถนัดในเรื่องของอาหารจานเดียว คนนี้ถนัดในอาหารคอร์สใหญ่ คนนี้ถนัดเรื่องขนมปัง คนนี้ถนัดเรื่องของหวาน ก็มาจากตำราเดียวกัน อาจารย์สอนก็คนเดียวกัน แต่ลูกศิษย์ถนัดไม่เหมือนกัน ก็เอาความสามารถเฉพาะของตนขึ้นมาชูเป็นจุดเด่น กลายเป็นกรรมฐานสายโน้นสายนี้ไปโดยใช่เหตุ แม้กระทั่งสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสสอนไว้ เพราะเห็นว่าทำให้เนิ่นช้า คือความเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ปรากฏว่าบรรดาท่านที่มีความสามารถและมีวิสัยทางนี้ เมื่อรับรู้ขึ้นมาด้วยอำนาจของอภิญญาสมาบัติ แล้วนำมาถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ของตน ก็กลายเป็นสายมหายานขึ้นมา ที่พระพุทธเจ้าไม่สอนเพราะว่าต้องเกิดแล้วเกิดอีก สร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ถึงเวลาจะได้ทำหน้าที่ขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร แต่พระพุทธเจ้าที่ไม่สอนเพราะเห็นว่าทำให้ช้า เกิดชาติหนึ่งก็ทุกข์ชาติหนึ่ง อยู่วันหนึ่งก็ทุกข์วันหนึ่ง อยู่ชั่วโมงหนึ่งก็ทุกข์ชั่วโมงหนึ่ง อยู่นาทีหนึ่งก็ทุกข์นาทีหนึ่ง จากไปให้เร็วที่สุดจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ก็มีลูกศิษย์ที่ครูไม่สอนแต่เรียนรู้ด้วยตนเอง แล้วนำมาเพิ่มเติม กลายเป็นสายมหายาน ปัจจุบันนี้ก็เพิ่มวัชรยานเข้ามาอีก ของวัชรยานนั้นเป็นสายมหายาน บวกกับตันตระและจารีตพื้นเมืองของศาสนาบอนเก่า กลายเป็นวัชรยานแบบทิเบต การเปลี่ยนแปลงเป็นปกติของโลก เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายมีความเปลี่ยนแปลงเป็นปกติ หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงใดก็ตาม ถ้าหากว่าทำให้หลักธรรมผิดเพี้ยนไป ก็ควรที่จะรีบดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุด เพราะว่าศีล สมาธิ ปัญญา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ ก็เพียงพอต่อการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลของทุกคนแล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2023 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|