กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-05-2012, 17:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕

พระอาจารย์กล่าวถึงการบวชของแม่ชีเคิ่ลว่า "แสดงว่าเขากำลังใจบ้าพอ จึงตัดสินใจบวช แบบเดียวกับสมัยที่อาตมาจะบวช พออายุครบ ๒๐ ปี แม่ก็รบเร้าเช้าเย็น "บวชทีเถอะลูก บวชให้แม่หน่อย" อาตมาก็กลัวลงนรก ไม่ยอมบวช ผลัดไปเรื่อย ๆ

พอถึงเวลาจะบวชขึ้นมา แม่ถามขึ้นมาว่า "ถ้าเอ็งบวช แล้วข้าจะอยู่กับใคร ?" เห็นลีลาของมารเขาไหม ? บอกแล้วว่ามารเขาใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ขวางทางเราอยู่ตลอด คนที่เรารักมากที่สุด จะทำให้เราสะเทือนใจได้มากที่สุด ช่วงนั้นอาตมาดูแลแม่ต่อเนื่องอยู่หลายปี พี่ ๆ คนอื่นมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว เขาก็ยกแม่ให้อาตมารับเป็นภาระ

อาตมาบอกแม่ไปว่า "ลูกแม่มีอยู่เป็นโหล ถ้าอยู่กับใครไม่ได้ ก็ยอมตายเสียเถอะ..!" ถ้าไม่บ้าพอแบบนั้นก็ตัดใจไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 277 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-05-2012, 17:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์พูดถึงพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชว่า "อาตมายังไม่เคยเจอวัตถุมงคลอะไรที่ทำยากเย็นขนาดนี้มาก่อน มีแต่สารพันปัญหา ยังโชคดีที่หลวงพี่นิล (พระอาจารย์ธวัชชัย ชาครธมฺโม) ท่านเมตตาดาหน้าเข้ารับไว้แทนหมดทุกอย่าง อาตมามีหน้าที่จ่ายเงินเท่านั้น เจอหน้ากันแต่ละครั้งท่านจะระบายน้ำไหลไฟดับ "ช่างเคยทำมาก่อนแท้ ๆ สั่งให้ทำใหม่ ก็ยังทำผิดอีก ต้องไปคอยคุมคอยจี้ทีละเล่ม"

สำหรับฝักพระขรรค์ต้องเปลี่ยนเป็นไม้สักทอง ไม้สักทองนี่ใช้ไม้กระดานเก่าได้ เพราะไม้กระดานเก่าจะไม่ยืดไม่หดแล้ว ขนาดไม้สักทองที่เกาะพระฤๅษีเป็นไม้บ้านเก่านะ ยังมีการยืดหดอยู่เลย เพราะว่าไม้มีขนาดใหญ่ ส่วนที่ยืดขยายหรือหดตัวจึงมีสูง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 255 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-05-2012, 17:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"บ้านที่อาตมาอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็ก ๆ มีคนเขามาขอซื้อไปทั้งหลัง เพราะว่าต้นเสากับคานบนเป็นไม้มะเกลือเลือด ไม้มะเกลือเลือดมีความแข็งขนาดผึ่งถากไม่เข้า เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักหรอกว่า "ผึ่ง" หน้าตาเป็นอย่างไร ลองนึกถึงขวาน แต่เป็นขวานแบบด้ามจอบ ใช้ถากไม้


ผึ่ง


โบราณเขาบอกว่า "มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย" ปกติข้าวเหนียวต้องนึ่งนะ คนที่จะหุงข้าวเหนียวได้ต้องเป็นสุดยอดฝีมือเลย ส่วนถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็คือ ถากไม้เสียเรียบกริบเลย ดังนั้น..มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็ปลื้มใจ คุยไปได้ตลอดชาติ

รู้จักกล่อมเสาไหม ? กล่อมเสา ก็คือ ค่อย ๆ ถากเสาไม้จนกลม ภาษาพวกนี้เลยรุ่นพวกเราไปแล้วจะมีใครรู้หรือเปล่า ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 254 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 16-05-2012, 09:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า"เมื่อวานอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “เครื่องรางนอกตำรา” เขากล่าวถึงเครื่องรางอาถรรพ์หลายประเภท อย่างแมลงทับปรอท ถ้าหากว่าตอนเด็ก ๆ ใครเคยเล่นแมลงทับ จะรู้ว่าพอแมลงทับไข่ได้ไม่นานก็จะตาย เด็กสมัยก่อนจะเล่นพวกแมลงทับ แมลงกว่างกันเป็นปกติ พอเขย่าต้นไม้แมลงพวกนี้ก็ร่วงกราว ถ้าจับช้าก็จะบินหนี ตัวไหนตกใจก็จะทิ้งตัวลงมาแกล้งนอนตายอยู่กับพื้น ให้คนไม่สนใจ

สมัยเด็ก ๆ อาตมาเอาแมลงทับใส่กระเป๋ากางเกงไว้ แล้วก็เด็ดยอดมะขามเทศอ่อนใส่ไป ๓ - ๔ ยอดให้กิน ไม่นานแมลงทับก็ไข่ในกระเป๋า พอไข่ได้ไม่นานก็ตาย เขาบอกว่าจะทำแมลงทับปรอท ต้องหาแมลงทับที่ตายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘..หายากนะ..เพราะบางทีไม่ใช่ฤดูของแมลงทับ

เครื่องรางที่เขากล่าวถึงก็มีแมลงทับปรอท พญาสิงขร เขี้ยวเสือไฟ เขาทำได้เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนมีความอดทนสูง บางทีทั้งชีวิตทำเครื่องรางชิ้นเดียว สมัยนั้นเขาถือว่าเป็นของคู่ตัว นอกจากนี้มีลูกกลอนสมิง เกิดจากชานหมากว่านยาหลายอย่างผสมรวมกัน เสกด้วยคาถาอาคม มีไว้เพื่อป้องกันเสืออย่างเดียว

อย่างพญาสิงขร ต้องเอางาช้างที่ล้มเองมาแกะสลักเป็นรูปเสือ รูปสิงห์ก็ได้ แล้วก็ทำพิธีปลุกเสกตามแบบเขา ป้องกันอันตรายในป่าได้ทุกชนิด

อย่างสมัยพระร่วงมีเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วยหอมเป็นของคู่บารมี ส่วนพวกลูกทะเลเขาใช้กระเบนท้องน้ำ หรือไม่ก็ฟันปลาฉลามเป็นเครื่องราง ยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งดี

อยากจะเชื่อว่าของที่เป็นชิ้นส่วนของสัตว์เหล่านี้ยังมีกลิ่นจำเพาะตัวอยู่ พอพวกสัตว์ได้กลิ่นก็รู้ว่าไอ้ตัวมหึมานี่ดุกว่าแน่ จึงไม่ไปยุ่งด้วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 16-05-2012, 10:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างงาช้างน้ำ ที่ใส่ในยาจินดามณี ยังพอหาได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปหา เป็นเรื่องของบุญใครบุญมัน อาตมาว่าจะลองทำยาจินดามณีดูสักครั้ง เพราะตำรายาจินดามณีไม่ใช่ของหวงห้าม มีเป็นสาธารณะเลย เพียงแต่ว่าส่วนประกอบบางคนเขาไม่รู้จัก

สมัยอาตมาอยู่เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นมีผักคราดเป็นตันเลย ต้องคอยถลกทิ้ง เครื่องยาผงจินดามณีประกอบด้วย ดอกคราด ดอกจันทร์ เกสรบัวหลวง (ถ้าได้บัวหลวงแฝดยิ่งดี) น้ำผึ้งรวง น้ำมะเขือขื่น ฯลฯ

พวกเราคงไม่รู้จักแล้วว่ามะเขือขื่นกับมะเขือเปราะแตกต่างกันอย่างไร ? เอาแค่ว่าเจอมะอึกก็ไม่กล้ากินแล้ว มะอึกลูกเป็นขน ๆ พอเราเห็นก็ไม่กล้ากิน หารู้ไม่ว่านั่นสุดยอดแล้ว ตำน้ำพริกอร่อยสุดยอดเลย

ถาม : ยาจินดามณี ไว้ใช้กันตาย ไม่ใช่รักษาโรค ใช่หรือไม่ ?
ตอบ : สามารถถอนคุณไสยได้ ถ้าบูชาติดตัว อธิษฐานป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ ที่แน่ ๆ ก็คือ ถ้าคนยังไม่ถึงอายุขัย ป่วยหนักขนาดไหนก็รักษาได้ เพียงแต่ว่ากลิ่นของยาแรง อาตมาเคยพกแล้วเผลอทิ้งไว้ในห้อง กลิ่นยาตลบอวลทั้งห้องเลย ถ้าคนที่ไม่คุ้นจะว่ากลิ่นอะไรแปลก ๆ

อาตมาอยากได้สูตรยาจินดามณีที่ผสมแล้วแช่น้ำได้ จะได้ให้เขาทำน้ำมนต์ได้ แต่สูตรผสมแบบนี้ไม่แน่ใจว่าเวลาแช่น้ำแล้วตัวน้ำยาประสานจะเป็นพิษหรือเปล่า ?

เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักผักคราดเพราะไม่เคยกิน เด็กรุ่นเก่านี่ปวดฟันเมื่อไรก็วิ่งหาผักคราด เอามาเคี้ยว ๆ แล้วอุดรูฟันไว้ พักเดียวก็หายปวดแล้ว กินเป็นยาชาได้ กินมาก ๆ นี่ลิ้นชาหมด ที่หายากหน่อยก็ดอกจันทร์ ต้องสั่งร้านขายสมุนไพรโดยเฉพาะ เกสรบัวหลวงกับดอกจันทร์นี่สั่งร้านสมุนไพรได้เลย แต่ถ้าเป็นบัวแฝดต้องไปเก็บเอง เพราะเกิดยาก คนรู้คงเอาไปหมด เขาถือเป็นมหาเสน่ห์เลย

แก้วปัทมราชยิ่งหายากที่สุด แก้วปัทมราชถือว่าเป็นคดชนิดหนึ่ง คือเม็ดบัวที่กลายเป็นหิน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 16-05-2012, 10:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แก้วกัทลีก็เหมือนกัน เป็นแก้วหรือหินที่เกิดในหัวปลี ในชีวิตอาตมาเจอเพียงครั้งเดียว ไม่ได้เจอเองหรอก คนอื่นได้มาแล้วเอามาอวด

สมัยก่อนพวกหนุ่ม ๆ ชอบศึกษาวิชาอาคม เขามีวิชาเลี้ยงกล้วยตานี เลี้ยงกล้วยตานีแล้วจะได้เมียผี เขาใช้วิธีไปขอหน่อกล้วยจากต้นแม่ เอาพวกเครื่องแต่งตัว ของหอม ผ้าสไบ เครื่องไหว้ไป ต้องเลือกคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเที่ยงคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แล้วจุดธูป ๙ ดอก "แม่จ๋า..ฉันเอาสินสอดมาขอลูกสาวแม่ จะเลี้ยงดูให้ดี ไม่ทิ้งไม่ขว้าง ขอแม่ยกให้ฉันด้วยนะจ๊ะ" แล้วขุดหน่อกล้วยไป ต้องเรียกเขาไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะ ให้ไปด้วยกัน เกลี้ยกล่อมเหมือนคุยกับสาวเลย

