#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันศุกร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๓
ทุกคนนั่งในท่าที่ถนัดของตัว คงไม่มีอะไรดีไปกว่าท่านั่งขัดสมาธิหลวม ๆ จะว่าไปแล้วท่านั่งก็เป็นส่วนสำคัญของการปฏิบัติ เพราะถ้าหากนั่งไม่ถนัด เกิดความเมื่อยขบได้ง่าย จิตใจก็จะไปกังวลอยู่กับสภาพร่างกาย ซึ่งทำให้ไม่สงบ
วันนี้เป็นวันที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นวันแรกของการเจริญกรรมฐานสำหรับเดือนนี้ ก็เป็นที่น่ายินดีว่า ทางวัดท่าขนุนของเราได้รับเลือกให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่น ๑ ใน ๘๓ สำนัก จาก ๑,๑๖๓ สำนักทั่วประเทศ ถ้าดูการปฏิบัติ โดยเฉพาะตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดมา วัดท่าขนุนเพิ่งมีโอกาสทำงานนี้ไม่ถึง ๒ ปีเท่านั้น และโดยเฉพาะว่า เราเพิ่งจะมีการจัดปฏิบัติธรรมอย่างจริง ๆ จัง ๆ ก็ช่วงวันที่ ๑๒ - ๑๔ กันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งหลายท่านก็ได้เขียนใบสมัครเข้าปฏิบัติธรรมไปแล้ว แปลว่าจากการที่คณะกรรมการเขาประเมินให้นั้น เขาประเมินจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น ความเหมาะสมของสถานที่ มีความร่มรื่นเหมาะในการปฏิบัติธรรมหรือไม่ มีที่พักเพียงพอหรือไม่ มีห้องน้ำห้องท่าเพียงพอหรือไม่ มีครูบาอาจารย์ผู้สอนที่เพียงพอและมีความรู้เหมาะสมหรือไม่ เป็นต้น วันนี้ที่อยากจะกล่าวกับพวกเราก็คือว่า ระยะนี้มีอุทกภัย คือน้ำท่วมอยู่หลายจังหวัดและหลายประเทศ พี่น้องชาวไทยตลอดจนชาวต่างประเทศเดือดร้อนกันมาก จะว่าไปแล้วความเดือดร้อนนี้ก็เกิดขึ้นจากผลกรรมเก่าที่เราละเมิดศีลต่าง ๆ ในเรื่องของศีลนั้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องปฏิบัติควบคู่กับการทำสมาธิ เพราะว่าศีลเป็นเบื้องต้นของความดีทุกประการ ถ้าศีลไม่ทรงตัว อย่าหวังเลยว่าสมาธิจะตั้งมั่นได้ เมื่อศีลเป็นปัจจัยพื้นฐานของความดีทุกประการ จึงเป็นสิ่งที่เราต้องใคร่ครวญและทบทวนอยู่เสมอ ในแต่ละวันก่อนนอนให้มีเวลาทบทวนว่า วันนี้เราละเมิดศีลข้อใดบ้าง มีการฆ่าสัตว์หรือไม่ มีการลักขโมยหรือหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้หรือไม่ มีการไปละเมิดคนที่เขารัก ของที่เขารักหรือไม่ มีการพูดจาโกหกหลอกลวงหรือไม่ และท้ายสุดมีการดื่มสุราหรือว่าเสพยาเสพติดต่าง ๆ หรือไม่ ถ้าหากว่าเราละเมิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง ก็ให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะระมัดระวังศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ จะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำ และจะไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นทำการละเมิดศีล ถ้าเราทบทวนและตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจังแบบนี้ทุกวัน โดยไม่ไปเสียดายเวลาที่ผ่านไปกับการละเมิดศีล หรือไม่ไปเศร้าหมองกับความชั่วเก่า ๆ ที่เราละเมิดศีล โอกาสที่จะหลุดพ้นก็จะมี แต่ถ้าเรามัวไปเศร้าหมองอยู่กับเรื่องเก่า มัวแต่ไปเสียดายเวลาที่ปฏิบัติได้บริสุทธิ์บริบูรณ์มาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ต้องมาพังทลายไปเพราะการละเมิดในครั้งนั้น ๆ โอกาสที่เราหลุดพ้นก็น้อย เพราะจิตใจมัวแต่ไปเศร้าหมองไปพะวักพะวนอยู่ ฉะนั้น...การทบทวนศีลที่เป็นเรื่องสำคัญนั้น ให้ทบทวนในลักษณะพร้อมที่จะแก้ไขให้ดีอยู่เสมอ ไม่ใช่ไปทบทวนในลักษณะที่เมื่อรู้ว่าเราละเมิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ไปเศร้าหมองครองทุกข์อยู่ตรงนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2010 เมื่อ 10:21 |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ที่ได้กล่าวถึงในเรื่องอุทกภัย เพราะว่าภัยทั้งหลายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น ส่วนใหญ่มาจากเศษกรรมของการละเมิดศีล บุคคลที่มีอันตรายถึงขนาดบาดเจ็บล้มตายก็เกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต
บุคคลที่ทรัพย์สินสิ่งของเสียหายจากน้ำท่วม ไฟไหม้ ลมพัด แผ่นดินไหว หรือว่าโดนลักขโมย โดนทำลายโดยวิธีการอื่น ๆ นั่นก็เกิดจากเศษกรรมของการที่เราไปลักขโมยหยิบฉวยสิ่งของของคนอื่นเขามา บุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ดี บุตรหลานก็ดี ไม่ให้ความเคารพ ไม่ให้ความเชื่อฟัง หรือแม้กระทั่งเป็นครูบาอาจารย์แล้วศิษย์ไม่ให้ความเคารพ ไม่ให้ความเชื่อฟัง ก็เกิดจากเศษกรรมในการที่เราละเมิดศีลในข้อกาเมสุมิจฉาจารา ถ้าหากว่าบุคคลใดโดนคนอื่นโกหกหลอกลวงอยู่เสมอ นั่นแสดงว่าเกิดจากเศษกรรมที่เราเคยพูดปดมดเท็จมาในอดีตส่งผลให้ ใครที่มีโรคประจำตัวประเภทปวดศีรษะ ไมเกรน หรือเป็นโรคประสาท หรือบางทีบ้าไปเลย นั่นเพราะเศษกรรมในข้อที่เราดื่มสุราและยาเสพติดมาในอดีตส่งผลให้ ถ้าหากว่าดื่มไม่มากนัก ก็อาจจะมีโรคปวดศีรษะ ถ้าหากว่าปานกลาง ก็อาจจะเป็นโรคเส้นประสาท แต่ถ้าเมาหัวราน้ำ ก็อาจจะประเภทเป็นคนขาดสติ ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ บ้า ๆ บอ ๆ ไปเลย สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ก็คืออุทกภัยนั้น ก็แสดงว่ากลุ่มบุคคลส่วนใหญ่นั้นเคยได้กระทำกรรมเหล่านี้มาในระยะเวลาใกล้เคียงหรือพร้อมเพรียงกัน อย่างเช่น การยกกองทัพไปปล้นบ้านตีเมืองของเขา ไปช่วงชิงทรัพย์สินข้าทาสบริวาร กวาดต้อนเอาผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงตลอดจนข้าวปลาอาหารของเขามา เมื่อถึงวาระกรรมนี้มาสนองก็เกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2010 เมื่อ 09:36 |
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เมื่อเราเห็นโทษแล้วว่าการละเมิดศีลนั้นมีโทษอย่างไร พี่น้องชาวไทยที่ประสบอุทกภัย และชาวโลกที่ประสบอุทกภัยเดือดร้อนอย่างไรก็เห็นอยู่
ขณะเดียวกันเราก็รู้ดีว่าคุณของศีลนั้นเป็นอย่างไร เป็นพื้นฐานให้ความดีทุกประการตั้งมั่น เป็นเครื่องนำมาซึ่งโลกียทรัพย์และโลกุตรทรัพย์ และเป็นบันไดให้เราก้าวล่วงไปสู่พระนิพพาน เราทุกคนจึงจำเป็นต้องรักษาศีล การที่เรารักษาศีลควบกับการเจริญสมาธิ ก็เพื่อว่า เมื่อเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ สมาธิจะทรงตัวตั้งมั่นได้ง่าย เมื่อสมาธิทรงตัวตั้งมั่น ก็เอากำลังนั้นกลับไประมัดระวังรักษาศีลอีกครั้งหนึ่ง ถ้าสติสมาธิแหลมคมว่องไว แค่เราขยับ จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็ตาม จิตจะบอกเลยว่าเราจะละเมิดศีลหรือไม่ ศีลเราจะขาดจะพร่องหรือไม่ แล้วเราก็จะเลี่ยงด้วยการไม่ไปละเมิดศีล แล้วไปคิด ไปพูด ไปทำ ในส่วนที่สามารถทำให้ศีลเจริญบริบูรณ์ได้ ศีลนอกจากจะเป็นมนุษย์สมบัติ คือบุคคลที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างน้อยจะต้องมีศีล ๕ เป็นเครื่องรองรับ ยังเป็นสวรรค์สมบัติ บุคคลที่รักษาศีลสมบูรณ์บริบูรณ์มีโอกาสเกิดเป็นนางฟ้า เกิดเป็นเทวดาได้ง่าย ถ้าหากว่ารักษาได้ถึงขนาดว่ากำลังใจทรงตัวตั้งมั่น เป็นฌานในสีลานุสติ ก็เกิดเป็นพรหมได้ ในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่ากำลังของศีลของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์จริง ๆ ส่งผลให้เราก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้โดยง่าย โดยการพิจารณาให้เห็นว่า แม้การรักษาศีลนี้จะส่งผลดีแก่เราโดยส่วนเดียวก็จริง แต่ถ้าหากว่ายังต้องเวียนตายเวียนเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ก็ยังมีทุกข์มีโทษ ก็คือเกิดความทุกข์อยู่ได้ในทุกครั้งที่เราเกิด เมื่อจิตใจเห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิด เกิดความเบื่อหน่าย จิตจะถอนออกมาจากความรัก ความพอใจที่จะเวียนตายเวียนเกิด ก็คือไม่เห็นความดีของร่างกายนี้ ไม่เห็นความดีของโลกนี้ ไม่เห็นความดีของเทวโลก พรหมโลก เพราะว่ายังไม่สามารถที่จะล่วงพ้นความทุกข์ได้อย่างแท้จริง ให้เอาจิตสุดท้ายของเราเกาะพระนิพพานไว้ จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ แต่ให้จิตของเรารู้ว่าขณะนี้เราเป็นผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยศีล ถ้าหากว่าชีวิตนี้สิ้นไป เราขอมีพระนิพพานเป็นที่ไปแห่งเดียว แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้า อยู่กับลมหายใจออก อยู่กับคำภาวนา หรืออยู่กับภาพพระหรือพระนิพพานของเรา ให้ทุกคนกำหนดกำลังใจเช่นนี้ไว้เรื่อยไป จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกหมดเวลา พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์ วันศุกร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๓
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2010 เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|