|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗
ถาม : เคยอ่านเจอข้อความจากเก็บตกบ้านอนุสาวรีย์เรื่องการล้างไตครับ ว่าถ้ายังไม่ถึงขั้นฟอกไต ให้ใช้หญ้าหนวดแมวสัก ๓ - ๕ ช่อ มาต้มน้ำกินแทนน้ำไปเลย มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ต้องขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะช่วยล้างไตให้สะอาด ถ้าเราใช้ยาสมุนไพรหญ้าหนวดแมวที่มีจำหน่ายแบบเป็นเม็ดแคปซูลกินแทน จะให้ผลเหมือนกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : หญ้าที่ว่าหมายถึงยอดสด ๆ เด็ดจากต้นมาเลย โปรดอย่ามักง่าย ของแห้งสู้ของสดไม่ได้ทุกกรณี ถาม : หน้าตาหญ้าหนวดแมวเป็นอย่างไรครับ ? ตอบ : จะเป็นช่อลักษณะเหมือนกับทรงกรวยไอศกรีม แต่ว่าปลายงอนหน่อย แล้วก็จะเป็นเส้นขาว ๆ ยาวเหมือนหนวดแมวเปี๊ยบเลย ไปค้นรูปในกูเกิ้ลน่าจะมี ถาม : แล้วต้มน้ำกินสด ๆ เหมือนน้ำชาใช่ไหมครับ ? ตอบ : ลักษณะนั้นแหละ ถาม : ใส่น้ำตาลได้ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ควรใส่อะไรทั้งสิ้น กินยายังจะเอาอร่อยอีก ถาม : คนปกติกินได้ไหมครับ ? ตอบ : นาน ๆ ที ไม่อย่างนั้นขับปัสสาวะมากไป ร่างกายจะขาดเกลือแร่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2014 เมื่อ 16:33 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ถาม : เคยมีคำทำนายที่บอกว่าทรัพย์แผ่นดินจะปรากฏขึ้น เมื่อมีคนดีเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ แล้วการที่ค้นพบทองคำในสวนปาล์มพัทลุงดังที่เป็นข่าวในขณะนี้ เกี่ยวข้องกับการเมืองของประเทศที่ปฏิวัติโดยทหารหรือไม่ ?
ตอบ : เกี่ยวมากเลย เพราะว่าไปพบตอนที่ปฏิวัติแล้วพอดี เกี่ยวด้วยเวลาและเหตุการณ์ ถาม : แล้วเกี่ยวกับที่ว่ามีคนดีมาปกครอง ? ตอบ : ได้ทองมานิดหนึ่งก็แสดงว่ามีคนดีนิดหนึ่ง แต่ก็เริ่มดีแล้ว ถาม : แต่ทองที่ว่าจะขึ้นมาเมื่อมีคนดีเป็นทองธรรมชาติหรือว่าเป็นทองรูปพรรณ ? ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นทองธรรมชาติ อีกอย่างหนึ่งเป็นทองที่ทำเป็นแท่งแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่ที่ทำเป็นแท่งแล้วมักจะเกิดในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ ของเราตอนนี้ก็หวังที่เป็นธรรมชาติไปก่อนแล้วกัน แต่ถ้าอยากเห็นทองแท่งของพระเจ้าจักรพรรดิ เห็นแล้วจะหมดอยากไปเอง แต่ละแท่งอย่างกับเสาไฟฟ้า เราแบกไม่ไหวหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2014 เมื่อ 16:34 |
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถาม : ตัวเองและลูกสาวมีอาการเจ็บป่วย โดยลูกสาวกระดูกสันหลังคด ส่วนตัวเองไหล่ติด ไปหาหมอที่โรงพยาบาลรัฐชื่อดังหลายปีก็ยังไม่หาย ตอนหลังหมอใช้วิธีรักษาโดยการใช้พลังจิตฉายแสง ตอนจะเริ่มรักษาหมอบอกว่า ตัวเองและลูกสาวมีของอะไรบางอย่างต่อต้านพลังเขาอยู่ คุณแม่ก็บอกว่าเขาเคารพพระรัตนตรัย เคารพหลวงพ่อ เคารพพระอาจารย์ รับยันต์เกราะเพชรจะมีอะไร แต่หมอเขาบอกว่าคุณมีคุณไสย มีของต้านพลังผมอยู่ ต้องเอาออกให้หมด แล้วผมถึงจะรักษาได้ พอรักษากลับมาจากอาการปวดไหล่ก็ปวดเอวเพิ่มขึ้น แต่เวลาอยู่กับเขาแล้วหาย กราบเรียนถามว่าควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : ย้ายบ้านไปอยู่กับหมอ ก็บอกว่าอยู่กับเขาแล้วหาย ถาม : อย่างนี้เกิดจากสาเหตุอะไรอย่างไรครับ ? ตอบ : ต้องถามหมอ อย่ามาถามอาตมา อันดับแรก..อาราธนาวัตถุมงคลติดตัวใหม่ อันดับที่สอง..มีโอกาสไปเป่ายันต์ใหม่เพื่อความมั่นใจของตัวเอง การเจ็บไข้ได้ป่วยทุกอย่างเกิดจากกรรมเก่าทั้งสิ้น จริง ๆ แล้วอาการไหล่ติดไปหาหมอฝังเข็มดีกว่า ส่วนกระดูกสันหลังคดโอกาสหายน้อยมาก แต่ว่ามี โดยเฉพาะหมอทางรัสเซีย เขาผ่าตัดจัดเรียงกระดูกสันหลังใหม่ได้ แต่ต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่กับเตียง ๖ เดือน เขาจะทำเป็นเตียงตาข่ายที่ให้ความชื้นระบายออกได้ นอน ๖ เดือน แล้วผลพลอยได้คือจะสูงเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๑๐ เซนติเมตร เพราะว่าเขาเรียงกระดูกให้ใหม่ แต่ไม่ทราบค่าใช้จ่าย โปรดค้นคว้าเอาเอง ถาม : อย่างนี้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคุณไสยใช่ไหมครับ ? ตอบ : กระดูกสันหลังคดไม่ได้เกี่ยวกับคุณไสย ถาม : เพราะหลังไปหาหมอเขาก็ทักว่าไปโดนของมา มีผ้าขี้รี้วอะไรต่ออะไร ตอบ : บอกหมอว่า “ใช่..เพิ่งจะโดนผัวเตะมา เขาฝากมาด้วยว่า ถ้ามาหาหมออีกจะเตะหมอด้วย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2014 เมื่อ 12:43 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ถาม : เคยได้ยินว่าเวลาใส่บาตรตอนเช้าแล้วรับพรตรงข้างถนน จะถือว่าเป็นบาปทั้งคนให้และพระจริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากลัวอย่างนั้นก็ใส่หน้าบ้าน จะได้ไม่ใช่ข้างถนน ถาม : เขาอาจจะสงสัยจากที่ว่าพระวินัยเกี่ยวกับกรณีต่าง ๆ ที่ห้ามพระแสดงธรรม ? ตอบ : ให้พรไม่ใช่การแสดงธรรม ถ้าเป็นบาป อาตมาบาปทุกวันแหละ เพราะว่าให้ข้างถนนประจำ เรื่องนี้เคยตอบไปแล้ว ไปค้นหาดูในเว็บวัดท่าขนุนก็ได้ ขี้เกียจอธิบายเพราะสมัยนี้คนเก่งมีเยอะ ส่วนใหญ่ก็คิดว่า คาดว่าไปเรื่อย โดยเฉพาะทางด้านวัด.... วัด...ตอนนี้มีศีลแค่ ๑๕๐ ข้อเท่านั้น ที่เหลือบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวถึงไว้ อาตมาฟังแล้วเซ็งมาก ที่ท่านอ่านในพระไตรปิฎกแล้วยืนยันว่าท่านกล่าวไว้ ๑๕๐ ข้อ เพราะว่าเป็นช่วงแรกที่พระพุทธเจ้าเพิ่งจะบัญญัติศีลไว้แค่นั้น แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นแล้วบัญญัติเพิ่ม ไม่มีการกล่าวไว้ว่าเพิ่มกี่ข้อ แต่พระเถราจารย์ท่านรวบรวมไว้จนเป็นศีลในพระปาฏิโมกข์ ๒๒๗ และอภิสมาจารอีกเกือบสองพันข้อ ถ้าเอาแค่ ๑๕๐ ข้อก็แปลว่าวัดของท่านละเมิดศีลอยู่ทุกวัน..! ถาม : เพราะว่ายึดถือพุทธวจนะที่มีในพระไตรปิฎก ? ตอบ : ชัดมากเลย แต่เป็นการอ่านพระไตรปิฎกแล้วก็ตีความมั่ว เอาแค่ปัจจุบันนี้ถ้าบอกว่า “ผมจะยึดถือกฎหมายตามรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ.๒๕๕๐” ลองดูสิว่าคสช.เขาจะเล่นด้วยไหม ? หรือไม่ก็ “ผมจะถือกฎหมายตราสามดวงของรัชกาลที่ ๑ เพราะว่าท่านบัญญัติไว้ดีแล้ว” ไม่ได้ไปดูบัญญัติสุดท้าย เรียกว่าอ่านเจอก็คว้ามา ไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วไม่ต้องชวนอาตมาไปทะเลาะกับท่านนะ ขี้เกียจทะเลาะด้วย เพราะท่านเก่งกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2014 เมื่อ 12:37 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
พระอาจารย์สอบถามโยมว่า "เสื้อของที่ไหนจ๊ะนี่ ? (วัดหลวงปู่ท่อนครับ) บอกคนทำให้ตรวจสอบให้แน่นอนกว่านี้หน่อย เพราะว่าผิดเยอะ ขายหน้าครูบาอาจารย์เขา วันก่อนก็มีว่า “ไวปากเสียศีล ไวตีนตกต้นไม้” นั่นก็ผิด จริง ๆ แล้วต้อง “พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้”
ส่วนที่เสื้อนี้ต้อง “ขันติ ธีรัสสะลังกาโร” ธีใช้ตัวธ.ธง ลังกาโร คือเครื่องประดับ “เครื่องประดับของธีระคือนักปราชญ์ ได้แก่ความอดทน” ถ้ากะโรนี่ผิดวิภัติ แปลไม่ได้ กะโรแปลว่าการกระทำ ถ้าเมื่อวานผิดพอให้อภัย แต่วันนี้เป็นพระพุทธวจนะแล้วเป็นบาลี ผิดแล้วความหมายจะเสีย ด้วยความภูมิใจว่าวัดหลวงปู่ จะพาหลวงปู่เสียไปด้วย เวลาจะทำอะไรออกมา ตรวจสอบให้แน่นอนก่อนว่าเป็นถ้อยคำหรือพระพุทธวจนะที่ถูกต้อง หลวงปู่ท่อนท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่อาตมาให้ความเคารพนับถือมาก เพราะฉะนั้น..อะไรบางอย่างที่บกพร่อง โดยเฉพาะข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้ท่านเสียหาย เกิดจากลูกศิษย์ ไม่ควรจะมี ไม่ต้องเอาคำว่า “พุทธวจนะ” ไปแปะไว้กับขนม ไม่ต้องเอาไปแปะกับของที่ระลึกก็ได้ เพราะอันนั้นไม่ได้เกี่ยวพุทธวจนะเลย มีก็ขายไปเถอะ คนเห็นเขาซื้อเองแหละ ตกลงอาตมากำลังว่าใครวะ..??!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2014 เมื่อ 12:45 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "อวิชชา ความไม่รู้ ถ้ามีอยู่เราก็โง่เขลางมงาย หลงเชื่อผิด ๆ พอวิชชาคือความรู้เกิดขึ้น เหมือนกับแสงสว่างก็คือแสงแห่งดวงปัญญา มาขับไล่ความมืดออกไป เราก็จะรู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของสถานการณ์บ้านเมือง อุเบกขาเป็นไทยเฉยไว้จะปลอดภัยที่สุด ไม่อย่างนั้นคุณอยู่ต่างประเทศก็ต้องมารายงานตัววันนี้
จะเล่าเรื่องเมื่อคืนที่ถูกผีหลอกให้ฟัง ปกติอาตมาบ้าจนผีไม่หลอกมาหลายสิบปีแล้ว ปรากฏว่าด้วยความป่วย ก็คงทำให้สภาพจิตอ่อนแอลงไปหน่อย เมื่อคืนก็เลยมีผี ๓ ตัวโผล่มา เป็นเด็กนักเรียน ๒ คนกับเด็กวัยรุ่นไม่ได้แต่งชุดนักเรียนคนหนึ่ง คาดว่าเป็นเพื่อนของนักเรียนนั่นแหละ เขาตกน้ำตายตายแถว ๆ นี้ ที่รู้ว่าเป็นตรงจุดนี้ เพราะความเป็นทิพย์บอกว่าเขาตกน้ำตายแถวนี้ แต่คราวนี้พอถามว่าเป็นใคร ? มาธุระอะไร ? ถามอย่างไรก็ไม่ตอบ ยืนก้มหน้าเงียบ อาตมาเองสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนที่ยังปรารถนาพุทธภูมิอยู่ พอรู้ว่าเขาลำบากก็จะตะเกียกตะกายไปช่วย ต่อให้เขาว่าเสือกก็ยังจะช่วย แต่สมัยนี้ไม่ใช่ สมัยนี้ไม่เอาแล้วพุทธภูมิ เพราะว่าเหนื่อย เอาแค่เหตุการณ์เฉพาะหน้า เคยประกาศไว้นานแล้วว่า ถ้าไม่ได้มาล้มทับตีนจนอาตมาเดินหนีไม่ได้นี่ไม่ช่วยหรอก ในเมื่อพูดแล้วไม่คุยก็เรื่องของเอ็งเถอะ จะไปไหนก็ไป เมื่อคืนก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเดิมว่าเวลาผีมาแล้วขนสันหลังลุก เคยถามตัวเองมานานเนกาเลแล้วว่า นี่เรายังกลัวอยู่ใช่ไหม ? สรุปได้ว่าไม่ใช่กลัว เกิดจากเวลาผีเขาจะแสดงตัวตนให้เราเห็น เขาต้องดึงเอาธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เข้ามารวมกัน เพื่อปรากฏเป็นกายให้เราสามารถรู้เห็นได้ ตอนที่เขาดึงเอาสิ่งต่าง ๆ ไปทำให้อุณหภูมิลดลง เราจะขนลุกเหมือนตอนกำลังหนาว ฉะนั้น..ถ้ารู้สึกเย็นยะเยือกแล้วขนลุกเกรียว ๆ ก็อาจจะมีอะไรมาอยู่ใกล้ ๆ แล้ว เขาพยายามแล้วแต่ยังโผล่ไม่ได้ พวกฝีมือไม่ถึงนี่บางทีมาได้แต่กลิ่น มาได้แต่เสียง บางทีก็เห็นแวบ ๆ แล้วก็หายไปเพราะกำลังไม่พอที่จะทำได้นาน ส่วนที่ปรากฏได้ชัด ๆ นั่นไม่ค่อยลำบากหรอก เพียงแต่ว่าถ้าคุณไม่ค่อยลำบาก อยากได้ดี แต่ถามอะไรไม่พูดด้วยก็เรื่องของคุณเถอะ..! อาตมาขอยืนยันว่าปัจจุบันนี้ถ้าผีฝีมือไม่ถึงจะหลอกยากมาก เนื่องจากว่าแสงไฟฟ้าของเรากะพริบด้วยความถี่ประมาณ ๕๐ รอบต่อวินาที ในเมื่อมีการกะพริบกระแทกอยู่ตลอดเวลา เวลาผีเขาพยายามรวบรวมอณูของ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ามา ก็ถูกกระแทกกระจายหมด ทำให้ไม่สามารถที่จะปรากฏตัวได้ พวกที่เปิดไฟนอนเพราะกลัวผีถือว่าถูกต้อง แต่ใช้ได้แค่ผีบางจำพวกเท่านั้น ผีระดับอนุบาลนะ ถ้าหากผีระดับมัธยม ระดับปริญญาความรู้เขาสูง เขาหลอกจนได้แหละ ถ้าระดับด็อกเตอร์ก็มาเที่ยง ๆ เลย แดดกูก็ไม่กลัว อาตมาโดนมาเยอะแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2014 เมื่อ 12:43 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
"แล้วบางท่านหนักกว่านั้นอีก แดดเปรี้ยง ๆ แท้ ๆ กลัวจะเล่นเราไม่ถนัด ทำให้มืดฟ้ามัวฝนได้ด้วย ถ้าประเภทนั้นต้องระวังนะ ส่วนใหญ่จะเป็นมหิทธิกาเปรตหรือกาลกัญจิกอสุรกาย ถ้าเจรจากันไม่รู้เรื่องนี่เรามีสิทธิ์เดี้ยง กำลังเขาสูงมาก คล้าย ๆ เทวดาเลย
พวกนี้ส่วนใหญ่เคยเป็นพ่อมดหมอผีมาก่อน แต่เมื่อเป็นมิจฉาทิฐิ ตายแล้วไปเสวยทุกข์ในนรก พ้นขึ้นมาก็มาเป็นมหิทธิกาเปรตหรือกาลกัญจิกอสุรกาย มิจฉาทิฐิเต็มหัวอยู่ ถือตนเป็นใหญ่ ก็มักจะตั้งตนเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ พอเราไปในเขตของเขาถ้าไม่ชอบใจนี่เขาก็เล่นงานเลย ถ้าเจอผีระดับนั้นเที่ยง ๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก อาตมาเจอนี่..เที่ยง ๆ เดินทะลุข้างฝามาเลย ตัวใหญ่เกือบเท่าภูเขา เอื้อมมือกำอาตมาอย่างกับเด็กกำตุ๊กตา ไปนึกถึงตุ๊กตาขอฝนของญี่ปุ่น เหมือนตัวเราเหลือประมาณแค่นั้นเอง แล้วตัวเขาจะใหญ่แค่ไหน ? พยายามใช้อะไรก็สู้เขาไม่ได้ เพราะเขาอยู่ในความเป็นทิพย์ มีความคล่องตัวมากกว่า ท้ายสุดก็ตัดสินใจว่า “ตายก็ตายละวะ ในเมื่อตายก็ควรตายอย่างผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์” จึงแผ่เมตตาให้เขา ปรากฏว่าไปขี้ตรงร่องท่าไหนก็ไม่รู้ เขาแพ้เราตรงนี้ พอแผ่เมตตาตัวเขาก็หดเล็กลง ๆ ท้ายสุดเราก็ใหญ่กว่า แบบนี้เอ็งก็เสร็จข้าแหละ..! ฉะนั้น..พวกเราไปลองดูได้นะ ถ้าเราแผ่เมตตาด้วยความจริงใจ บางทีก็ชนะได้ทุกอย่าง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าเป็นอาวุธของท่าน ท่านเรียกว่า "อาวุธพระพุทธเจ้า" หลวงปู่ดู่ท่านเรียก "พระขรรค์เพชรพระพุทธเจ้า" ก็คือบท เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปริมาณังฯ เรียกง่าย ๆ ว่าบทกรณีฯ ที่ขึ้นด้วย กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะฯ นั่นแหละ ไปไหนให้ภาวนาเอาไว้จะปลอดภัย อาตมาเสกพระขรรค์โสฬสก็ด้วยบทนี้แหละ ไม่มีคาถาอะไรมากกว่านี้หรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:41 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
"ตอนที่ไปเจออสุรกายนี่ไปอยู่ที่บ้านคลิตี้บน สมัยที่ยังต้องเดินเท้าเปล่าเข้าไป อาตมาไปถึงคลิตี้บนใหม่ ๆ ปี ๒๕๓๒ สมัยนั้นนอกจากรถบรรทุกแร่แล้ว ต้องเดินเท้าอย่างเดียว
อาตมาเดินเท้าปีนเขาข้ามมาจากทางด้านบ้านองหลุเข้าไป ปรากฏเจ้าอาวาสคือหลวงพ่อไกโพ่ท่านกำลังไม่สบายอยู่ พระลูกวัดท่านก็จัดอาตมาไปพักที่กุฏิแห่งหนึ่ง พอดูแล้วปรากฏว่ามีแต่โกศเก็บกระดูกเกือบจะเต็มข้างฝา เหมาะจริง ๆ เลยไอ้ที่ ๆ ใครไม่พัก เขายัดอาตมาเข้าไปทุกที เมื่อกราบพระเสร็จก็ปลดข้าวของเครื่องธุดงค์ลง เตรียมตัวสรงน้ำ กะว่าเสร็จสรรพเรียบร้อยจะสวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตาแล้วเจริญกรรมฐาน สรงน้ำกลับมาแต่งตัวไม่ทันเสร็จ ไอ้อสุรกายโผล่มาก่อน เพราะอาตมาไปแย่งที่นอนเขา ตายแล้วยังไม่อยู่ส่วนตาย..! ไอ้เจ้านี้เป็นหมอผีกะเหรี่ยงเก่า ตอนหลังหลวงพ่อไกโพ่ก็โดนหมอผีกะเหรี่ยงเล่นจนตาย ช่วงที่อาตมาไปก็ท้องบวมอืด ร้องโอย ๆ คนโน้นรักษาก็ไม่หาย คนนี้รักษาก็ไม่หาย ท้ายสุดอาตมาก็เลยต้องทำน้ำมนต์ให้.. พอท่านฉันเข้าไปแล้วสั่นพั่บ ๆ เป็นเจ้าเข้า สักพักก็ลุกไปยืนแอ่นตรงระเบียงปัสสาวะเฉยเลย แต่อัศจรรย์ตรงที่ว่าปัสสาวะท่านกลิ่นเหมือนกับเนื้อเน่า..เหม็นสุด ๆ แล้วท้องท่านก็ยุบ หายเป็นปกติ ท่านย้ายวัดหนีไปอยู่วัดทิพุเยเลย กลัวจะโดนอีก ท่านเป็นเจ้าอาวาส ๒๗ พรรษาแล้ว ย้ายวัดหนีเฉยเลย ตอนนั้นอาตมาพรรษาน้อยกว่าท่านตั้งเยอะ ปรากฏว่าท้ายสุดไปตายที่วัดทิพุเย เขาตามไปเล่นที่นั่นต่อ แล้วท่านเองก็ไม่รู้ว่าอาตมาอยู่ที่ไหน เพราะตอนนั้นยังอยู่วัดท่าซุง ท่านรู้แต่ว่าเป็นพระธุดงค์มา ไม่ได้ถามรายละเอียด เลยไปขอให้ช่วยไม่ได้ แสดงว่าเรื่องของไสยศาสตร์เขายังทำกันอยู่เป็นปกติ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:43 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
"ถ้าในทองผาภูมิต้องนับหลวงพ่อมณฑล ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์หลักที่มีคนเคารพนับถือกันกว้างขวาง ปรากฏว่าไปโดนไสยศาสตร์เหมือนกัน เพราะท่านดูแลวัดทุ่งสมอตั้งห้าหกพันไร่ พวกตัดไม้นี่เข้าไปแหลมไม่ได้เลย ท่านเล่นกระจายหมด ในเมื่อยิงท่านก็ยิงไม่ออก ปืนก็ไม่มีประโยชน์ โดนท่านอัดกองหมด เขาก็เลยต้องเล่นไสยศาสตร์แทน
ปรากฏว่าวันนั้นท่านกำลังฉันอยู่ ไม่ทราบว่าไปเผลอสติอีท่าไหนจึงโดนเข้า สงสัยปนว่ามากับอาหาร ปรากฏว่าท้องท่านบวมขึ้น ๆ จนหายใจไม่ออก ตะโกนบอกแม่ชีดาวว่า "หลวงพ่อเป็นอะไรไม่รู้โว้ย อยู่ท้องมันใหญ่เอา ๆ อย่างกับคนจะคลอด หายใจจะไม่ออกแล้ว..!" แม่ชีดาวพอเห็นเข้าก็คว้าน้ำมันงา ที่เอาไปเข้าพิธีเสาร์ห้าที่วัดท่าขนุนมาทาให้ ปรากฏว่าท้องยุบแฟบไปทันตาเห็น ท่านก็เลยถามว่าของใคร แม่ชีดาวบอกว่าของพระอาจารย์เล็กที่วัดท่าขนุน ท่านบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อ แม่ชีดาวบอกว่าท่านเพิ่งจะมาอยู่ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยได้รู้จักกัน ฉะนั้น..พวกไสยศาสตร์เป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะว่าเท่าที่พบมาไสยศาสตร์กะเหรี่ยงน่ากลัวที่สุด ไสยศาสตร์เขมรน่ากลัวตรงความอุบาทว์ของเขา ไสยศาสตร์เขมรเขามีตำราสร้างอสุรกายสร้างผีไว้ใช้งาน ไสยศาสตร์อิสลามแก้ไขยาก เพราะว่าส่วนมากผสมอาหารให้กินไป กลายเป็นเลือดเนื้อตัวเองจึงถอนยาก แต่ไสยศาสตร์กะเหรี่ยงน่ากลัวที่สุด เพราะโดนแล้วส่วนใหญ่ตายทุกราย ไสยศาสตร์กะเหรี่ยงก็เลยแทบจะไม่มีชื่อเสียง เพราะคนโดนไม่มีโอกาสได้ไปบอกใคร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:45 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "กะเหรี่ยงทุกหมู่บ้านจะมีผู้นำตามกฎหมายคือผู้ใหญ่บ้าน แต่ผู้นำโดยพฤตินัยคือการกระทำได้แก่หมอผี มีทุกหมู่บ้าน แล้วมีบางบ้านน่ากลัวมาก เป็นหมอผีหนุ่ม ๆ เลย อายุประมาณสิบกว่ายี่สิบเท่านั้นเอง แสดงว่าคนเก่งทางด้านนี้เขามีอยู่ อาตมาเคยไปร่วมพิธีในงานของเขามาแล้ว ปรากฏว่าพอไปอยู่ที่นั่น ผีไม่กล้าเข้ามา ไปยืนหัวค้ำภูเขาอยู่ ตัวใหญ่มาก
บรรดาหมอผีทั้งหมดเขาก็ไม่เริ่มพิธีเสียที เพราะผีไม่เข้ามา แสดงว่าเขาเห็นผีกันทุกคน ถ้าไม่เห็นก็คงเริ่มพิธีไปแล้ว อันนี้เขาเห็น เขาถึงเริ่มพิธีไม่ได้ ท้ายสุดอาตมาจึงต้องบอกลา บอกว่าขอตัวกลับไปนอนก่อน พอเดินพ้นไป ทางด้านนี้ก็เริ่มพิธีเพราะผีเข้ามาได้ แสดงว่าเขารู้จริง ถ้าไม่รู้จริงนี่ผีมาไม่มาเขาก็คงทำพิธีไปแล้ว อาตมาเดินไปพักที่ตีนเขาเทวดาซึ่งห่างออกไปไม่มาก เดินไปสักสามนาทีก็ถึง กำลังเหยียบบันไดขึ้นกุฏิ ปรากฏว่าขนหัวลุกตั้งทุกเส้นเลย จึงบอกท่านชาติชายว่า “เฮ้ย..คราวนี้ใครไม่รู้ว่ะ..เล่นหนักขนาดนี้ ไม่เคยเจอมาก่อน” พวกเราก็อาราธนาบารมีพระป้องกันตัวเสียดิบดี ปรากฏอีกไม่นานคุณมงคลเดินเริงร่าหน้าบานมา บอกว่า “หลวงพี่..ผมเล่นแม่..เองแหละ อาราธนาธงมหาพิชัยสงครามแปะหลังคาเลย พวกหมอผีเกือบจะพุ่งหลาวลงมา.." แสดงว่าพวกเขารู้กันทุกคน พวกผีกระเจิงหมด หมอผีก็เผ่นนะสิ ตอนนั้นอาตมาก็สงสัยว่าใคร เพราะไม่เคยเจอหมอผีแรงได้ขนาดนี้ ที่ไหนได้..พวกเราเล่นกันเอง เล่นอาราธนาธงมหาพิชัยสงครามแปะหลังคาศาลาพิธีเลย ถ้าอยากรู้เรื่องนี้ไปถามคุณมงคลให้เขาเล่าต่อก็แล้วกัน หรือไม่ลองถามทิดตู่ก็ได้ เรื่องผีกะเหรี่ยงนี่ทิดตู่โดนจนเข็ด ที่ขำที่สุดคือผีกะเหรี่ยงดันพูดติดสำเนียงกะเหรี่ยงด้วย กลายเป็นผีแล้วยังพูดไทยไม่ชัด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-06-2014 เมื่อ 09:43 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทิดตู่ตอนนั้นยังเป็นสามเณรอยู่ ถือว่าไปฝึกวิชาชั้นสูงโดยไม่รู้ตัว ไปเป็นเป้าให้หมอผีซ้อมมือเล่น พวกนี้เขามีค่านิยมว่าถ้าเล่นงานพระธุดงค์ได้ถือว่าดัง พระอาจารย์ชะลอ วัดใหม่ฉายหิรัญนี่บวมทั้งตัวเลย ท้ายสุดต้องย้ายหนี อยู่บ้านตะเพินคี่ไม่ได้ อาตมาไปก็โดนปางตายอยู่หลายรอบ แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ ถึงเวลาอาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ หายดีเรียบร้อยก็ไปตีหน้าตาย เขาให้อะไรก็กินหน้าตาเฉย
เรื่องของไสยศาสตร์นี่ ถ้าเรามีของดีของขลังอยู่กับตัว ให้อาราธนาป้องกันตัวก็พอ อย่าไปตอบโต้ใคร เพราะว่าเท่าที่มีประสบการณ์มา พอเราสวนกลับไปเขาสู้ไม่ได้ เขาจะหาคนที่เก่งกว่ามา ถ้าหาคนเก่งกว่ามาไม่ได้เขาก็หาพวกมามาก ๆ แล้วก็ผลัดกันทำ กลายเป็นว่าเราไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ของเขาผลัดกัน ท้ายสุดเราก็พลาดจนได้ อาตมาต้องแกล้งทำตายไปหลายยกแล้ว คือมีปัญญาก็ทำไป ตูไม่รู้ไม่ชี้รับไปเลย สองวันสามวันเขาเห็นไม่มีการตอบโต้ คิดว่าน่าจะตายไปแล้วเขาก็เลิก ไม่อย่างนั้นก็เล่นไม่เลิก..น่ารำคาญ อย่างงานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ผ่านมา พวกเราก็คงจะเห็นว่าเยอะแค่ไหน มีทั้งนักร้อง มีทั้งนักดิ้นครบครัน ถ้ามีหางเครื่องอีกหน่อยก็ตั้งวงดนตรีได้เลย แสดงว่าสมัยนี้ไสยศาสตร์ก็เฟื่องฟูไม่แพ้กัน แล้วโดยเฉพาะว่าเรื่องของ ยันต์เกราะเพชรนี่เป็นคู่ปรับกับไสยศาสตร์โดยตรง เพราะว่า พุทธศาสตร์ คือ ศาสตร์แห่งความตื่น ไสยศาสตร์ คือ ศาสตร์แห่งความหลับ พุทธะ แปลว่า ตื่น ไสยะ แปลว่า หลับ เป็นข้าศึกกันโดยปริยาย เพราะฉะนั้น..มีการเป่ายันต์เกราะเพชรที่ไหน ไสยศาสตร์ก็มักจะอาละวาดอยู่เรื่อยแหละ เขาอยากลองดูว่าแน่จริงหรือเปล่า อาตมาก็ต้องทำโง่ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย เขามาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ว่ากันตามมารยาทไทย พอเขาเล่นเราแล้ว เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้สวนคืนไป..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:47 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนพระครูน้อยถามว่า "อาจารย์จันทร์จะขออนุญาตมาวัดท่าขนุน ท่านอาจารย์จะอนุญาตไหมครับ ?" อาตมาถามว่า “นี่ท่านกลัวข้าขนาดนี้เลยหรือ ?” พระครูน้อยบอกว่า "กลัวมากเลยครับ" อาตมาบอกว่า "ไม่ได้ถือโกรธอะไรท่านหรอก จะมาก็มาเถอะ" คือตอนแรกก็คบหาสมาคมกันดี ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดซายากงที่หงสาวดี ถึงขนาดพาไปธุดงค์ด้วยกัน พาเที่ยวเมืองไทย ขึ้นเครื่องบินไปเชียงใหม่ คราวนี้ท่านอยากให้อาตมาไปสร้างวัดให้ท่าน อาตมาก็บอกว่ารอให้วัดหนองบัวเสร็จก่อน เพราะไม่อยากทำงานหลายแห่ง ปรากฏว่าพอเผลอ ๆ ท่านใช้ไสยศาสตร์ครอบ เพื่อที่จะดึงอาตมาไปสร้างวัดให้ท่าน
ช่วงนั้นพอดีอยู่ในระหว่างที่ทำพิธีถวายสิ่งก่อสร้างวัดหนองบัวทั้งหมดไว้ในพระพุทธศาสนา กำลังนั่ง ๆ อยู่เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงบนหัว สติขาดไปประมาณ ๒ วินาทีก็ตั้งหลักจับภาพพระได้ใหม่ หันไปกระซิบบอกพระครูน้อยกับครูบาน้อยและทิดเอ ซึ่งตอนนั้นทิดเอยังบวชอยู่ บอกว่าช่วยดูด้วยว่าพระที่มาวันนี้ มีใครที่อยู่ ๆ ก็เดี้ยงไปบ้าง เขาเล่นผมหนักขนาดนี้ โดนสะท้อนกลับไปรับรองหนักกว่าหลายเท่า เขาถามว่า "พระอาจารย์โดนหรือครับ ?" บอกว่า "โดนสิ..แต่พวกคุณไม่รู้" ท่านเห็นอาตมาพูดหน้าตาเฉย ก็สงสัยว่าโดนอีท่าไหน ปรากฏว่า..พระครูน้อยไปเดินวนอยู่พักเดียว กลับมาถึงหน้าซีด บอกว่า “อาจารย์จันทร์ครับ พวกเราเอง” ถามว่าเป็นอะไร ท่านบอกว่าอยู่ ๆ กระดูกสันหลังเคลื่อน ขยับตัวไม่ได้ เหมือนเป็นอัมพาต พอถามว่าเป็นอะไร ท่านบอกว่าขยับตัวผิดจังหวะ อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้าทำอย่างนี้อีก ก็ผิดจังหวะอยู่เรื่อยแหละ ก่อนกลับเมืองไทยก็ไปลาแกแล้วก็กลับ เป็นอะไรเรื่องของเอ็ง ข้าขี้เกียจรักษา ได้ยินว่ารักษาตัวอยู่ ๕ - ๖ เดือนกว่าจะดีขึ้น นี่หลายปีแล้วเพิ่งจะติดต่อมา คงนึกว่าไม่มีใครช่วยสร้างวัดแน่ ๆ แล้ว จะใช้วิธีดึงไปด้วยกำลังไสยศาสตร์ก็ไม่มีปัญญาจะทำ จะมาขอขมาเองก็กลัวอาจารย์จะเฉ่งคืน ส่วนใหญ่แล้วไปนึกโดยใช้กำลังใจตัวเอง ว่าถ้าตัวเองโดนแบบนี้แล้วจะโกรธ เลยบอกกับพระครูน้อยไป ให้บอกท่านว่า ถ้าเข้ามาเมืองไทยได้ก็มาเถอะ ไม่ได้ถือโกรธอะไรหรอก เพียงแต่ว่าถ้าไม่เข็ดจะลองอีกก็ไม่ว่ากัน ของอาตมานี่พื้นดวงบังคับ เกิดมาดวงตกที่อริเป็นมรณะ ในเมื่ออย่างนี้ใครตั้งตนเป็นศัตรู อาตมานั่งมองเฉย ๆ เขาก็ตายเอง โยมอาจจะสงสัยว่า ทำไมอาตมาทำตะกรุดมหาสะท้อนขึ้นนักขึ้นหนา ก็เพราะพื้นดวงให้ อริเป็นมรณะ ใครเป็นศัตรูก็หาเรื่องตายเอง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-06-2014 เมื่อ 13:52 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ภาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ทำหน้าที่ต่อ ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร พวกเราก็เอามาดัดแปลงว่าตายในสนามรบเป็นศพของทหาร ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่ ก็เป็นตายเสียดีกว่าที่จะอยู่ที่นี่ ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : คือ เกิดความรู้สึกว่าเราต้องตายอยู่เสมอจ้ะ ตายแล้วขึ้นชื่อว่าต้องเกิดมามีร่างกายอย่างนี้ เราไม่ต้องการอีก เราต้องการพระนิพพานเท่านั้น ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : พอนึกถึงพระนิพพานก็นึกถึงพระพุทธเจ้าไปด้วย พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว แล้วก็เอาภาพพระควบกับลมหายใจเข้าออก ถ้าหายใจเข้าให้ภาพพระไหลเข้าไป หายใจออกให้ภาพพระไหลออกมา ตราบใดที่เราเห็นท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป อย่าอยาก ถ้าอยากอยู่แล้วเราจะไปตามจี้ว่าขั้นตอนนี้เป็นอย่างนี้ ตอนนี้เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นอย่างไรช่างมัน เดี๋ยวเดียวก็ได้เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2014 เมื่อ 11:17 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ถาม : โดนแฟนทิ้ง อยากให้เขากลับมาดีกันใหม่ (ไม่ชัด)
ตอบ : อยู่คนเดียวเปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ ถึงสนุกก็ไม่สบาย ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเถอะ เดี๋ยวก็เจอคนที่ใช่เอง ไม่ได้สอนให้เราหลายใจ แต่ให้รู้ว่าวาระกรรมของคนเป็นอย่างนั้นเอง ช่วงนี้เราเจอคนนี้ แล้วอีกช่วงเราอาจจะเจออีกคนหนึ่งที่เคยร่วมสร้างกรรมกันมาก่อน แล้วก็จะมีการผูกพันกันเป็นระยะ ๆ พระพุทธเจ้าท่านถึงต้องสอนให้เราอยู่ในศีลในธรรม แต่คราวนี้ไอ้การอยู่ในศีลในธรรมของพวกเราในปัจจุบันนี้ ดูเชย..โบราณ ก็ต้องใช้วิธีแบบแล้ว ๆ กันไป ทำไม่รู้ไม่ชี้ เดี๋ยวเจอใหม่เอง แล้วถึงเวลาหนีให้พ้นแล้วกัน ถาม : ยังรักเขาอยู่ (ไม่ชัด) ตอบ : ต้องทำใจจ้ะ ผู้ชายเป็นเพศที่มีหน้าที่กระจายพันธุ์ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แม้ไม่รักผู้หญิงคนนั้น ส่วนผู้หญิงเราต้องรักเขาถึงจะยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงเราจะขาดทุนทุกครั้งไป ท่านถึงบอกว่าต้องหักห้ามใจไว้ด้วยศีล ไม่อย่างนั้นจะเสียเยอะ ไอ้อะไรที่ผิดแล้วก็ช่างมัน ถึงเวลาเราก็เริ่มต้นใหม่ ถ้าเขาไม่มาง้อเราก็แล้วไป ถ้ามาง้อก็เล่นตัวเสียบ้าง ถาม : ทำอย่างไรเขาถึงจะกลับมา (ไม่ชัด) ตอบ : ต้องบอกว่าถ้าเขาไม่ใส่ใจแล้วเป็นฝ่ายจากเราไป เขายังมีคุณค่าพอที่เราจะไปไขว่คว้ากลับมาหรือเปล่า ? เราต้องพิจารณาตรงจุดนี้ด้วย แล้วไขว่คว้ากลับมาแล้วมั่นใจหรือว่าเขาจะไม่เป็นอย่างนี้อีก ? ไป..เสียเวลาคิด ไปนั่งภาวนาดีกว่า มาก็ช่างไม่มาก็ช่าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2014 เมื่อ 11:16 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ถาม : ถามเรื่องโดนทำไสยศาสตร์ (ไม่ชัด)
ตอบ : ออกมาดีกว่าไม่ออกไม่ใช่หรือ ? ถ้ากำลังใจดี สิ่งที่ไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ จะโดนขับออกไป ก็ให้รู้ว่ามีคนรักเรามาก จึงส่งของมาให้เรื่อย ๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไป เราภาวนาสวดมนต์ของเราไปเรื่อย ถ้ากำลังใจของเราสูง ของพวกนี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอก ของอาตมาออกมาเป็นไม้จิ้มฟันแขนงไผ่ โผล่ออกมา ๒ อัน เจ็บฉิบห..เลย..! ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ ภาวนาไป แล้วไอ้ที่ออกมานั่นหมดอานุภาพแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2014 เมื่อ 11:12 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ถาม : ถามเรื่องการจับภาพพระ (ไม่ชัด)
ตอบ : แสดงว่าคบไม่ได้ใช่ไหม? เปลี่ยนอยู่เรื่อย ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธหรือพระสงฆ์อยู่ไม่เป็นไร จับเป็นอนุสติต่อไปได้ ยกเว้นว่าเราทำกรรมฐานเฉพาะกอง อย่างเช่นว่าเพ่งกสิณอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นรูปพระ รูปเทวดา รูปวิมาน ฯลฯ ให้ตัดทิ้งไป หันมาจับกสิณของเราใหม่ ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : ต้องทำถึงจะรู้ว่าดีไม่ดี คนเราจะทำอะไร ถ้าไม่มีสมาธิจะทำได้ไม่ดีหรอก ถ้าหากว่านั่งสมาธิ มีสมาธิมากขึ้นก็จะทำทุกอย่างได้ดีขึ้น แต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะลองทำเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2014 เมื่อ 05:14 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราแรกเริ่มจะเป็นอย่างนั้นเอง พอรู้ตัวก็พยายามปรับ ก็ต้องลดทิฐิมานะของตัวเองลง ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมองไม่เห็น แล้วคนอื่นบอกก็ไม่ฟัง เพราะฉะนั้น..ต้องพยายามฝึกทางจิต เพราะถ้าสภาพจิตมีความละเอียดมากขึ้น จะมองเห็นเรื่องพวกนี้ได้ และแก้ไขได้เอง ถ้าสภาพจิตยังไม่ละเอียดพอก็มองไม่เห็น ดูที่ตัวเองแก้ที่ตัวเอง คนอื่นบอกก็ไม่ฟังหรอก ดีไม่ดีหาว่ามาเสือกอะไรเรื่องของเราด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2014 เมื่อ 11:08 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ถาม : ถามเรื่องการปฏิบัติ (ไม่ชัด)
ตอบ : ไปสงสัยเกินความสามารถของเรา ทำไปให้ถึงแล้วจะรู้เอง ถ้ายังทำไม่ถึงก็สงสัยทุกคนแหละ ถ้าสงสัยก็คือสงสัย เมื่อสงสัยก็ค้นคว้าให้รู้จริง ทำไปเรื่อย ๆ ถึงเมื่อไรก็จะเลิกสงสัยเอง ไม่มีใครช่วยทำแทนได้ ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างได้ ถ้าหากว่ายึดศีลเป็นหลักจะไม่หลง ถ้าศีลทรงตัวแล้วก็ทำสมาธิไปด้วย ถ้าศีลสมาธิทรงตัวแล้ว ปัญญาจะเกิดเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2014 เมื่อ 11:07 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าว่า "ไปนึกถึงผู้นำกะเหรี่ยง แกแซวพวกเราเจ็บ ๆ แกบอกว่า “ผมก็เพิ่งรู้ว่าพวกท่านเอาผมไปขายได้” เพราะว่าที่วัดท่าขนุนเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนของอำเภอ แล้วคราวนี้ถ้ามีวัฒนธรรมอะไรที่มีความต่าง มีความแปลก มีความเด่น ก็ต้องรวบรวมเอาไว้
เขาเองเขาอยู่กันอย่างนั้น ทำกันอย่างนั้นมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เขาก็ไม่รู้ว่ามันมีอะไรดี มีอะไรผิดปกติ มีอะไรน่าสนใจ พอเห็นคนแห่ไปดูก็ยังงง ๆ ว่ามาดูอะไรกัน" ถาม :(ไม่ชัด) ตอบ : จริง ๆ ต้องบอกว่ากะเหรี่ยงเขาอยู่กับป่ากับดง แล้วความชื้นมันเยอะ ถ้าไม่กินเผ็ดมาก ๆ นี่อยู่ยาก ต้องกินเผ็ดมาก ๆ ขับเหงื่อขับความชื้นในร่างกายออก ก็เลยกลายเป็นว่าเขากินเผ็ดกันจนเป็นปกติวิสัย คนไทยเราไปเจอพริกกะเหรี่ยงครั้งแรกเผ็ดกระโดดทุกคน น้องเล็กกินไปคำเดียวหัวหูแดงหมด ช่วงที่ไปธุดงค์ไปอยู่ที่นั่น กินทุกวัน เพราะว่าจะมีน้ำพริกกะเหรี่ยงเป็นหลัก แล้วก็พวกผักหญ้าที่เขาหาตามธรรมชาติ อยู่ไปเป็นเดือน พอออกมาข้างนอกฉันอะไรก็ไม่รู้สึกเผ็ดเลย พอถึงเวลาเขาเอาน้ำปลาพริกมาถวายนี่ กวาดพริกมาเคี้ยวเล่นได้เลย แต่เขาว่าพริกที่เผ็ดที่สุดเป็นของเม็กซิโก ไม่ใช่พริกกะเหรี่ยง พริกกะเหรี่ยงเผ็ดแค่ ๑๒๕,๐๐๐ สโควิลล์ ส่วนของพริกเม็กซิโกล่อไป ๕ แสนกว่าสโควิลล์ ประเภทเดินผ่านต้นก็คงจามแล้ว สโควิลล์เป็นมาตราวัดความเผ็ด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 25-06-2014 เมื่อ 11:46 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครจะซื้อมีดจ่าตุ่มก็ให้รีบซื้อ เพราะว่าอาตมาจะทำมีดหมออีกรุ่นหนึ่ง แต่ว่าอย่าไปซื้อมีดพับ เพราะว่ามีดพับเข้าพิธีแล้วเป็นมีดหมอไม่ได้ มีดพับเป็นได้แค่วัตถุมงคล ถ้าจะใช้เป็นมีดหมอต้องเป็นมีดที่ใช้งานแบบปกติ จะเป็นอีโต้ โบวี่ มีดปาดตาลอะไรก็เอา ถ้าไม่อย่างนั้นเดี๋ยวถึงเวลาแล้วต้องมาเสียเงินบูชาแพง ๆ อีก ซื้อมีดจ่าตุ่มยัดเข้าไปก็หมดเรื่อง
อาตมาก็จะไปสั่งให้บ้านจ่าตุ่มทำนั่นแหละ กะว่าสัก ๒ ปีน่าจะเสร็จ คือมีดชุดนี้อาตมาเห็นภาพมาตั้งแต่บวชใหม่ ๆ แล้ว สงสัยอยู่ว่าเมื่อไรจะได้ทำ ทางบ้านจ่าตุ่มบอกว่า ถ้าทำโดยไม่ทำให้ใครเลย จะได้เดือนหนึ่งประมาณ ๒๐ เล่ม ๑๐ เดือนได้ ๒๐๐ เล่ม อาตมาต้องการสัก ๓๐๐ เล่มก็รอกันอ่วมเลย แล้วเขาต้องทำมาหากินเป็นระยะ ๆ ไป ก็ต้องมีหยุดไปทำอย่างอื่น งานนี้จะให้เขาแถมปลอกหนังให้ด้วย แต่ว่าอย่าใส่ปลอกหนังทิ้งไว้นาน ๆ เพราะว่าปลอกหนังจะมีความชื้น พอชื้นแล้วต่อให้เป็นสเตนเลสสนิมก็กิน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2014 เมื่อ 11:04 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|