เอาหน่อไปปลูกไว้ รดน้ำพรวนดินให้ดี คิดดูก็สยองแล้ว ขึ้น ๑๕ ค่ำตอนกลางคืน ดงกล้วยก็มืด ๆ ใบกล้วยไหวแสกสาก คนกำลังใจไม่มั่นคงจริง ๆ ไม่มีใครเขากล้าทำหรอก แต่ผีตานีขี้หึงทุกตัว อย่าเผลอไปมองสาวอื่นเชียวนะ สถานเบาผีก็เล่นงานแค่สาวคนนั้น ถ้าสถานหนักก็จัดการผัวด้วย..!

สำหรับรายนั้นเขาทดลองเลี้ยงผีตานีไว้เฉย ๆ ไม่ได้เอาเป็นเมียเหมือนคนอื่น จนกระทั่งถึงระยะหนึ่งผีบอกว่าต้องไปจุติแล้ว ก่อนไปเขาจะทิ้งของดีไว้ให้ ลองไปหาดู พอรุ่งขึ้นเขาไปดู ปรากฏว่าเห็นกล้วยออกปลี ที่อื่นก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เขาก็เลยตัดปลีออกมาผ่าดู เห็นแก้วอยู่ข้างใน ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง ไร่คนอื่นโดนเพลี้ยลง โดนลิงลง ช้างลง ลุยไร่เละเทะหมด แต่ไร่ของแกไม่เคยโดนอะไรเลย

ของอย่างนี้บางทีก็อยู่ในลักษณะบุญใครบุญมัน บางคนได้ของพวกนี้มาก็ไม่รู้คุณค่า อย่างไข่แก้วงูจงอาง ถ้าจำไม่ผิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ราชบุรีหรือเพชรบุรี เขาเป็นพ่อค้ารับซื้อของป่า ชาวบ้านเอาหวาย เอาบอระเพ็ด เอาน้ำผึ้งมาขายให้แกเป็นประจำ วันนั้นพอชาวบ้านปลดกระสอบลงจากบ่า ไข่งูก็หล่นลงมา เขาก็หยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นหิน แต่ยังมีเงาของลูกงูเห็นราง ๆ อยู่ข้างใน

เขาถามชาวบ้านคนนั้นว่าได้มาจากไหน ? ชาวบ้านเล่าว่าเขาเดินออกจากป่ามา เห็นงูจงอางใหญ่ตายเน่าแล้ว แต่แปลกใจที่เห็นแสงอะไรวูบวาบ พอเข้าไปดูปรากฏว่างูอมไข่อยู่ ก็เลยเอาไข่งูมา เขาถามชาวบ้านว่าจะขายไหม ? ชาวบ้านตกลงขาย "ถ้าเถ้าแก่จะเอา ผมขอห้าร้อย" ทั้ง ๆ ที่เถ้าแก่รู้ว่าของมีค่า แต่ก็ยังไปต่อราคาเหลือ ๓๐๐ บาท สมควรตายจริง ๆ..!

จากนั้นเขาก็เอามาลงประกาศในหนังสือพิมพ์ขาย ๗ ล้านบาท..! ถ้าเป็นอาตมาขายได้ ๗ ล้านบาท ก็แบ่งให้ชาวบ้านไป ๑ ล้านบาทเลย นี่ยังอุตส่าห์ไปต่อเขาเหลือแค่ ๓๐๐ บาท
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 24-03-2021 เมื่อ 17:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 242 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 16-05-2012, 11:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางคนได้มาแล้วไม่มีบุญที่จะเก็บไว้ แบบเดียวกับแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวผัดไท ชาวบ้านสั่งผัดไทใส่ไข่ พอแม่ค้าเคาะไข่เทลงไปมีเสียงดังโป๊ก..! ไข่แดงกลายเป็นหิน..! เขาก็เลยเอาตะหลิวตักขึ้นมาดู แล้วก็วางไว้ แต่คนสั่งผัดไทเขารู้จักของ “เจ๊ ๆ แปลกดี ขอผมเถอะ” แม่ค้าก็ให้ไป ตัวเองมีของดีอยู่แท้ ๆ แต่ไม่รู้จัก ไปให้เขาได้

ไข่ไก่ใบนั้นมีหินอยู่ข้างใน มีไข่แดงเป็นหิน แต่ไข่ที่อาตมาได้มาเป็นหินทั้งลูก ลูกเล็ก ๆ ประมาณนิ้วก้อย ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วก็คือ แคลเซียมของเปลือกไข่รวมตัวเป็นเปลือกไข่อย่างเดียว ไม่มีไข่แดง

อาตมาได้ไข่นี้มาจากเกาะพระฤๅษี ตอนนั้นลูกไก่ป่า ๒ ครอก เกิดวันเสาร์ ๕ พอดี ญาติโยมไปร่วมงานบวงสรวงหลายคน เขาไปเล่นกับลูกไก่ พอเลิกงานแล้วคนกลับหมด ตกเย็นอาตมาก็ไปดู เห็นว่าโยมไม่ได้เก็บพวกเปลือกไข่ออก อาตมาจึงไปเก็บเปลือกไข่ออกแล้วก็เจอไข่หินนี้ หลังจากได้ไข่ใบนั้นมา บรรดาของแปลก ๆ ก็ไหลมาเทมา เหมือนกับว่าเขาหาพวก เรียกพวกมา ของเหล่านี้พวกไสยศาสตร์ชอบ จะมีอำนาจขนาดไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าพองูจงอางคาบไข่แก้วชูขึ้นมา ขนาดฝนยังไม่กล้าตกเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 16-05-2012, 11:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนที่อาตมาไปอยู่เกาะพระฤๅษีแรก ๆ มีงูจงอางใหญ่ลงมาแช่น้ำในลำห้วยเป็นประจำ ตัวโตดำเมื่อมเลย น่าจะใหญ่กว่าท่อนแขน ยาวสัก ๓ - ๔ เมตรได้ ปีนั้นพอถึงหน้าฝน แต่ฝนกลับไม่ลง ถึงเดือน ๖ แล้วฝนยังไม่ลง เมฆมืดมา ฟ้าร้องครืน ๆ แต่ฝนกลับไม่ลง ก็ได้แต่แปลกใจว่า ทำไมอากาศร้อนทรมานอบอ้าวขนาดนี้เป็นเดือน ๆ ฝนกลับไม่ลง

ตอนกลางคืนเดินไปที่หน่วยป่าไม้ คุยกับผู้ช่วยป่าไม้ ผู้ช่วยเขาบอกว่า “อาจารย์..นั่นเสียงอะไร ได้ยินมาหลายวันแล้ว เสียงอย่างกับแม่ไก่ครางเวลาฟักไข่” อาตมาลองฟังดู พอได้ยินก็บอกว่า " รู้ไหมว่าจงอางฟักไข่ ? จงอางฟักไข่มักจะร้องครางเหมือนแม่ไก่เลย" ผู้ช่วยบอกว่า "มิน่า..ฝนไม่ลงสักที ต้องรอให้ไข่ออกเป็นตัวก่อน"

พวกนี้เป็น กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ถ้าฝนลงก่อนเดี๋ยวไข่เน่าหมด ไม่ทันออกเป็นตัว งูก็ต้องหาวิธีป้องกันไข่ วิธีที่จะป้องกันไข่ของตนก็คือขู่ฟ้า ดังนั้น..ไข่แก้วของงูจงอางน่าจะมีอานุภาพครอบจักรวาล โดยเฉพาะอยู่ในป่าคงไม่ต้องกลัวอันตรายอะไร เหมือนกับมีองครักษ์ชั้นดีไปด้วย สัตว์อื่นได้กลิ่นก็หนีเตลิดเปิดเปิงแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 251 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 17-05-2012, 11:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงบันทึกผจญกรรมว่า "เรื่องของกรรมนี่น่ากลัวจริง ๆ สมัยอาตมาเกิดเป็นสัตว์ ระยะเวลาห่างไกลจากปัจจุบันจนประมาณไม่ถูก แต่กรรมก็ยังอุตส่าห์ตามมาทันได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่กรรมหนัก เพราะสัญชาตญาณของสัตว์ โดยความมืดบอดของเขา เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์กินเนื้อย่อมต้องกินสัตว์อื่นเป็นปกติ ไม่ได้ฆ่าโดยความโกรธแค้นเป็นส่วนตัว แต่ฆ่าเพราะต้องการอาหาร ในเมื่อไม่มีความโกรธ โทษของกรรมก็น้อย กว่ากรรมนั้นจะตามมาทัน จึงนานจนนับเวลาไม่ได้เลย ในผจญกรรมยังมีตอนต่อไปอีก ยังมีชาติที่เกิดเป็นหมูป่าด้วย"

ถาม : ทำไมจึงเขียนให้สัตว์ในเรื่องมีวิธีการคิดเหมือนคน ?
ตอบ : เพราะสัตว์มีความรู้สึกเหมือนคน มีรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนคนหมด ตอนที่เกิดเป็นหมูป่าถึงขนาดวางแผนฆ่าเสือเป็นฉาก ๆ เลย เป็นสัตว์แต่ร่าง แต่ความคิดเหมือนคนหมด รัก โลภ โกรธ หลงเหมือนคนหมด แต่มีดีอยู่แค่ว่าไม่สะสม มีเท่าไรกินเท่านั้น วันรุ่งขึ้นค่อยไปหากินใหม่ ถ้ายังมีของเก่าอยู่ก็กินของเก่าต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-05-2012 เมื่อ 15:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 17-05-2012, 11:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในอัคคัญญสูตรพระพุทธเจ้าตรัสถึงการกำเนิดโลก การกำเนิดสิ่งของมีชีวิต ทรงตรัสกับวาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณร จริง ๆ แล้วสองท่านนี้ไม่ใช่เด็ก เป็นอาจารย์ใหญ่สอนไตรเพท พอได้ฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าแล้วเลื่อมใสขอบวช เนื่องจากว่าเป็นคนนอกศาสนา ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ๙ เดือน ทั้งสองจึงบวชเป็นสามเณรก่อน ด้วยความที่เป็นอาจารย์ใหญ่มาก่อน ปัญหาแต่ละอย่างของท่านจึงลึกซึ้ง

พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสถึงกำเนิดโลกว่า มนุษย์เกิดมาจากอาภัสราพรหมที่ลงมากินง้วนดิน เนื่องจากไฟบรรลัยกัลป์ไหม้แล้วฝนใหญ่ตกทับ ทำให้ง้วนดินนั้นมีกลิ่นหอมมาก ขนาดอาภัสราพรหมได้กลิ่นยังทนไม่ได้ต้องลงมาชิม พออาภัสราพรหมกินของหยาบเข้าไปกายทิพย์ก็เลยหยาบขึ้น เมื่อกายทิพย์หยาบขึ้นรัศมีก็หายไป จึงได้เกิดพระอาทิตย์พระจันทร์ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นตัวเองก็ไม่รู้จะไปอย่างไรเพราะมีแต่ความมืด

พอกินไป ๆ ง้วนดินหมด เกิดเป็นเถาดิน เถาดินหมดก็เกิดเครือดิน กินไปเรื่อย ๆ ร่างกายหยาบขึ้น เพศปรากฏขึ้น เมื่อเพศปรากฏขึ้น ต่างฝ่ายต่างมองนิมิตของอีกฝ่ายหนึ่ง เกิดความสนใจ ไปจับ ๆ คลำ ๆ เข้าก็เกิดความกำหนัด จึงเสพเมถุนมีลูกมีหลานสืบตระกูลกันมา

ช่วงแรก ๆ การทำมาหากินไม่ลำบาก เพราะมีข้าวสาลีรวงโต ๆ ไม่ต้องไถ เป็นเมล็ดข้าวสารออกจากรวง ไม่มีเปลือก ขาวสะอาด ไปรูดมาหุงกินได้เลย ต่อมาด้วยความขี้เกียจของคนผู้หนึ่ง ขี้เกียจไปเก็บข้าวบ่อย ๆ จึงนำมาตุนไว้ แล้วชักชวนคนผู้อื่นให้ทำแบบนี้บ้าง ด้วยกรรมที่กระทำนี้ทำให้เปลือกข้าวเกิดมาห่อหุ้มเมล็ดข้าว ก็เลยลำบากคนรุ่นหลังต้องมาตำข้าวสีข้าวกันอีก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 17-05-2012, 11:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอผู้อื่นผ่านมาเห็นบุคคลเสพเมถุนธรรมกันเข้า ก็เอาฝุ่นโรยใส่บ้าง ถ่มน้ำลายใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับว่าคนชาติชั่ว จงฉิบหาย เขาก็เลยต้องไปสร้างบ้านเรือนขึ้นมา เพื่อที่จะได้ไม่ให้คนอื่นเห็นการกระทำของตนเอง

เมื่อมีบ้านขึ้นมา ก็มีการกำหนดว่าเขตนั้นเป็นของฉัน เขตนี้เป็นของเธอ เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ลงไม้ลงมือกัน ท้ายสุดก็มีคนมาห้ามปราม มาชี้แนะ ว่าใครควรจะได้เท่าไร ก็เลยยกให้ผู้ฉลาดนั้นเป็นผู้นำ จึงเกิดมีผู้นำมีกษัตริย์ขึ้นมา

เพราะความหลงถึงได้กินง้วนดินในตอนนั้น พอกินแล้วรัศมีกายหมด เหาะกลับไม่ได้ ตัวก็หนัก จึงได้เกิดพระอาทิตย์เกิดพระจันทร์ขึ้นมา พัฒนาการของการเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ละเอียด เนื้อหายาวมาก สรุปแล้วรัก โลภ โกรธ หลง กินทันทีที่เราเกิดเลย

รุ่นแรก ๆ น่าจะยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เพราะว่ามาจากข้างบนทั้งนั้น แต่พอสร้างกรรมเข้า เศษกรรมจึงทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา"

ถาม : เขาจำกันได้บ้างไหมว่าทำกรรมอะไรไว้บ้าง ?
ตอบ : หาคนจำได้ยาก ยกเว้นอย่างพระนางพิมพา พระมหากัสสปะ นางภัททกาปิลานี พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ทั้งห้าท่านนี้ได้อภิญญาใหญ่ ระลึกชาติได้ไม่จำกัดเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า นอกนั้นระลึกชาติได้จำกัด บางท่านระลึกได้แสนชาติบ้าง ได้ ๑ กัปบ้าง ได้ ๒ กัปบ้าง ๓ กัปบ้าง ๔ กัปบ้าง ๕ กัปบ้าง ๑๐ กัปบ้าง ๑๐๐ กัปบ้าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 17-05-2012, 12:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่หวงของหวงทรัพย์สิน กับพ่อแม่ที่หวงลูก เหมือนกันไหมคะ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน การหวงมากหรือหวงน้อยขึ้นอยู่กับว่ายึดมั่นมากหรือน้อย พ่อแม่ที่หวงลูกนอกจากจะเป็นความรู้สึกของการหลงแล้ว ยังเป็นสัญชาตญาณด้วย เพราะว่าถ้าไม่หวงไม่ดูแลลูก พวกลูก ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกคนหรือลูกสัตว์อาจจะไม่รอด ถ้าลูกตายหมดก็ไม่เหลือพืชพันธุ์ของตนไว้ เพราะฉะนั้นกลายเป็นหวง ๒ ชั้น ถ้าหวงของนั่นหวงแค่ชั้นเดียว

ถาม : แล้วคนที่ขาดเมตตา ใจดำ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับคนคิด จริง ๆ แล้วคนใจดำเป็นพวกเห็นแก่ตัว ไม่เอาใคร บางทีเราเอาแต่คิดว่าจะไปขอความช่วยเหลืออย่างเดียว เขาเองไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยได้ เขาปฏิเสธมา เราก็ไปว่าเขาใจดำ เรื่องพวกนี้อยู่ที่ความคิดของเรา ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือไม่ก็ถามเขาหน่อยว่าเป็นอย่างไร เราก็จะรู้ความคิดของเขา

ถาม : จริง ๆ แล้วก็ไม่แน่ว่าจะใจจืดใจดำ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต้องมีความจำเป็น ยกเว้นเป็นประเภทตระหนี่ถี่เหนียวแบบโกสิยเศรษฐี โกสิยเศรษฐีขี้เหนียวสุด ๆ ประหยัดทุกวิถีทางเพราะกลัวจน ทั้ง ๆ ที่เป็นมหาเศรษฐี

ถาม : หวงโดยเฉพาะของของเขา ?
ตอบ : ก็เขาบอกแล้วว่าของของเขา ในเมื่อเป็นของของเขา เขาก็ต้องรักษา จะไม่แบ่งปันให้ใคร ในเพลงแหล่เขาว่า "...ทนอดทนอยาก มีปากเสียเปล่า เมียบ่นหิวข้าว ผัวเฒ่าตีดิ้น กลัวยากกลัวจน ยอมทนอมลิ้น เมียกลัวเหงื่อริน ก็เลยเป็นลม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 17-05-2012, 13:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นหลัง ๆ มักจะโตไว ก็แปลว่าอายุสั้น ลองสังเกตดูว่า..สัตว์อะไรที่โตเร็ววงจรชีวิตมักจะสั้น แต่เนื่องจากเทคนิคการแพทย์ดีขึ้น ก็เลยยืดอายุไปได้อีกหน่อย แบบเดียวกับเทคนิคสเต็มเซลล์ ถ้าหากใช้ได้ผลจริง พวกมหาเศรษฐีของโลกคงไม่ตายกันหรอก อะไหล่ดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าตัวถังไม่ไหวแล้ว ไปเปลี่ยนอะไหล่อย่างไรก็พัง

ถ้าสนใจเรื่องเปลี่ยนอวัยวะให้ไปอ่านนิยายของวิมล ไทรนิ่มนวล เรื่องอมตะ เรื่องนี้ได้รับรางวัลซีไรท์ ถ้านิยายของจีนก็เรื่องขี่พายุทะลุฟ้า ตอนหาญท้าเทวะ ด้วยความที่เทวะเป็นสุดยอดอัจฉริยะ หลายร้อยปีจะเกิดครั้งหนึ่ง เขาก็เลยคิดวิชายืดอายุตัวเอง แต่ยืดได้เฉพาะอายุ ส่วนสังขารหมดสภาพ อยู่มา ๒๐๐ กว่าปี เทวะเจอพระเอกเห็นว่าเหมาะสม ก็เลยจะผ่าตัดเปลี่ยนสมองใส่ตัวพระเอก ให้ตนเองกลายเป็นหนุ่มขึ้นมา ลองไปอ่านดูถ้าสนใจเรื่องพวกนี้

อายุขัยของมนุษย์เป็นเรื่องตามกรรมที่ทำมา โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ยาก บางคนคิดจะโคลนนิ่งมนุษย์ แต่ก็กลัวว่าถ้าโคลนนิ่งมนุษย์ได้จริง ๆ แล้วจะเหมือนกันหมด ทำให้แยกแยะกันไม่ถูก จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง ต่อให้รูปร่างหน้าตาเหมือนกันแต่สภาพจิตเป็นคนละดวง ความประพฤติก็ไม่เหมือนกันหรอก อย่างแฝดสาม เอส เอ็ม แอล นั่นเป็นแฝดสามก็จริง แต่ความประพฤติคนละเรื่องคนละราวกันเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 17-05-2012, 13:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการบวชว่า "การตัดสินใจทำอะไรให้เด็ดขาดนั้นยาก อย่างที่แม่ชีเคิ่ลเขาตัดสินใจบวช พวกเราตัดใจอย่างนั้นไม่ได้หรอก พวกเราเด็ดแต่ไม่ขาด ตัดบัวยังเหลือใย แต่นั่นเขาเด็ดขาดแล้ว

เรื่องของการบรรลุธรรมต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด จุดไหนที่เราคิดว่าทำได้ต้องตัดใจเดี๋ยวนั้นเลยว่าเราจะทำตามนั้น ถ้าจุดไหนให้ละเว้นเราจะเว้นอย่างนั้น ถ้าตัดสินใจแบบนี้เรื่องของมรรคผลก็ไม่ยาก แต่ส่วนใหญ่คนสมัยหลัง ๆ ไม่มีการตัดสินใจตรงนี้ ฟังธรรมรู้สึกว่าดี แต่รู้สึกในลักษณะชื่นชมเหมือนกับเห็นสมบัติมหาเศรษฐี ไม่ได้คิดว่าเราจะทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้สมบัตินั้นบ้าง ในเมื่อไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด โอกาสที่เข้าถึงมรรคผลก็ยาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 17-05-2012, 14:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปกราบหลวงปู่ดู่ครั้งแรก ก็มีพระวัดท่าซุงตามไปหลายรูป เมื่อสนทนาปราศรัยกันเรียบร้อยก็กราบเรียนท่านว่า “ขอให้หลวงปู่ท่านเมตตาให้โอวาทด้วยครับ พวกผมจะได้ยึดเป็นเครื่องปฏิบัติสืบไปในเบื้องหน้า”

หลวงปู่ท่านบอกว่า “ครูบาอาจารย์ผมไม่ได้สอนอะไรมากมายหรอก ท่านบอกว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งก็พอแล้ว” อาตมาก็กราบก้นโด่งคลานออกมา ท่านตี๋ (พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) คลานตามมาสะกิด "เฮ้ย..ยังไม่ได้อะไรเลย จะกลับแล้ว ?" "หา..ยังไม่ได้อะไรเลยหรือ ? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งนี่ยันพระนิพพานแล้วนะ"

ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจใช่ไหม ? ถ้าเราเคารพ เราก็ตั้งใจปฏิบัติในศีลตามที่ท่านสอน ก็เหลืออย่างเดียวคือตั้งใจว่าตายแล้วจะไปไหน ครูบาอาจารย์ท่านให้เพชรยอดมงกุฎมาดันไม่รู้จัก แค่เอาไปต่อยอดมงกุฎก็จบแล้ว

หลวงปู่ดู่ท่านมีประโยคประทับใจเยอะ บางทีคำสอนท่านเหมือนกับคำสอนของเซ็น ท่านสอนสั้น ๆ แต่กินใจ กระทบใจมาก อย่างคนไปต่อว่าท่านเรื่องสร้างวัตถุมงคล ท่านตอบสั้น ๆ ว่า “ติดวัตถุมงคล ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” จบแค่นั้นเลย บางคนไปเที่ยวว่าคนนั้น ไปเที่ยวนินทาคนนี้ให้ได้ยิน ท่านบอกว่า “คนดีเขาไม่ตีใคร” คนพูดเฉาไปเลย จบกันแค่นั้น

บางคนมาลาท่าน ขอไปปฏิบัติที่สำนักอื่น ท่านก็บอกว่า “ข้าโมทนากับแกด้วย ข้าไม่มีโอกาสไป” ไม่เห็นท่านจะว่าลูกศิษย์สักคำ ลูกศิษย์อยู่กับโคตรเพชรแล้วไม่รู้จัก อุตส่าห์ตะกายไปที่อื่น ท่านเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยเขาไปตามใจของเขา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 18-05-2012, 10:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ในบันทึกประวัติศาสตร์จีน ขุนนางที่ซื่อสัตย์หลายคนต้องทำงานสองโลกไปพร้อมกัน อย่างเช่นเปาบุ้นจิ้น พอฟุบหลับไปหน่อยเดียว กายทิพย์ก็ออกไปตัดสินความในเมืองนรกเรียบร้อยแล้ว

ส่วนในสมัยราชวงศ์ถัง ก็มีเว่ยจิง เป็นเสนาบดีคู่พระทัยของพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ เว่ยจิงเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา กล้าทัดทานฮ่องเต้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าฮ่องเต้ทำไม่ถูกไม่ควร เว่ยจิงก็กล้าพูดกล้าบอก มีเรื่องเล่าว่าพญามังกรไปเจอเต้าหยิน (นักพรต) ที่มีทิพจักขุญาณ สามารถทำนายลมฟ้าอากาศได้แม่นยำมาก พญามังกรจึงหมั่นไส้เต้าหยินท่านนั้น อยากจะลองดีสักหน่อย

พญามังกรจึงแปลงเป็นคนไปถามเต้าหยินว่า พรุ่งนี้ฝนจะตกเท่าไร ? พอเต้าหยินเสี่ยงทายเสร็จเรียบร้อยบอกว่า พรุ่งนี้ เวลาเท่านี้ ฟ้าจะต้องร้องกี่ครั้ง ฝนจะต้องตกกี่ห่า น้ำจะต้องเปียกดินลึกลงไปกี่ศอก พญามังกรก็หัวเราะบอกว่า “ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นล่ะ ?” เต้าหยินบอกว่าถ้าไม่เป็นไปตามนั้นจะยอมทุบป้ายของแกทิ้ง ก็คือเลิกอาชีพนี้ ความจริงก็คือพญามังกรนี้มีหน้าที่ควบคุมดินฟ้าอากาศ เป็นผู้บันดาลให้ฝนตก

เมื่อพญามังกรกลับไปยังไม่ทันถึงตำหนักเลย เสนาบดีวิ่งถือจดหมายคำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้มาว่า พรุ่งนี้เวลานี้ต้องผลิตน้ำฝนเท่าไร ซึ่งผลตรงกับที่เต้าหยินทำนายไว้จริง ๆ พญามังกรก็เริ่มคิดหนักว่าจะทำอย่างไรดี ท้ายสุดก็ใช้วิธีเบี้ยว ทำให้น้ำฝนขาดไปเสียหน่อย คำทำนายจะได้คลาดเคลื่อน เขาจะได้ทุบป้ายทิ้ง

รุ่งขึ้นพญามังกรถือกระบองไป จะไปอาละวาดทุบป้าย เต้าหยินก็หัวเราะ “หัวจะขาดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” พญามังกรสงสัยถามว่าทำไม ? เต้าหยินบอกว่า “กลับไปเถอะ คำสั่งประหารท่านคงมาถึงพอดี” พญามังกรก็ตกใจรีบกลับวังไป ปรากฏว่าคำสั่งมาจริง ๆ โทษฐานที่เป็นพญามังกร มีหน้าที่ควบคุมดินฟ้าอากาศ แต่กลับไม่ทำตามคำสั่ง มีโทษประหาร..!

พญามังกรจึงไปขอให้นักพรตช่วย นักพรตบอกว่า "ช่วยไม่ได้หรอก แต่ผู้ที่จะทำหน้าที่ประหารท่านก็คือเสนาบดีเว่ยจิง ซึ่งจะประหารเวลาบ่ายโมงตรง ถ้าผิดเวลาประหารก็ผิดกฎสวรรค์ ไม่สามารถประหารท่านได้อีก เราบอกได้แค่นี้" พญามังกรฟังก็เข้าใจ รีบเข้าไปเฝ้าถังไท่จงฮ่องเต้ ไปขอร้องว่าตนเองสร้างคุณความดีมาตลอด ตอนนี้ผิดพลาดนิดหน่อยด้วยทิฐิมานะ ขอให้ฮ่องเต้ช่วยด้วย ถังไท่จงฮ่องเต้ถามว่าจะให้ช่วยอย่างไร ? พญามังกรบอกว่าให้ช่วยดึงเว่ยจิงเอาไว้ ใช้งานอะไรก็ได้ให้หัวทิ่มหัวตำไปเลย ก่อนบ่ายโมงอย่าให้ไปไหน พอพ้นจากบ่ายโมงไปแล้วตนก็จะรอด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 03:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 18-05-2012, 10:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถังไท่จงฮ่องเต้สงสารพญามังกรก็รับปากว่าจะช่วย หลังจากพระกระยาหารกลางวันแล้ว ถังไท่จงฮ่องเต้ก็ชวนเว่ยจิงเล่นหมากรุกกัน ซึ่งหมากรุกจีนแต่ละกระดานบางทีใช้เวลาครึ่งค่อนวัน เล่นไปเล่นมาจนใกล้เวลาบ่ายโมง เว่ยจิงก็ฟุบหลับ ถังไท่จงฮ่องเต้สงสารเสนาบดีที่ทำงานมาหนัก แถมยังโดนบังคับมาเล่นหมากรุกอีก จึงเอาพัดมาช่วยพัดให้

คืนนั้นพญามังกรเดินถือหัวตนเองเลือดโชกมาเลย ต่อว่าถังไท่จงฮ่องเต้ว่าไม่ทำตามที่ตกลงไว้ แถมยังช่วยเขาประหารตัวเองอีก ถังไท่จงฮ่องเต้ก็ตกใจว่าตนเองไปช่วยประหารอย่างไร ? พญามังกรบอกว่า พอถึงเวลาบ่ายโมงตรง เว่ยจิงถือกระบี่มาจะประหารชีวิต เขาก็ต้องหนี เว่ยจิงไล่เขาไม่ทัน แต่ถังไท่จงฮ่องเต้ไปช่วย เอาพัดโบกลมทำให้เว่ยจิงเหาะไล่ตามมาทัน

ตรงจุดนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า ในเรื่องกรรมตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ไม่ว่าจะหนีไปหลบอยู่ที่ไหนก็หนีไม่รอด ท้ายสุดก็ต้องโดนจนได้ พญามังกรอยู่ในโลกทิพย์ ฤทธิ์อำนาจมีมาก จึงคิดว่าหนีพ้น แต่กรรมก็บันดาลให้ถังไท่จงฮ่องเต้สงสารเอาพัดมาพัดให้เว่ยจิง ปรากฏว่าพัดในโลกทิพย์นั้นกลายเป็นกระแสพายุหอบเว่ยจิงไล่ทันพญามังกร เพราะฉะนั้น..เรื่องของกรรมต้องระมัดระวังให้จงหนัก ไปประมาทว่าเล็กน้อยแล้วทำนี่เสร็จทุกราย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 03:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 18-05-2012, 11:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่บ้านหนูเสียงเยอะมากค่ะ ส่วนใหญ่เป็นพวกเสียงเพลง ตอนช่วงภาวนาเสียงพวกนี้เหมือนจะบันทึกตามคำภาวนาไปด้วย พอตอนนั่งสมาธิแม้จะไม่มีเสียง แต่พอเราภาวนาเสียงเพลงก็จะดังตามคำภาวนา หนูงัดไม่ออก ก็เลยช่างมัน ภาวนาไปทั้งแบบนั้น แล้วพอถึงจุดก็ได้สมาธิเหมือนปกติ ทั้ง ๆ ที่เสียงเพลงยังอยู่ในหัวค่ะ อย่างนี้จะมีผลเสียไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไปคล้อยตามก็จะเสีย ถ้าไม่ใส่ใจก็ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเครื่องทดสอบเท่านั้น เราจะได้รู้ไว้ว่าสภาพจิตของเราจำทุกอย่างจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องให้จิตจำแต่เรื่องดี ๆ เอาไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 18-05-2012, 11:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คุณพ่อไม่ค่อยสบาย ถ้าผมสวดมนต์ทุกวันก่อนนอน ให้เจ้ากรรมนายเวรแทนคุณพ่อ ?
ตอบ : ตอนแรกพาท่านไปหาหมอก่อน ไม่ใช่ว่าป่วยแล้วจะมาสวดมนต์ให้เจ้ากรรมนายเวร หลังจากนั้นแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง โดยเฉพาะว่าควรจะให้ท่านสวดมนต์เอง เพราะว่าเรื่องเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ป่วยเป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 03:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 18-05-2012, 12:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากแม่ชีเคิ่ลกล่าวคำขอบวชแล้ว พระอาจารย์ให้โอวาทว่า "ตอนนี้เราเป็นอุบาสิกาคือแม่ชี มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต ไม่ได้แต่รักษาศีล ๘ อย่างเดียว ยังต้องรักษากาย วาจา ใจ ของเราให้อยู่ในกรอบ เป็นผู้ไม่กล่าวร้ายในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ เป็นผู้ไม่ด่าว่าพระภิกษุสามเณร เป็นผู้ที่ไม่ขวนขวายเพื่อการเสื่อมลาภของพระภิกษุสามเณร เหล่านี้เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ค่อย ๆ ศึกษากันไป รู้แต่ว่าชีวิตของเราตั้งแต่บัดนี้ มีแต่มุ่งหน้าอย่างเดียว ถอยหลังไม่ได้แล้ว

คุณแม่ตัดใจได้ไหม ? ลูกเขาไม่ได้ไปตายสักหน่อย สิ่งที่เขาทำถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เราเป็นพ่อเป็นแม่เป็นญาติก็อนุโมทนา ความดีนี้เราไม่ได้ทำด้วยตนเอง แต่ว่ามีคนอื่นทำแล้ว เราก็พลอยยินดีด้วย คอยให้การสนับสนุน ส่วนคนทำเอง เมื่อตั้งใจแล้วว่าจะมาบนทางสายนี้ ก็ต้องไปให้เต็มกำลังของตัวเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 03:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว