#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ท่านทั้งหลายอาจจะรู้สึกแปลกตา เพราะว่ากระผม/อาตมภาพได้สั่งให้รื้อกระจกและเครื่องกั้นซึ่งใช้ในช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดออกไป จนเหลือแต่โต๊ะเก้าอี้ชุดเดิม ซึ่งถ้าหากว่าใครรู้สึกแปลกตา ให้ระมัดระวังไว้ด้วยว่าพวกเรายังมีการยึดมั่นถือมั่นที่ค่อนข้างจะหนัก เรื่องพวกนี้บางทีท่านทั้งหลายก็ไม่รู้ตัว ว่าเรามีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของอุปาทานก็คือยึดของเก่าเป็นหลัก พอเจอของใหม่เข้าก็จะปรับตัวไม่ทัน แล้วการยึดติด ถ้าเป็นบุคคลที่ปรารถนาความหลุดพ้น ก็ทำให้ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว
ก่อนอื่นก็ต้องขอบพระคุณพระภิกษุสามเณรของเรา ที่ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ ในการจัดเตรียมสถานที่ สำหรับงานประจำปีปิดทองรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน และงานทำบุญอุทิศอดีต ๗ เจ้าเมืองหน้าด่าน แม้ว่ายังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่ว่าในส่วนที่จะใช้งานในวันรุ่งขึ้นก็ถือว่าพร้อมแล้ว คราวนี้ในส่วนของงานที่พวกเราได้ทำไปนั้นต้องบอกว่าเป็นความดีเฉพาะตัว ก็คือใครทำใครได้ เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นการฝึกฝนขัดเกลาตนเอง บุคคลใดสามารถร่วมงานกันได้โดยมีการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นน้อยเท่าไร โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะหลุดพ้นก็มีมากขึ้นเท่านั้นเพราะว่าเรายิ่งกระทบคนอื่นน้อย ก็แปลว่าเราปล่อยวางได้ โอกาสที่จะหลุดพ้นจึงมีมากกว่าคนอื่นเขา เนื่องเพราะว่าการทำงานนั้น คือการที่เราออกไปเผชิญกับอารมณ์ที่แท้จริง ในเมื่อของจริงมากระทบ แล้วเรารักษากำลังใจเอาไว้ได้ ก็แปลว่าพอที่จะเอาตัวรอดได้ แต่ให้ระมัดระวังเอาไว้ด้วยว่า ถ้าเราทรงฌานสมาบัติอยู่ ตอนที่กระทบกระทั่งไม่รู้สึกอะไร แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง กำลังฌานสมาบัติลดลง พวกเราจะไปฟุ้งซ่าน โกรธเคือง ซึ่งบางทีคนอื่นอาจจะไปหลายร้อยกิโลเมตรแล้ว แต่เราเองยังไปแบกความโกรธอยู่ตรงนั้นคนเดียว..! เรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพมีประสบการณ์ตั้งแต่สมัยฆราวาส ก็คือบุคคลอื่นพอเมาเหล้ามากลางดึกกลางดื่น ก็มาถีบประตูหน้าบ้าน ท้าให้ออกไปตีกัน..! กระผม/อาตมภาพก็ออกไป ยกมือไหว้ขอร้องเขาว่า "เมาก็กลับบ้านไปนอนเถอะ" ตอนช่วงนั้นเนื่องจากว่าทรงสมาธิเอาไว้ กำลังใจเย็นเหมือนซุกน้ำแข็งไว้ในอก ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรเขาเลย แต่ว่าพระครูแสงน้องชาย ตอนช่วงนั้นเลือดร้อนกว่า ดึงกระผม/อาตมภาพออกมาแล้วเตะมันกองกับพื้น กระผม/อาตมภาพเองก็ยังแบกไปส่งที่บ้านให้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-03-2023 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
แต่ว่าหลังจากที่กลับมาถึงบ้านแล้วนอนต่อ..นอนไม่ได้ โกรธจนมือตีนสั่นไปหมด รู้สึกอยู่อย่างเดียวว่า "ถ้ากูเตะมันซะเองจะดีกว่านี้..!" นั่นก็คือกำลังใจของเราที่โดนกำลังสมาธิกดเอาไว้ แล้วไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สากับแรงกระทบ อย่าเผลอคิดว่าตนเองดีแล้วเป็นอันขาด เพราะว่าถ้ากำลังสมาธิลดลงเมื่อไร กิเลสก็จะกำเริบได้ทันที
พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า ใครก็ตามที่ทำงานคันถธุระ ความจริงคำว่า คันถธุระ ก็คือการศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์ แต่ว่าในที่นี้รวมเอางานการก่อสร้าง งานโยธาทุกประการเข้าไปด้วย ท่านบอกว่า ถ้าสามารถทำใจได้ จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ง่ายกว่าคนอื่น ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็ไม่เชื่อ แต่ว่าหลังจากที่ทดลองภาวนาอย่างเดียวอยู่หลายปี พอกำลังใจไปกระทบอย่างอื่นก็พัง ถึงได้เข้าใจว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าตราบใดที่เรายังไม่สามารถทนต่อการทดสอบได้ ตราบนั้นก็ยังหาความดีที่แท้จริงไม่ได้ เราต้องพบกับแรงกระทบต่าง ๆ แล้วสามารถก้าวข้ามไปได้ โดยที่ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่กำเริบ ถึงจะถือว่าใช้ได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังอย่างที่บอกเอาไว้ว่า ตรงหน้าไม่กำเริบ แต่ลับหลังอาจจะอีกหลายชั่วโมง หรือหลายวัน หรือเป็นเดือนเป็นปี กำลังสมาธิลดลง ขาดความระมัดระวัง ตอนนั้นกิเลสจะกำเริบได้ แล้วก็จะทำให้เราเสียผลของการปฏิบัติไป อีกส่วนหนึ่งก็คือในเรื่องที่พวกเราอาจจะเห็นว่า ในช่วงบ่ายมีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลทองผาภูมิทั้งหมดมาเวียนเทียน แล้วก็ขอให้กระผม/อาตมภาพ กล่าวสัมโมทนียกถา อนุโมทนาในเรื่องที่เขาทั้งหลายได้ทำ แต่ปรากฏว่าส่วนใหญ่จะโดนตีแสกหน้าไปมากกว่า..! เพราะว่าในเรื่องของการเวียนเทียนนั้น โดยประเพณีนิยมแต่โบร่ำโบราณมา บ้านเราเวียนเทียนกันอยู่แค่ ๔ วัน ก็คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา แล้วก็ วันอาสาฬหบูชา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 18-03-2023 เมื่อ 00:19 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
วันมาฆบูชาเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ก็คือหลักคำสอนที่จะไปใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้เป็นไปในแนวเดียวกัน ก็คือแนะนำให้ญาติโยมทั้งหลาย ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส แล้วก็ยังเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ก็คือตัดสินใจว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้า จะปรินิพพานที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา พวกเราส่วนใหญ่จะจำแค่ว่าเป็นวันแสดงโอวาทปาฏิโมกข์
วันวิสาขบูชา คือวันที่พระองค์ท่าน ประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ตามที่เราเข้าใจกันทุกคนอยู่แล้ว วันอัฏฐมีบูชาเป็นวันคล้ายวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พูดภาษาชาวบ้านคือ วันที่เผาพระพุทธเจ้า ปัจจุบันนี้ในประเทศไทยมีการจัดงานวันอัฏฐมีบูชาแค่ไม่กี่แห่ง แล้วบ้านเราถือว่าโชคดีเพราะว่ามีพระแท่นดงรัง ซึ่งเขาเชื่อกันว่าเป็นพระแท่นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์พระปรินิพพาน จึงมีการจัดงานวันอัฏฐมีบูชาด้วย วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา เป็นวันที่มีพระรัตนตรัยครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะว่าก่อนหน้านี้มีแต่พระพุทธและพระธรรมเท่านั้น จนกระทั่งพระอัญญาโกณฑัญญะรู้ทั่วถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับการบวชโดยเอหิภิกขุอุปสัมปทา กลายเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงมีพระรัตนตรัยครบถ้วน ในเมื่อเป็นวันสำคัญของทางพระพุทธศาสนา การสร้างบุญกุศลที่นิยมอย่างหนึ่ง ก็คือถวายบูชาด้วยแสงสว่างด้วยการการเวียนเทียน ดังนั้น..ในเรื่องของการเวียนเทียน ไม่ใช่ว่าคิดจะเวียนเทียนวันไหนก็ได้ แต่ว่าคนไทยเรามักจะมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ไม่กล้าขัดผู้มีอำนาจ ในเมื่อเจ้านายสั่ง ต่อให้ผิดก็ต้องทำ สังคมบ้านเราจึงบิด ๆ เบี้ยว ๆ ไปหมด เพราะว่าทำสิ่งผิดจนกลายเป็นถูกไปมากมายแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-03-2023 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ในส่วนนี้สำคัญตรงที่ว่า ถ้าท่านทั้งหลายเป็นนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริง จะกล้าคัดค้านและกล้าพูด เพราะว่านักปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจะเกิดเวสารัชชกรณธรรม คือหลักธรรมที่สร้างความกล้าให้เกิดแก่ตน ซึ่งประกอบไปด้วยสัทธา ก็คือความเชื่อมั่น โดยเฉพาะเชื่อมั่นในคุณพระศรีรัตนตรัย เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมั่นในผู้นำ เชื่อมั่นในตนเอง
