กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 09-08-2023, 18:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๒๘ - ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖



ถ้ากำลังใจยังเข้าไม่ถึงปฐมฌานละเอียด สติจะขาดและหลับ จะสังเกตได้ว่าเวลาสติจะขาด เราเหมือนจะง่วงขาดใจเลย ทั้ง ๆ ที่นอนมาทั้งคืน แล้วเราก็สงสัยว่า "ง่วงอะไรนักหนาวะ ?" บางคนสวดมนต์ไปก็หาวไป นั่นคือสภาพจิตที่เริ่มเป็นอัปปนาสมาธิขั้นแรก ๆ โดยเฉพาะเป็นส่วนของปฐมฌานหยาบ ถ้าสติไม่ละเอียดพอก็จะตัดหลับไปเลย บางคนนั่งตัวตรงแหน็วแต่หลับไปแล้ว..!

ช่วงนี้เป็นช่วงหยุดยาว พวกเราจะมีเวลาปฏิบัติธรรมถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคมเลย แต่อาตมภาพเองไม่ค่อยได้อยู่ เพราะว่าเพื่อนก็มรณภาพ ครูบาอาจารย์ก็มรณภาพ เมื่อสามวันที่แล้วพระครูสิริสุวรรณาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดคอกวัว จ.สุพรรณบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกันมรณภาพ ส่วนเมื่อวานพระราชมงคลวุฒาจารย์ (สุวรรณ สุวิชาโน) วัดดอนไก่ดี อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร มรณภาพที่อายุ ๑๐๗ ปี..!

โชคดีที่ท่านอายุยืนขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นไม่ได้เป็นเจ้าคุณหรอก เป็นพระครูปลัดสุวรรณอยู่นั่นแหละ แต่ด้วยความที่เป็นพระเถระ อายุกาลพรรษามาก และอยู่ในพื้นที่สำคัญอย่างวัดดอนไก่ดี ดอนไก่ดีนี่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องเบญจรงค์ที่เป็นอันดับ ๑ ของเมืองไทย เมื่อความทราบไปถึงพระเนตรพระกรรณของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ในหลวงถวายสมณศักดิ์ให้เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชมงคลวุฒาจารย์

แม้กระทั่งหลวงปู่เอี่ยม วัดอรุณราชวราราม เจ้าของหนังสือมนต์พิธี หนังสือที่พิมพ์มากที่สุดในประเทศไทย ท่านก็เป็นพระครูสมุห์เอี่ยมอยู่นั่นแหละ เป็นจนเขาทนไม่ไหว ให้เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูอรุณธรรมรังษี แล้วก็ติดอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ไปไหนกับใครเขา เพราะว่าหลวงปู่ท่านไม่มีงานคณะสงฆ์ ๖ ด้าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2023 เมื่อ 20:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 09-08-2023, 18:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การพิจารณาสมณศักดิ์เขาคิดจากงานคณะสงฆ์ ๖ ด้าน คือ การปกครอง การเผยแผ่ การศึกษา การศาสนสงเคราะห์ การศึกษาสงเคราะห์ และการสาธารณูปการ มีไม่ครบเขาไม่ให้ แต่ถ้าความทราบไปถึงพระเนตรพระกรรณในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ไม่ว่าจะมีครบหรือไม่ครบ ถ้าพระองค์ท่านเห็นว่าสมควร พระองค์ท่านก็ถวายให้เลย

หลวงปู่ท่านจึงขึ้นมาเป็นพระราชวัชรรังษี เพิ่งจะมรณภาพและพระราชทานเพลิงศพไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านก็อยู่จนอายุ ๘๗ ปีถึงได้เป็นเจ้าคุณ หลวงปู่สุวรรณถ้าทนอยู่ไม่ถึงร้อยก็ไม่ได้เป็นเหมือนกัน ท่านอยู่จนถึงร้อยกว่าปีถึงได้เป็น

บางทีอาตมาภาพก็อายตัวเองเหมือนกัน เพราะว่าเป็นพระครูสัญญาบัตรฝ่ายวิปัสสนาด้วย แล้วก็เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วันนี้ไปก็นั่งรองจากเจ้าคณะอำเภอรูปเดียว รู้สึกเหมือนกับว่าความดีของเรายังไม่พอ แต่ในหลวงท่านให้มาเยอะ ในสัญญาบัตรพระองค์ท่านก็จะระบุไว้ว่า "ขอพระคุณท่านโปรดรับภาระธุระในพระพุทธศาสนา" ก็แปลว่าให้แบกงานแทนพระองค์ท่านด้วย แต่ว่าเรื่องงานพวกนี้ถ้าหากว่าเราบวชมาด้วยใจรักจริง ๆ ก็เป็นงานที่ต้องทำอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าหลายท่านมักจะเอาเฉพาะตน ก็คือนั่งภาวนาเงียบ ๆ สมัยนี้ถ้าภาวนาเงียบ ๆ แล้วจะรอดยาก เพราะว่ากระแสโลกแรง ต้องออกมาชนให้รู้เรื่องกันไปข้างหนึ่งเลย..!

การปฏิบัติธรรมถ้าไม่มีการทดสอบเราจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีผลเท่าไร
อย่างอาตมาภาพนี่ถ้าโดนคนอื่นด่า ก็จะช่วยเขาด่าด้วย อยากด่าพระอาจารย์เล็กใช่ไหม..? เราก็ผสมโรงด่าไปด้วย..! ก็คือไม่เห็นสาระในการด่า แล้วจะไปถือโทษโกรธเคืองอะไร ?

คนเราถ้าเขาด่าเรา เราต้องพิจารณา อันดับแรกเลย สิ่งที่เขาด่านั้นเป็นจริงไหม ?

ถ้าเป็นจริงเราควรที่จะขอบใจเขา ที่เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นภาพคนที่ไม่ดีของเรา จะได้แก้ไข

ถ้าไม่เป็นจริง ความจริงเป็นอย่างไรเขายังไม่รู้เลย คนโง่ขนาดนั้นเราก็อภัยให้เขาเถอะ ถ้าคิดได้ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปแบก..ใช่ไหม ?


จนกระทั่งพระแถวนี้เขาบอกว่า "พระอาจารย์เล็กโกรธใครไม่เป็นหรอก" ใครบอกว่าโกรธไม่เป็น โกรธเป็น..แต่กูขี้เกียจแบกไว้ โกรธเสร็จก็กองทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ แบกมาทำไม ? เหนื่อยตายชัก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2023 เมื่อ 20:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-08-2023, 18:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างที่พระกุมารกัสสปะเถระท่านเปรียบเทียบให้พระเจ้าปายาสิฟังว่า

"บุคคลสองคนเดินไปด้วยกัน เจออุจจาระแห้ง
คนหนึ่งก็ปูผ้าลงโกยเก็บอุจจาระแห้งไป เอาไปเป็นอาหารเลี้ยงหมูได้ เอาไปทำปุ๋ยได้
อีกคนก็ทำแบบเดียวกัน

ไปอีกหน่อยหนึ่งเจอมัดปอ
คนแรกก็เทอุจจาระทิ้ง แล้วเอามัดปอห่อผ้าแบกไป
อีกคนหนึ่งไม่เอา แบกอุจจาระต่อไป

ขยับไปอีกหน่อยหนึ่งเจอผ้าป่าน
คนแรกก็ทิ้งมัดปอ แล้วเอาผ้าป่านแบกไป
ส่วนอีกคนหนึ่งก็ยังแบกขี้แห้งต่อไปเหมือนเดิม

ไปได้อีกหน่อยฝนตก..เรียบร้อย ขี้ที่แบกไว้ก็ละลายเพราะโดนน้ำ เละเทะ..เหม็นไปทั้งตัว..!"

ท่านเปรียบพระเจ้าปายาสิว่า แบกแต่ขี้เอาไว้ โดยไม่ยอมเปลี่ยนทิฏฐิทั้งที่เห็นผิด

เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากจะแบกขี้เอาไว้ก็เชิญ พวกประเภท ขี้รัก ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง แบกไปเถอะ..แบกไว้ก็มีแต่โทษต่อเราเอง สถานเบาก็ซึมเศร้า สถานหนักก็มะเร็งรับประทาน เพราะว่าเครียด ความเครียดเป็นเชื้อเลี้ยงมะเร็งอย่างดีเลย

พวกเราที่วันหยุดยาว ๆ เข้าวัดมาปฏิบัติธรรมกันเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน ใช่หรือเปล่า ? โง่จริง ๆ เลย..! เมืองไทยก็มีให้ไป เมืองนอกก็มีให้ไป ดันบอกว่าไม่รู้จะไปไหน..! นั่นก็เพราะว่าที่อื่นไม่ตรงกับกำลังใจของตัวเอง อาตมภาพเองตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ให้ไปกินไปเที่ยวนี่ไปไม่เป็น ไปเป็นแต่วัด

เพราะฉะนั้น..เราก็มาหาสิ่งที่เราชอบ ผู้รู้เขาเปรียบว่า เอาผึ้งกับแมลงวันใส่ขวดไว้ด้วยกัน ถึงเวลาเปิดขวด ผึ้งก็บินไปหาดอกไม้ เก็บน้ำหวานเก็บเกสรของตัวเอง แมลงวันก็บินไปหากองขี้ ต่างคนต่างชอบของตัวเอง ไปว่าของคนอื่นไม่ได้

เหมือนที่เขาเปรียบกับหนอนในกองขี้ คนสองคน คนหนึ่งสร้างบุญ คนหนึ่งสร้างบาป คนสร้างบุญเกิดเป็นเทวดา คนสร้างบาปเกิดเป็นหนอนในกองขี้ เทวดามองลงมาเห็นเพื่อนตัวเองแล้วสงสาร จึงสอนเพื่อน..บอกให้เร่งทำบุญทำกุศลเอาไว้นะ จะได้มาเกิดเป็นเทวดาสบายอย่างเรา หนอนบอกว่า "มึงเป็นไปเถอะ กูอยู่อย่างนี้สบายดีแล้ว พอถึงเวลาก็มีคนมาขี้ให้ กินสบาย..นอนสบาย..!" คิดกันคนละอย่าง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2023 เมื่อ 20:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 09-08-2023, 18:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..พระพุทธศาสนาของเราถึงเอาสัมมาทิฏฐิขึ้นหน้า ต้องเอาปัญญาขึ้นหน้าก่อน ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นไม่ถูกต้องเดี๋ยวก็เละ..! เดี๋ยวก็จะบอกว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณ เลยไม่จำเป็นจะต้องกราบไหว้อะไรหรอก ถึงเวลาเรียกชื่อก็ได้..ใช่หรือเปล่า..? จะไปยุ่งอะไรกันนักหนา..! ไปทำสิ่งที่สังคมรับไม่ได้ นั่นเขาเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิคือความเห็น มิจฉาคือผิดพลาด มิจฉาทิฏฐิคือมีความเห็นผิด สัมมาทิฏฐิคือมีความเห็นถูกต้อง

เพราะฉะนั้น..ต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน แล้วหลังจากนั้นก็เป็น
สัมมาสังกัปปะ..มีแนวคิดที่ถูกต้องว่า เราต้องการความพ้นทุกข์


เพราะฉะนั้น..ที่เราเรียกว่า ศีล-สมาธิ-ปัญญา นั้น จริง ๆ แล้วก็คือ ปัญญา-ศีล-สมาธิ

มีปัญญารู้ว่าศีลเป็นของดี เป็นบันไดให้เราก้าวสู่สุคติ และท้ายสุดล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

แล้วเราก็ไปรักษาศีล ศีลมีอะไร ? สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ

สัมมาวาจา ไม่โกหก ไม่สอดเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่พูดคำหยาบ

สัมมากัมมันตะ มีการกระทำที่ถูกต้อง คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการดื่มสุราหรือเสพยาเสพติด

สัมมาอาชีวะ คือ ประกอบอาชีพที่ถูกต้องทั้งกฎหมายและศีลธรรม หรือไม่ก็เว้นจากมิจฉาวณิชชา การค้าขายในทางที่ผิด ๕ ประการ

ขายมนุษย์ สมัยก่อนเราค้าทาส สมัยนี้จับผู้หญิงไปขาย บังคับให้รับแขก
ขายอาวุธ สหรัฐฯ ยุคนอื่นให้ตีกันแล้วขายอาวุธ
ขายสุรา
ขายยาพิษ สมัยนี้เยอะเลย แม้กระทั่งยาฆ่าแมลงก็จัดอยู่ในประเภทนี้ เพราะว่าคนที่เอาไปสามารถไปเบียดเบียนคนอื่นได้
ขายสัตว์ที่มีชีวิต บ้านเราไม่ค่อยมี บ้านเราส่วนใหญ่ฆ่าเลย แต่รอบบ้านของเรา ถ้าข้ามไปพม่า ข้ามไปลาว เขาขายกันเป็นตัว ๆ เลย ไก่ก็มัดขาใส่ชะลอมไว้ ต้องการตัวไหนไปเลือกเอา มีกระทั่งแลนที่เรียกกันว่าเหี้ยนั่นแหละ จับมัดมือมัดตีนไขว้หลังไว้ ต้องการตัวไหนไปชี้เอา คนอื่นเขาปล่อยนกปล่อยปลา หลวงพ่อเล็กปล่อยเหี้ยมาแล้ว..! ทนดูไม่ไหว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2023 เมื่อ 20:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 09-08-2023, 19:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวก่อนไปเดินตลาดที่ลาว ไปถึงก็เห็นลูกปลาน้อยเพียบเลย เขาขายเป็นถุง ถามว่า "ถุงละเท่าไร ?" เขาบอกว่า "หมื่นหนึ่ง" อาตมาก็เหมาเลย "ถุงละหมื่นหนึ่ง เอามาหมดนั่นแหละ" หมื่นกีบนะ ตอนนี้ ๕๕๔ กีบเท่ากับ ๑ บาท จะกี่สตางค์กันเชียว พันกีบก็สองบาท หนึ่งหมื่นกีบก็ยี่สิบบาท ให้ไปเถอะ..! เหมาหมดตลาด จะได้เอาไปปล่อย