ข้อที่สองก็คือพาหุสัจจะ ศึกษาเรียนรู้มามาก ในเมื่อเรียนรู้มามาก รู้ว่าอะไรถูกก็กล้าที่จะพูดในสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะแก้ไขในสิ่งที่ผิดให้ถูก ข้อต่อไปคือวิริยารัมภะ รู้จักปรารภความเพียร มีความขยันปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งกำลังสมาธิสูงเท่าไร ยิ่งกลัวคนไม่เป็น ถ้าหากว่าจะกล่าวถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งสูงสุด พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า พระองค์ท่านนั่งอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหมก็ดี นั่งอยู่ในหมู่ท้าวมหาราชก็ดี นั่งอยู่ในหมู่พระมหากษัตริย์ก็ดี นั่งอยู่ในหมู่พราหมณ์มหาศาลก็ดี พระองค์ท่านไม่ได้มีความประหม่าเลย เพราะเชื่อมั่นว่าพระองค์ท่านตรัสรู้จริง หลักธรรมที่พระองค์ท่านสั่งสอน ทำให้คนรู้ทั่วถึงธรรมได้จริง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าใครที่ปฏิบัติตามหลักของเวสารัชชกรณธรรม ก็จะเป็นคนที่กล้าพูดกล้าทำโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะกล้าคัดค้านในสิ่งที่ผิด แก้ไขสังคมที่บิด ๆ เบี้ยว ๆ ของเรา ทำในสิ่งที่ผิดจนกลายเป็นถูก ให้กลับไปทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมือนเดิม แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ท่านทั้งหลายถ้าจะยึดหลักว่าควรจะกระทำสักประมาณไหน ก็เอาแค่ในงานรับผิดชอบของตนเอง ถ้าหากว่าอย่างกระผม/อาตมภาพก็ทำอยู่แค่ตรงนี้ อะไรที่สูงไปกว่าขอบเขตอำนาจของตนเองก็จะไม่แตะ ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะเดือดร้อนก็มีน้อย เพราะว่าบุคคลใต้บังคับบัญชาหรือบุคคลที่ต่ำกว่า ก็รับฟังเราเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายก็อาจจะเหมือนกระผม/อาตมภาพ ก็คือโดนชาวบ้านเขาว่า "ดุอย่างกับหมา..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-03-2023 เมื่อ 02:59 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
แต่คราวนี้ถ้าท่านทั้งหลายไม่แก้ในสิ่งที่ผิดให้ถูก พอนานไป ๆ สิ่งที่ผิดก็จะกลายเป็นถูกไปเอง เพราะคนส่วนใหญ่ปฏิบัติตามกัน อย่างที่วัดเรา เวลาตั้งโต๊ะหมู่บูชา เราจะไม่ตั้งโต๊ะกราบ เพราะว่าของเรากราบพระด้วยเบญจางคประดิษฐ์ การตั้งโต๊ะกราบ ๑ ศีรษะ ๒ ศอก ๒ เข่า ไม่สามารถสัมผัสพื้นพร้อมกันได้ ก็แปลว่า การตั้งโต๊ะกราบเพื่อเอาใจบุคคลที่มีอำนาจ ซึ่งมักจะเป็นประธานในงานนั้น เป็นการกระทำที่ผิด..!
แต่ที่นี่..เฉพาะที่วัดท่าขนุน กระผม/อาตมภาพก็ใช้เวลาอยู่หลายปี กว่าที่จะแก้ไขตรงจุดนี้ได้ ก็คือถึงเวลาถ้ามีพระเถระหรือข้าราชการผู้ใหญ่มา ก็จะกราบเรียนหรือว่าอธิบายให้ทราบว่าทำไมถึงไม่มีโต๊ะกราบ จนกระทั่งปัจจุบันหลายแห่งเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำตาม ก็นำไปทำในสถานที่ของตนด้วย จึงเป็นเรื่องที่นอกจากจะต้องระมัดระวัง กระทำแค่ในของเขตอำนาจของตนเอง แล้วยังต้องระมัดระวังในเรื่องของการรู้จริงรู้แจ้งหรือไม่ ถ้าให้คนอื่นคัดค้านได้ สิ่งที่เราพูดไปก็จะไร้น้ำหนัก เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายเอง บางทีก็ยังประมาณการไม่ถูก อย่างเช่นบางคนฟังธรรมะของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เกี่ยวกับโทษของนางขุชชุตตราที่ต้องเกิดเป็นทาสของคนอื่นเขา ๕๐๐ ชาติ พอถึงเวลาญาติโยมมาบอกให้ทำอะไรบางอย่าง ก็กล่าวโทษเขาทันทีว่า "ใช้พระ..!" แต่คราวนี้ญาติโยมบางทีก็ได้รับคำสั่งจากกระผม/อาตมภาพไปให้บอกกล่าวกับพระ แต่ท่านก็ถือความเถรตรง ซึ่งไม่รู้ว่าโง่หรือฉลาด ประมาณว่าถ้าไม่ใช่หลวงพ่อสั่งกูไม่ทำ ก็ขอให้มีความสุขความเจริญต่อไป..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-03-2023 เมื่อ 03:01 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|