ปลาเยอะขนาดนั้น ปล่อยเสร็จเรียบร้อยยังตกบันไดหน้าเบี้ยวไปตั้ง ๒ - ๓ เดือน ลืมไป..มองเมืองลาวแต่ในด้านดี ๆ ลืมไปว่าสมัยรัชกาลที่ ๓ ไปล่อเขาเสียเละเลย..! ก็สมัยนั้นเรารบกับประเทศลาว..ใช่ไหม ? ในหลวงสั่งก็ไปตีกับเขา เจ้านายสั่งก็ไป ลืมไปว่าเคยทำอะไรไว้ ถึงเวลาเขาก็รอเอาคืน เผลอหน่อยเดียว เรียบร้อย..โดนจนได้..! นั่นขนาดปล่อยสัตว์ไปตั้งเยอะแล้วนะ สังหรณ์ใจไว้ก่อนแล้ว อุตส่าห์เข้าตลาดไปเจอแล้วก็ซื้อไปปล่อย ยังโดนเสียขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะถึงตาย..!

พวกเราที่มานี่อันดับแรกเลยก็คือ
กลัวภัย กลัวภัยในวัฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิดแต่ละชาติ ทุกข์ไม่รู้จบ แล้วก็กลัวตาย ในเมื่อกลัวตายก็ต้องหาทางให้พ้นตายพ้นเกิด เพราะว่าถ้ายังเกิดก็ต้องตาย เพราะอย่างนั้นก็เลยหาทางไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนคือพระนิพพาน

สรุปได้หรือยังว่าเรามานั่งตรงนี้ อันดับแรกต้องมีสัมมาทิฏฐิ

สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง ว่าสิ่งนี้ดีเราต้องรีบทำให้มากเข้าไว้
สัมมาสังกัปปะ มีแนวคิดที่ถูกต้อง เราต้องการจะออกจากทุกข์
สัมมาวาจา พยายามควบคุมวาจาให้อยู่ในกรอบ ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ
สัมมากัมมันตะ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ดื่มสุราหรือเสพยาเสพติด
สัมมาอาชีวะ ค้าขายถูกต้องตามศีลธรรมและตามกฎหมายบ้านเมือง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2023 เมื่อ 20:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 09-08-2023, 19:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วต่อไปก็มี...

สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง เพียรละชั่ว เพียรทำดี เพียรระวังไม่ให้ชั่วเข้ามาในใจ เพียรรักษาความดีที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

คราวนี้ก็ไปลำบากหน่อยที่..

สัมมาสติ เขาบอกว่าให้ใจไปอยู่ในสติปัฏฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่เราไม่ต้องคิดมาก เราคิดแค่ ๒ ข้อ ข้อแรกก็คือเราไม่เอาร่างกายนี้แล้ว ข้อที่สองคือตายเมื่อไรไปนิพพาน เอาแค่นี้พอ เรื่องอื่นยากปล่อยคนอื่นเขาคิดกัน เราเป็นคนโง่ คิดอะไรง่าย ๆ จะได้ไปง่าย ๆ

ท้ายสุดลำบากอีกหน่อยก็...

สัมมาสมาธิ ก็ที่เราจะมาฝึกกันเดี๋ยวนี้แหละ จะพองหนอ..ยุบหนอ หรือ ซ้ายย่างหนอ..ขวาย่างหนอ ก็เพื่อให้กำลังสมาธิเพียงพอ จะได้อาศัยกำลังนี้ในการตัดกิเลส

ที่นี่ใครถนัดแบบไหนให้ทำแบบนั้น ยกเว้นเวลาเดินจงกรม ที่ต้องการความพร้อมเพรียง เราค่อยไป ซ้ายย่างหนอ..ขวาย่างหนอ แต่จำไว้ว่าการเดินจงกรมสำคัญที่สุดก็คือ ระลึกรู้อยู่ทุกฝีก้าว รู้อยู่ทุกอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ก็คือสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบันนี้ ถ้าสติสมบูรณ์มาก ๆ ขนาดลมพัดมากระทบผิวกาย เส้นขนเราไหวกี่เส้นก็ยังรู้เลย ไม่ได้พูดเล่นนะ..นี่เรื่องจริงเลย..!

ถ้าหากว่าสติสมบูรณ์ สมาธิทรงตัว คราวนี้ใช้ปัญญาได้สารพัด โดยเฉพาะมองเห็นให้ชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2023 เมื่อ 20:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 13-08-2023, 00:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖



ถ้ากำลังใจของเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า ยังเห็นเรื่องอื่นสำคัญกว่า ก็แปลว่ากำลังใจของเรายังไม่เพียงพอต่อมรรคผล เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนั้น แม้ต้องสละชีวิตลงไปก็ยอม แต่ถ้าเราไปให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากกว่า ก็แปลว่าเราเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าชีวิตตัวเอง แล้วโอกาสเข้าถึงมรรคผลจะมาจากไหน ?

เรื่องของการปฏิบัติธรรมกับเรื่องของบารมีเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอย่างชนิดแยกไม่ออก ถ้าบารมีไม่เข้มข้นพอ เราก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ บารมีนั้นมีอยู่ ๓ ระดับ ๙ ขั้น

บารมีระดับต้นเรียกว่า สามัญญบารมี

สามัญญบารมีขั้นต้น พูดถึงทาน ศีล ภาวนานี่ฟังไม่รู้เรื่องเลย สักแต่ว่าเกิดมาเป็นคนเท่านั้น คิดว่าคนอื่นพูดภาษาต่างดาว..!
สามัญญบารมีขั้นกลาง รักษาศีลไม่ได้ เจริญภาวนาไม่ได้ จะให้ทานแต่ละที ต้องรอโฆษกประกาศเชิญชวนสัก ๓ วัน ๓ คืน กว่าจะเกิดศรัทธาควักกระเป๋าออกมา บางทีก็ยัดกลับคืนไปอีก..!
สามัญญบารมีขั้นปลาย สามารถให้ทานได้แม้จะเสียดายใจจะขาด แต่ก็ยังรักษาศีลและปฏิบัติธรรมไม่ได้

พอมาบารมีระดับกลางเรียกว่า อุปบารมี

อุปบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลขาดตกบกพร่อง
อุปบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้บ้างไม่ได้บ้าง โอกาสได้มีมากกว่า แต่ก็ยังศีลขาดบ้างอยู่ดี
อุปบารมีขั้นละเอียด ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกเรื่องภาวนาแล้วฟังไม่รู้เรื่อง

ก็ต้องมาถึงบารมีระดับสูงสุดคือ ปรมัตถบารมี

ปรมัตถบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่เรื่องภาวนาจะเหมือนอย่างกับแบกภูเขาไว้ทั้งลูก จะโดนทับตายตอนไหนก็ไม่รู้ ..!? อย่างที่โบราณท่านเปรียบว่า "เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา"
ปรมัตถบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้แต่รักษาอารมณ์ไม่ได้ ก็คือนั่งลงทำได้ตอนนั้น พอลุกขึ้นก็ทิ้งหมดเลย..!
ปรมัตถบารมีขั้นปลาย ถือว่าเป็นขั้นสูงสุด ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้ จึงเป็นผู้ควรแก่การปฏิบัติธรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2023 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 13-08-2023, 00:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การเป็นผู้ควรแก่การปฏิบัติธรรมก็แปลว่าสัจจบารมี ซึ่งคือความแน่วแน่มั่นคงต่อการงานของเรา จะต้องเต็มร้อย คนประเภทนี้ไปไหนทีหลังไม่เป็น ถ้าไม่ตรงเวลาก็ต้องไปก่อนเวลา อธิษฐานบารมีคือมีกำลังใจปักมั่นแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ท้อถอยจนกว่าจะสำเร็จ

เห็นหรือยังว่าการปฏิบัติธรรมกับเรื่องของบารมีความจริงก็คือเรื่องเดียวกัน เพราะว่าบารมีแปลได้ง่าย ๆ ว่ากำลังใจ

กำลังใจไม่พอ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ
กำลังใจอย่างแย่ ๆ เลย อาศัยเกาะแต่ชาวบ้านเขา ยืนหยัดด้วยตนเองไม่ได้
กำลังใจอย่างกลาง ยืนหยัดด้วยตนเองได้ แต่ช่วยอะไรคนอื่นไม่ได้
กำลังใจระดับสูงสุด ยืนด้วยตัวเองได้ ช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย


แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราต้องเข้าใจว่า เมื่อเราเกิดมาถึงระดับนี้แล้ว จะว่ากำลังใจใช้ไม่ได้นั้นไม่ใช่ เพียงแต่เรายังเร่งรัดตัวเองไม่พอ

ถ้าจะยกตัวอย่างก็ต้องยกตัวอย่างอาตมภาพเอง สมัยก่อนศรัทธาหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แต่เห็นงานสำคัญกว่า ถึงเวลารู้ว่าท่านมาสอนกรรมฐานที่บ้านสายลม ก็ฝากเงินพี่ชายไปทำบุญเดือนละครั้ง ทำแบบนั้นอยู่เป็นปี ๆ

จนกระทั่งมีความรู้สึกว่า "แล้วเขาไปทำอะไรกันที่บ้านสายลม ?" อยากรู้อยากเห็น ก็เลยไปเอง พอไปเอง ๐๘.๓๐ น. หลวงพ่อฤๅษีฯ ลงมาเริ่มรับสังฆทาน ได้ทำบุญกับท่านเรียบร้อย ก็สบายใจ กลับบ้านได้ อยู่ลักษณะอย่างนั้นเป็นปี ๆ

แล้วกำลังใจเมื่อคิดว่า "แล้วตอนบ่ายเขาทำอะไรกัน ?" หลังจากทำบุญแล้วก็อยู่ต่อ ดูว่านอกจากหลวงพ่อท่านรับแขกแล้ว ยังตอบปัญหาธรรมด้วย แล้วตอนหลังเที่ยงเริ่มมีการฝึกมโนมยิทธิ เมื่อฝึกฝนตนเองเรียบร้อยก็กลับบ้านอีก อยู่ในลักษณะนี้ต่อไปอีกนาน

จนตัวเองเกิดความสงสัยว่า "แล้วตอนเย็นเขาทำอะไรกัน ?" จึงอยู่ต่อถึงค่ำ ประมาณหนึ่งทุ่มหลวงพ่อท่านลงมารับสังฆทาน เสร็จแล้วก็เจริญกรรมฐานรอบค่ำ เสร็จสรรพกว่าจะได้กลับบ้านก็ประมาณสี่ทุ่ม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2023 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 13-08-2023, 00:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เห็นหรือยังว่าจากที่ไม่ไปเลยกลายเป็น..ไปแค่ช่วงเช้า..ไปแค่ครึ่งวันหรือครึ่งวันนิด ๆ..ไปเต็มวัน..ไปทั้งวันทั้งคืน หลังจากนั้นหนักกว่านั้นอีก พอหลวงพ่อท่านมาบ้านสายลมเมื่อไร วันศุกร์หลังเพลอาตมาหายตัวจากบ้านไปแล้ว กลับมาอีกทีไม่ดึก ๆ วันจันทร์ก็เช้าวันอังคาร ไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรอก ไปถวายการรับใช้หลวงพ่อท่านที่บ้านสายลม

เรื่องของกำลังใจ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์..ได้พบพระพุทธศาสนา..ได้ฟังธรรม..รู้จักน้อมนำมาปฏิบัติ แต่ละคนกำลังใจเหลือเฟือแล้ว เพียงแต่ว่าเราจะเร่งรัดตัวเองให้เข้มข้นได้เท่าไร ? ตั้งแต่จัดปฏิบัติธรรมที่นี่มาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๕๑ จนถึงปีนี้ ๒๕๖๖ มีใครไม่เคยขาดบ้าง ? มีอยู่หนึ่งคนแน่นอน ก็คือเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เพราะว่าถ้าไม่อยู่จัดงานไม่ได้ ส่วนของพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะโผล่มาตอนไหนกันบ้าง..?

แต่ก็มีหลายท่านที่ส่วนใหญ่มักจะมา ก็คือมาได้ถึง ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ของระยะเวลาที่จัดงาน กำลังใจจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่อยากจะชมว่าดี เพราะว่าที่ตะกายมาทุกครั้งก็คือหวังให้หลวงพ่อลากไปด้วย..ไม่ได้คิดจะทำเอง..! มาอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อทำได้ง่ายหน่อย..แบบนี้น่าตีให้ตาย..!

เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการที่เราต้องเร่งรัดต้นเองให้มากขึ้น ความเกรงใจต่อโลกจะน้อยลง สมัยแรก ๆ เพื่อนชวนไปเที่ยวกลางคืนเราก็อาจจะบอกว่า "ไม่ไปหรอก ไม่ค่อยสบาย" แต่ความจริงก็คือตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ดี เราจะเลิกไป แต่พอกำลังใจเข้มข้นขึ้นมาอีก พอเพื่อนชวนไปเที่ยวก็บอกว่า "ไปเองเหอะ อยู่ทางนี้จะรักษาศีลปฏิบัติธรรม" เริ่มบอกกันตรง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-08-2023 เมื่อ 10:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 13-08-2023, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของคนมีปัญญา นอกจากมี "ศาสตร์" คือความรู้แล้ว ยังต้องมี "ศิลป์" คือวิธีการด้วย ไปบอกตรง ๆ เดี๋ยวคนอื่นเขาว่า จะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านไป

พอถึงเวลารักษาศีลแปด เพื่อนชวน "เฮ้ย..เย็นนี้กินหมูกะทะด้วยกันนะ" จะบอกเพื่อนว่าอย่างไรดี ? ถ้าบอกว่ารักษาศีลแปด เพื่อนคงมองหัวยันตีน ตีนยันหัวสามรอบแน่..! ก็บอกไปสิว่า "ช่วงนี้สุขภาพไม่ดี กินโปรตีนเยอะไม่ได้ ไตจะพัง" หรือไม่ก็ "อ้วนแล้ว กำลังอยู่ในระหว่างลดความอ้วนอยู่ แกไปกินคนเดียวเถอะ" ดีกว่าบอกไปว่ารักษาศีลแปดไหม ? ไปบอกว่ารักษาศีลแปดรับรองว่ากลายเป็นสัตว์ประหลาดแน่นอน..!

ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเราต้องมีปัญญา ต้องรู้รักรักษาตัวรอดในสังคมได้ ตามสังคมไปได้ทุกอย่าง แต่ไปแค่กรอบของศีล อะไรที่ทำให้ศีลบกพร่องเราจะไม่ทำ ความรู้สึกพวกนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง แต่คราวนี้อยู่ที่เราพลิกแพลง อย่าตรงไปตรงมาเป็นเถรตรง สมัยนี้โลกเราอยู่ยาก เป็นเถรตรงนี่รับประกันว่าโดน "บูลลี่" รอบทิศเลย..!

ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ทำอย่างไรที่คำพูดและการกระทำของเราจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นให้น้อยที่สุด ก็คือนอกจากจะทำเพื่อตัวเองแล้วยังเมตตาคนอื่นด้วย เพราะว่าคนที่ "บูลลี่" ผู้ปฏิบัติธรรมเขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองนั้นมีโทษหนักแค่ไหน..! เราเองซึ่งไม่ระมัดระวังไปทำให้เขาต้องแสดงออกซึ่ง กาย วาจา ใจ ในลักษณะปรามาสพระรัตนตรัย การปรามาสผู้ปฏิบัติธรรมก็คือปรามาสหนึ่งในพระรัตนตรัย ก็คือพระธรรม..โทษหนักมาก

ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักระวัง โทษจะเกิดกับคนอื่น ช่วยเมตตาเขาหน่อย แต่ว่าหลายคนก็กำลังใจเข้มแข็งจนไม่สนใจเสียงนกเสียงกาแล้ว พอมีคนชวน "ช่วงนี้หยุดยาวตั้งหลายวัน ไปเที่ยวทะเลด้วยกันดีกว่า" พวกไม่สนใจเสียงนกเสียงกาก็ "เออ..ไปเถอะ..ขอให้สนุกนะ เราจะไปปฏิบัติธรรม อนุโมทนาด้วยกัน เราทำบุญอะไรขอให้เธอมีส่วนด้วย" พวกนี้หน้าด้านแล้ว ใครว่าอะไรไม่รู้สึกหรอก มั่นใจในความดีที่ตัวเองทำ

แต่เกรงใจโลกเขาหน่อยจะดีมาก เพราะว่าถ้าไม่เกรงใจ บางทีบางคนอื่นกำลังใจเขาไม่ได้อนุโมทนาด้วย เขาจะด่าเราอีกต่างหาก "อายุแค่นี้ มึงจะรีบเข้าวัดไปทำอะไร ? รอแก่ ๆ ก่อนค่อยไป" เชื่อเถอะ..คนที่พูดแบบนี้ พอแก่แล้วก็ไม่เข้าวัดหรอก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2023 เมื่อ 03:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 13-08-2023, 01:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเคยเจอมาแล้ว "โยม..ทำไมไม่ไปวัด ?" โยมบอกว่า "โอ๊ย..ลูกยังเล็กเจ้าค่า" พอเห็นลูกเข้าเรียนแล้วก็ถามใหม่ "โยม..ทำไมไม่ไปวัด ?" โยมตอบ "ต้องเลี้ยงหลานเจ้าค่ะ" อย่างนั้นไม่ต้องไปหรอก..อยู่นั่นแหละ รอเขาหามมาเข้าวัด..! พอรดน้ำเสร็จสรรพเรียบร้อย เดี๋ยวหลวงพ่อก็จะสวดพระอภิธรรมให้เอง..!

ดังนั้น..เรื่องที่พวกเราทำ ขอให้รู้ว่าต้องฝืนกระแสโลก บุคคลที่ฝืนกระแสโลกได้จัดว่าเป็นมหาบุรุษ ต่อให้เป็นผู้หญิงเขาก็เรียกว่ามหาบุรุษ เพราะคำว่า ปุริส คำนี้คือคำว่า บุรุษ ที่แปลว่า คน มหาบุรุษก็คือยอดคน
ในเมื่อเราจะเป็นยอดคน ก็ต้องทนเรื่องที่ลำบากกว่าคนอื่นเขาได้

ดังนั้น..ตั้งแต่วันนี้วันที่ ๒๘, ๒๙, ๓๐ ไปจนถึง ๓๑ ทนอย่างเดียว ช่วงบ่ายนี้มีเวลาปฏิบัติธรรมแค่ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น ดูว่าจะทนไม่ไปห้องน้ำได้ไหม ? จะทนไม่รับโทรศัพท์ได้ไหม ? ได้มีคนตายกันบ้างแน่เลย..!

กิเลสมักจะชวนเราให้ทำอย่างอื่น เพราะเขารู้ว่าถ้าหากเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม กิเลสจะอยู่ไม่ได้ ดังนั้น..ถ้าชวนไปห้องน้ำบอกไปเลยว่า "ตูจะเดินจงกรมให้ฉี่ราดอยู่ตรงนี้แหละ..แน่จริงทำไปเลย" ถ้าจะให้เรารับโทรศัพท์
ตอนปฏิบัติธรรมก็ปิดโทรศัพท์ทิ้งไปเลย..!

เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีโทรมาหาอาตมภาพตอนกำลังทำวัตรเย็น เปิดเสียงให้ท่านฟังเสียงทำวัตรตั้งเกือบสามนาที จนท่านวางหูไปเอง ก็สวดมนต์อยู่ มีอะไรก็โทรมาหลังสวดมนต์สิครับ ไม่ใช่โทรมาตอนนี้ ถ้าหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้ได้..ก็พออยู่ได้นะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2023 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 13-08-2023, 21:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนทำวัตรเย็น วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖



ใครมาเป่ายันต์บ้าง ? แล้ววันนั้นใครที่บ่นว่าร้อน วันนี้ฝนตกอากาศเย็นช่วยบ่นให้ได้ยินหน่อยสิ..! ทุกวันนี้ที่พวกเราทุกข์อยู่ ก็เพราะว่าเราเข้าไม่ถึงความจริง แล้วไปดิ้นรนต่อต้าน พวกเราเหมือนอย่างกับสัตว์ที่ติดกับดัก ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ แต่ถ้ายอมรับ ก็จะเจ็บตัวน้อยหน่อย

เรื่องของอากาศจะร้อนหนาวฝนตกอย่างไรก็ตามเป็นธรรมชาติ แต่พอถึงเวลาเราก็ไปโวยวาย ทำอย่างกับโวยแล้วจะหายร้อน อาจจะหายก็ได้..หายคลั่ง แต่ก็ยังร้อนอยู่เหมือนเดิม..!

แล้วทำอย่างไรเราถึงจะไม่ไปดิ้นรนต่อต้าน ? ปัญญาต้องเห็นว่าธรรมชาติเป็นอย่างนั้น ธรรมดาเป็นอย่างนั้น ถ้าใครเข้าถึงคำว่าธรรมดานี่กินได้ตลอดชาตินี้ ชาติหน้า ยันเข้าพระนิพพานเลย..!

ธรรมดาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ธรรมดาของปุถุชนปล่อยวางได้ระดับหนึ่ง
ธรรมดาของกัลยาณชนปล่อยวางได้มากกว่านั้น
ธรรมดาของอริยชนก็ปล่อยวางหนักเข้าไปอีก
ธรรมดาของพระอรหันต์ก็ปล่อยหมดเกลี้ยงเลย ถ้าไม่ใช่วาระกรรมจะไม่แตะเลย เลิกยุ่งแล้ว


แต่พวกเรายังยุ่งอยู่ก็เลยทุกข์มากกว่า แล้วส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อยากได้โน่น อยากได้นี่ อยากได้นั่น อยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่ อยากเป็นนั่น..อันนี้เป็นเรื่องของอนาคต

แล้วไอ้โน่นก็ไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลย ไอ้นี่ไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย..นั่นเป็นเรื่องในอดีต

ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเลย ก็คือถ้าไม่ไปโหยหาอดีต ก็ไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต รถยนต์ที่ผ่านไปแล้วเราขึ้นไม่ได้ รถอดีตผ่านเลยไปแล้ว รถยนต์ที่ยังมาไม่ถึงเราก็ขึ้นไม่ได้ นั่นรถในอนาคต แล้วจะไปสนใจทำไม ? ทำไมเราถึงไม่ขึ้นรถคันปัจจุบัน ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ?

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-11-2023 เมื่อ 19:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 13-08-2023, 21:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่ากำลังใจของเราอยู่กับปัจจุบัน เราจะเหลือความทุกข์น้อยมาก ก็คือมีแต่ความทุกข์ตามสภาพของร่างกายเท่านั้น แต่เรามักจะฟุ้งซ่าน ไม่ไปอดีตก็ไปอนาคต กลายเป็นว่าคิดให้ตัวเองทุกข์ ถึงได้กล่าวว่าพวกเราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง

หรือถ้าหากพูดอีกมุมหนึ่งก็คือทุกข์เพราะความอยากของตัวเอง อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ ไม่อยากเป็นอย่างนั้น ไม่อยากเป็นอย่างนี้ เหล่านี้เป็นตัณหาล้วน ๆ ตัณหาคือความทะยานอยาก อยากสวย อยากรวย อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นที่ยอมรับในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ

"อยาก" เป็นตัณหาเราเข้าใจได้ แล้ว "ไม่อยาก" เป็นตัณหาตรงไหน ? ไม่อยากก็คืออยาก แต่เราไปใช้คำว่า "ไม่อยาก" ก็เลยกลายเป็นวิภวตัณหา อย่างเช่นว่าไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ฟังดูเหมือนกับไม่อยาก แต่จริง ๆ แล้วก็คือ อยากจะไม่เจ็บ อยากจะไม่แก่ อยากจะไม่ตาย..อยากทั้งนั้น

พอแค่นี้ก่อน ได้เวลาทำวัตรค่ำแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2023 เมื่อ 13:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 15-08-2023, 00:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖



เรื่องแรก..ใครเอาร่มเจ้าอาวาสไปตั้งแต่เช้า ? อาตมาเดินตากฝนมา ๒ รอบแล้ว จะหยิบจะจับอะไรก็ให้มองดูเสียก่อน ว่าใช่ของตัวเองหรือเปล่า ? เพราะว่าร่มที่ทิ้งเอาไว้แล้วไม่ใช่ของตัวเองพระหยิบไม่ได้ ภิกษุหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เคลื่อนจากฐานเศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผมต้องอาบัติปาราชิก..!

ไม่ใช่คิดว่า "เออ..ทิ้งของเราไว้ คนอื่นจะได้ใช้แทน" ไม่รู้ว่าป่านนี้รู้ตัวหรือยังว่าหยิบของเจ้าอาวาสไป อุตส่าห์กางไว้กับพื้นเพื่อให้ต่างไปจากคนอื่นเพราะว่าส่วนใหญ่เขาจะวางไว้บนที่วางรองเท้า แสดงว่าการปฏิบัติธรรมไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย ยังมักง่ายอยู่เหมือนเดิม..!

เคยบอกเอาไว้หลายต่อหลายครั้งแล้วว่า การปฏิบัติธรรมเป็นการกระทำสิ่งที่ซ้ำ ๆ กันอยู่ทุกวัน แต่ว่าเราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานได้ไหม ? แล้วก็มีเป้าหมายต่อไปว่า "เราต้องทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้" ไม่ใช่ว่าเมื่อไร ๆ สภาพจิตก็ยังหยาบอยู่เหมือนเดิม ทำอะไรก็ขาดความระมัดระวัง

เป็นโทษอื่นไม่เท่าไร แต่ถ้าโทษปรามาสพระรัตนตรัยจะปิดมรรคปิดผล ทำให้ตายก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่รู้ตัวว่าได้ทำผิดไปแล้ว การจะเข้าถึงมรรคผล กฎเกณฑ์กติกาแรกเลยก็คือ ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกิน ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2023 เมื่อ 01:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 15-08-2023, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(พระอาจารย์คืนงานวิทยานิพนธ์ของลูกศิษย์ที่ตรวจเสร็จแล้ว ให้ไปแก้ตามที่เขียนบอกไว้)

ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไม่เปิดกว้างพอ การศึกษาระดับมหาบัณฑิต หรือดุษฎีบัณฑิต ซึ่งก็คือปริญญาโท ปริญญาเอก เขาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการศึกษาตามอัธยาศัย อยากเรียนเรื่องอะไรก็ไปหาที่เขามีสอนเองแล้วก็เรียนเอา คนที่จะเรียนในระดับนี้ได้ มุมมองต่อโลกต้องกว้างพอ พูดง่าย ๆ คือต้องมีประสบการณ์ชีวิต

เพราะฉะนั้น..หลายมหาวิทยาลัยถึงได้กำหนดว่า ถ้าคุณจะมาต่อโท MBA ที่นี่ คุณจะต้องมีประสบการณ์ทำงาน ๓ ปี หรือ ๕ ปี เพื่อที่จะได้มีมุมมองต่อโลกกว้างขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วก็มองโลกอยู่แต่ขาวกับดำแค่ ๒ สี หารู้ไม่ว่าตรงกลางเขาสีเทากันไปหมดตั้งนานแล้ว..!

แล้วทำอย่างไรเราถึงจะอยู่กับโลกสีเทาขมุกขมัวนี้ได้ ? เราก็ต้องเอาศีลเป็นเครื่องป้องกันตัวเอง ไปแค่กรอบของศีล ถ้าหากว่าเกินกรอบของศีลแล้วเราไม่ไปด้วย ก็คือเรายังคงอยู่กับโลกนั่นแหละ..แต่ไม่ติดในโลก เมื่อเรามีศีลเป็นกรอบ ก็เหมือนกับน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัวใบบอน ถึงอยู่กับโลกแต่ก็ไม่ติดอยู่ในโลก เรามีศีลเป็นน้ำมันหล่อลื่น กลิ้งไปกลิ้งมาโดยไม่ติด

หยดน้ำที่กลิ้งบนใบบัวหรือใบบัวบอนเป็นทรงกลมถึงค่อนข้างกลม พวกเราส่วนใหญ่แล้วใช้หลักธรรมไม่ถูก ก็คือไม่สามารถที่จะกลมกลืนกับโลกได้ อย่างที่บอกเมื่อวานนี้ว่าพอมีคนถามว่า "ไม่กินข้าวเย็นหรือ ?" เราก็ไปตอบว่า "ไม่ล่ะ..เราถือศีลแปด..!" คนอื่นได้ยินเขาก็มองเราหัวถึงตีน..! ก็บอกไปสิว่า "ตอนนี้เป็นโรคกระเพาะอยู่..กินมากไม่ได้"

นั่นก็คือการที่จะทำอย่างไรเราถึงจะเกลาเหลี่ยมเกลามุมของตัวเองให้ลดความแข็งกระด้างลงมา แรก ๆ ก็เป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ร่วงตุบลงไปก็อยู่ตรงนั้นแหละ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่เป็น..เถรตรงมาก แต่พอปฏิบัติธรรมไปนาน ๆ ปัญญาจะต้องเกิด เราต้องปรับตัวเราเข้ากับโลกได้ ทำอย่างไรให้ กาย วาจา ใจ ของเรา เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นให้น้อยที่สุด..?!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2023 เมื่อ 01:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 15-08-2023, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอเกลาตัวเองไปเรื่อย ๆ ภาษาบาลีเขาว่าสัลเลขตา คือ การขัดเกลาตนเอง เกลาไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็กลม คราวนี้พอกลมแล้ว จะกลิ้งไปทางไหนก็ไป เพียงแต่อย่าหลุดจากใบบัวใบบอนไปก็แล้วกัน หลุดเมื่อไรก็ต๋อม..ลงน้ำหายเงียบ..!

การที่เราจะอยู่กับโลกสีเทา ๆ นี้ได้ ต้องนึกถึงภาษิตจีนที่บอกว่า "พบผู้คนกล่าววาจาผู้คน พบภูตผีกล่าววาจาภูตผี" มึงมาอย่างไรกูไปได้ทั้งนั้นแหละ..แต่..กูมีศีล..!

เพียงแต่อย่าไปอวดคนอื่นเขา เรารักษาศีลเพราะเรารู้ว่าศีลนี้ดีเราถึงทำ ไม่ใช่ว่าคนอื่นทุกคนจะมีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าศีลเป็นของดีเหมือนกับเรา ถ้าเขาเอ่ยปรามาสขึ้นมาแม้แต่ประโยคเดียว เท่ากับสร้างโทษใหญ่ให้กับเขาเอง และเราเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเดือดร้อน เพราะฉะนั้น..เมตตาต่อตัวเองและก็เมตตาต่อคนอื่น เมตตาต่อคนอื่นแล้วก็เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย ค่อย ๆ เกลาตัวเองไปเรื่อย

ตัวอย่างเช่นบอกแม่ว่า "แม่..ไม่อยู่หลายวันนะ"
แม่ถาม "ไปไหนล่ะ ?"
ตอบไปว่า "เพื่อนชวนไปเที่ยว"
แม่ถามต่อ "ไปที่ไหน ?"
ตอบไปว่า "ทองผาภูมิ..ตอนนี้อากาศกำลังดี"

ที่ไหนได้..ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ถ้าบอกแม่ว่า "แม่..ไปปฏิบัติธรรม ๕ วันนะ" รับประกันว่าไม่ได้ออกจากบ้านหรอก โดนล่ามโซ่เลย..!

บอกไปว่าไปกับเพื่อน รอบข้างเรานี่ก็เพื่อนทั้งนั้นแหละ เขาเรียกสหธรรมิก เพื่อนร่วมปฏิบัติธรรม หรือไม่ก็ วิสฺสาสา ปรมา ญาติ ความคุ้นเคยยิ่งกว่าเป็นญาติ แต่เรานับเขาเป็นเพื่อนก็แล้วกัน ยิ่งคนไหนรวย ๆ เราก็รีบคว้าเป็นเพื่อนไว้ก่อน เขาจะเป็นเพื่อนเราหรือเปล่าเรื่องของเขา แต่เราเป็นก็แล้วกันนะ..! คราวนี้ก็มีข้ออ้างออกจากบ้านได้สบายแล้ว ขากลับหาทุเรียนทองผาภูมิไปฝากแม่ด้วยอีกต่างหาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2023 เมื่อ 01:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 15-08-2023, 00:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่เราจะมีปัญญาได้ศีลต้องทรงตัว
พอศีลทรงตัว การที่เราระมัดระวังศีลอยู่ตลอดเวลา ทำให้สมาธิเกิดโดยอัตโนมัติ
พอสมาธิเกิด สภาพจิตนิ่งสงบ ปัญญาก็จะเกิด

เพราะฉะนั้น..ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกับการที่เราไขเกลียวน็อต ไขไปเรื่อยเดี๋ยวก็สุดเอง พอถึงเวลาปัญญาเกิดก็จะไปควบคุมศีลให้บริสุทธิ์ ศีลยิ่งบริสุทธิ์สมาธิยิ่งทรงตัว สมาธิยิ่งทรงตัวปัญญายิ่งเกิด คราวนี้จะรู้แล้วว่าต้องกะล่อนอย่างไร เป็นการกะล่อนแบบไม่ผิดศีลนะ..!

อาตมภาพสมัยเรียนทหารอยู่กองโรงเรียน ไม่เคยโกหกผู้บังคับบัญชาเลย ถึงเวลาฝึกกันแทบรากเลือด แต่ถ้าเขาถามว่า "หิวไหม ?" ต้องตะโกนตอบว่า "ไม่หิว" ซึ่งโกหกชัด ๆ..!

ก็ใช้วิธีพอถึงเวลาเขาถามว่า "หิวไหม ?" อาตมาก็รอเพื่อนทั้งกองตอบขึ้นว่า "ไม่" แล้วเราค่อยตะโกนแค่คำว่า "หิว" คำเดียว แต่เสียงตะโกนพร้อมกับเขานี่ ถามว่า "เหนื่อยไหม ?" คอยเพื่อนทั้งกองตะโกนตอบว่า "ไม่" แล้วเราก็ตะโกนแค่คำว่า "เหนื่อย" พร้อมกับคนอื่น ไม่เคยโกหกเลย..!

ก็บอกแล้วว่าอยู่กับโลกนั้นอยู่ได้ แค่อยู่ให้เป็น ไม่ผิดศีลหรอกถ้าอยู่เป็น ปัญญาต้องมี ปัญญาไม่พออยู่ไม่ได้ หรืออยู่ยาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2023 เมื่อ 01:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 15-08-2023, 00:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าท่านหวังผล ๓ สถานด้วยกันคือ

ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ การปฏิบัติธรรมต้องมีประโยชน์ทันตาในชาตินี้ ต้องเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่ใช่อยู่แต่ในวัด

สัมปรายิกัตถประโยชน์ ถ้าทำจริงทำจัง กำลังใจมั่นคง ชาติต่อไปนี่หวังสุคติได้แน่นอน เทวดา นางฟ้า พรหมนี่เรื่องเล็ก กำลังใจทรงตัวได้นี่เลือกเอาได้เลยว่าจะเอาชั้นไหน เพียงแต่ว่าถ้าจะเป็นพรหม ต้องสร้างกำลังใจให้ได้ตามชั้นของท่านก็แล้วกัน แต่ถ้าหากว่าจะเป็นเทวดานี่เราเลือกได้เลย เพราะกำลังใจเกินพอแล้วนี่ ถ้าจะเอาน้อยกว่าที่เราทำก็ได้..เขาไม่ว่าหรอก

ปรมัตถประโยชน์ ช่วยส่งให้เราพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน

พระพุทธองค์ท่านไม่ได้หมายเอาสุดท้ายโน้น ซึ่งไม่รู้ชาติไหน ท่านเอาตั้งแต่ตอนนี้ ประโยชน์ ๓ สถาน บางที่บอกว่า อัตตัตถะ..ประโยชน์ต่อตน ปรัตถะ..ประโยชน์ต่อผู้อื่น อุภยัตถะ..ประโยชน์ทั้งเขาและเรา ที่ฝรั่งเรียกว่า win - win ชนะทั้งคู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2023 เมื่อ 01:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 15-08-2023, 23:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖



(หลังจากเสียงตามสายจบ) เมื่อครู่นี้หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกเรื่องวาจาส่อเสียด มีศัพท์อยู่คำหนึ่งก็คือ "ไอ้หมอนั่น" เด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยได้ยินคำนี้กัน ต้องเข้าใจว่าคนรุ่นเก่าถ้าถนัดหรือชำนาญอะไร เขามักจะเรียกเป็น "หมอ" แม้กระทั่งควาญช้างก็เรียกว่า "หมอช้าง" ทนายความก็เรียกว่า "หมอความ" แต่พอเอามาเรียกคนเข้าความหมายก็เพี้ยน ก็คืออยู่ในลักษณะเป็นคนกะล่อน "ไอ้หมอนั่น" ก็แปลว่าเขามีความเชี่ยวชาญในการกะล่อนมากเป็นพิเศษ

คำพูดเก่า ๆ หลายคำ พอไม่ได้ใช้ก็เลือนหายไป อย่างปัจจุบันนี้อาตมาไม่ได้ยินคำว่า "กระถ็อก" แล้ว มีใครเคยได้ยินไหม ? อย่างเช่นกระถ็อกน้ำปลา คือปกติแล้วจะตัดจุกขวดน้ำปลาให้รูใหญ่ไม่ได้ เดี๋ยวเทแล้วน้ำปลาจะออกมาเยอะเกินไป ต้องตัดรูเล็ก ๆ แต่พอรูเล็กเททีน้ำปลาก็ไม่อยากจะออก ถ้าเป็นเราก็เรียกว่าเขย่า..ใช่ไหม ? แต่ภาษาโบราณเขาเรียกว่า "กระถ็อก"

กลายเป็นว่าศัพท์บางคำหายไป ในขณะเดียวกันศัพท์ใหม่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา แต่ศัพท์รุ่นใหม่ฟังแล้วเครียด เขาสามารถบัญญัติศัพท์ที่เราฟังไม่รู้เรื่องได้ ต้องเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องชั่วคราว สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง หรือถ้าหากแปลให้ฟังเข้าใจก็คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรเที่ยง

ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นถือมั่น เราก็จะทุกข์ ขอร้องร่างกายนี้ให้อย่าแก่เลย..แล้วร่างกายฟังเราไหม ? อย่าอ้วนเลย..ร่างกายไม่ฟังเราหรอก เพราะว่าเป็นไปของมันเอง ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง เราไปหวังให้เที่ยงก็เท่ากับว่าเราไปฝืนธรรมดา

คำว่า "ธรรมดา" ถ้าใครหาเจอ จะใช้หากินได้ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อ ๆ ไปยันพระนิพพานเลย..!

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-08-2023 เมื่อ 00:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 15-08-2023, 23:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ธรรมดาเป็นอย่างนั้น ธรรมดาการเกิดมาในโลกต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ ธรรมดาของการทำงานที่นี่ ก็ต้องเจอเจ้านายเฮงซวยอย่างนี้..!

ธรรมดาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ธรรมดาของปุถุชน คนหนาแน่นด้วยกิเลส ปล่อยวางได้แค่นี้
ธรรมดาของกัลยาณชน คนมีศีลมีธรรม ปล่อยวางได้อีกหน่อยหนึ่ง
ธรรมดาของอริยชน ก็ว่าไปตามลำดับ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคไปถึงอรหัตผล


พวกเราทุกคนต้องหาคำว่า "ธรรมดา" ให้เจอ ถ้าหาไม่เจอชีวิตนี้ไม่มีความสุขหรอก เพราะว่าเราไม่เห็นความธรรมดา ธรรมดานี้มาจากธรรมชาติ..คือปกติที่เกิดขึ้นแบบนั้น

ชาติ หรือชาตะ แปลว่า ความเกิด
ธรรมชาติ แปลว่า เกิดขึ้นตามปกติและมีปกติเป็นเช่นนั้น

ในเมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนั้น เราจะไปหวังอะไรมากมาย โบราณเขาถึงได้บอกว่า อย่าไปตั้งความหวังไว้กับใคร ตั้งความหวังไว้มากถึงเวลาก็จะผิดหวังมาก

อาตมภาพเจอโยมอยู่คนหนึ่ง ลูกสาวเรียนจบแล้วกำลังทำงาน ส่วนลูกชายกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ แต่เที่ยวหัวหกก้นขวิดทุกคืน ออกจากบ้านหกโมง ทุ่มครึ่ง กลับมาอีกทีก็สว่าง ถามแม่เขาว่า "เครียดไหม ?" เขาบอกว่า "แรก ๆ ก็เครียด ในที่สุดก็เห็นว่าธรรมดา อนาคตของเขา ถ้าเขาไม่สนใจก็เรื่องของเขาเถอะ เราไม่ได้เลี้ยงเขาตลอดไปอยู่แล้ว" แม่ทำใจได้ ส่วนลูกจะรู้ตัวเมื่อไรก็แล้วแต่เวรแต่กรรม..!

อาตมภาพมาทองผาภูมิใหม่ ๆ ปี ๒๕๓๒ ประมาณ ๓๔ ปีที่แล้ว นั่งคุยกับครูท่านหนึ่งของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เขามาสำรวจที่เพื่อตั้งฐานฝึกลูกเสือ ครูคนนี้เป็นคนขาดเหล้าไม่ได้ คุยกับพระไปก็ก๊งเหล้าไป อาตมาก็นั่งคุยกับเขาหน้าตาเฉย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-08-2023 เมื่อ 00:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:28



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว