#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ให้ทุกท่านขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของเรา ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เอาสติสัมปชัญญะความรู้สึกของเราทั้งหมด ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้า..ผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง..ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตามแต่เราชอบใจ หรือตามที่เรามีความถนัดมาก่อน
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติธรรมวันที่สองของเดือนพฤษภาคมของเรา การที่ญาติโยมทั้งหลายกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อานิสงส์ประการแรกก็คือ ทำให้จิตของเรามีที่ยึดเกาะ จะได้ไม่สอดส่ายไปยังที่อื่น อานิสงส์ข้อต่อไปก็คือ เมื่อสมาธิของเราทรงตัวตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย จะโดนอำนาจของปฐมฌานกดดับลงไปชั่วคราว ทำให้จิตของเราผ่องใส ปราศจากกิเลสด้วยอำนาจของฌานสมาบัติ จัดเป็นวิขัมภนวิมุตติ คือการหลุดพ้นด้วยการข่มไว้ด้วยสมาธิภาวนา และถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีปัญญา มองดูลมหายใจเข้าผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ไปสุดที่ท้อง ออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก ไปสุดที่ปลายจมูก ก็จะเห็นว่า แม้ลมหายใจเข้าออกของเรา ก็หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปอยู่เสมอ จากจมูก ไปที่อก ไปที่ท้อง จากท้อง มาที่อก มาที่ปลายจมูก ความเปลี่ยนแปลงนี้ ปรากฏอยู่ทุกชั่วลมหายใจเข้าออก ตลอดระยะกองลมเข้า ตลอดระยะกองลมออก เราจะเห็นความไม่เที่ยง คือความเปลี่ยนแปลงของลมหายใจอยู่เสมอ ซึ่งตรงจุดนี้เราต้องใช้ปัญญาควบเข้าไปด้วยถึงจะมองเห็นได้ เรายังจะเห็นต่อไปอีกว่า การที่เราต้องมากำหนดดูกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกนั้น ต้องใช้ความพากเพียรพยายามเป็นอย่างยิ่ง การที่เราต้องมาเพียรดูเพียรรู้ บังคับตัวเองอยู่กับลมหายใจเข้าออก นั่นก็คือความทุกข์ แปลว่าขณะที่เราดูลมหายใจเข้า ดูลมหายใจออกอยู่ เราก็อยู่กับกองทุกข์อยู่ตลอดเวลา แล้วในที่สุดแม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกนี้ ก็ยึดถือมั่นหมายไม่ได้ เพราะว่าท้ายสุดเมื่อลมหายใจขาดไป ชีวิตินทรีย์นี้สิ้นไป ลมหายใจก็สลายไปหมด ไม่มีอะไรเหลือให้เรายึดถือมั่นหมายได้ กลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 02:05 |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ดังนั้น..อานิสงส์ใหญ่ของการพิจารณาลมหายใจเข้าออกที่เราพึงจะสังวรไว้ก็คือ กำหนดให้รู้เห็นไตรลักษณ์ ก็คือลักษณะ ๓ อย่างที่ประกอบอยู่ในคนและสัตว์ ตลอดจนวัตถุธาตุทุกประเภท ก็คืออนิจจตา ลักษณะที่ไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง แล้วก็สลายไปในที่สุด แม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกของเรา ก็ยังจัดอยู่ในอนิจจลักขณะอย่างนี้ แล้วเรายังอยากจะเกิดมามีสภาพร่างกายไม่เที่ยงเช่นนี้ เกิดมาในโลกที่หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เช่นนี้อยู่หรือไม่ ?
ประการที่สองคือทุกขตา มีความทุกข์อยู่เป็นปกติ หายใจเข้า หายใจออก ก็ต้องใช้ความพยายามในการกำหนดดูกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา ก็แปลว่าเราอยู่ในทุกขลักขณะ คือความเป็นทุกข์ที่ครอบงำเราอยู่ทุกชั่วลมหายใจเข้าออก ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีแต่ความทุกข์เช่นนี้ เกิดมามีร่างกายที่ประกอบไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เกิดมาในโลกที่มีความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ เรายังพึงปรารถนาอีกหรือไม่ ? ประการสุดท้ายก็คือ อนัตตตา ความไม่สามารถที่จะยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ ต่อให้เรายึดลมหายใจเข้าออกจนมั่นคง สามารถทรงฌาน ๔ สามารถทรงสมาบัติ ๘ ได้ แต่ทันทีที่เผลอไผล สมาธิสมาบัติทั้งหลายก็จะเสื่อมสลายลงไป แสดงว่าแม้กระทั่งรูปฌาน หรืออรูปฌานที่เกิดจากลมหายใจเข้าออกนั้น ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ยึดถือมั่นหมายได้ เป็นอนัตตลักขณะอยู่ตลอดเวลา เราเองยังมีความปรารถนาในร่างกายที่ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา แม้แต่ลมหายใจเข้าออกก็ไม่ใช่ของเรานี้หรือไม่ ? เรายังปรารถนาที่จะเกิดมาในโลก ซึ่งไม่สามารถยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้หรือไม่ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2012 เมื่อ 08:15 |
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เมื่อเราเห็นตรงจุดนี้แล้วว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี สภาพของคนอื่นก็ดี มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ เรากินและนอนอยู่ในกองทุกข์ ไม่มีความสุขแม้แต่วินาทีเดียว และท้ายที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเสาะหามา ก็ไม่มีอะไรหลงเหลือสำหรับเรา แม้แต่ร่างกายนี้ก็เสื่อมสลายตายพังไป สิ่งที่เรารักที่สุด ดูแลอย่างดีที่สุด ยังยึดถือเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ แล้วร่างกายของคนอื่น ร่างกายของสัตว์อื่น วัตถุธาตุอื่น ๆ เราจะไปยึดถือมั่นหมายได้อย่างไร ?
เมื่อเห็นชัดเจนดังนี้แล้ว ก็ให้ถอนจิตของตนเองออกมา จากความใคร่อยากที่จะเกิด อยากที่จะมีร่างกายนี้ อยากที่จะมาอยู่ในโลกนี้เสีย แม้กระทั่งการเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เราก็ไม่ต้องการ เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นแค่พ้นทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าเผลอมาเกิดใหม่ก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์อีก เราปรารถนาแห่งเดียวคือพระนิพพาน ให้ทุกคนเอากำลังใจสุดท้ายเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพพระเอาไว้ ถ้าหากว่าท่านใดสามารถยกจิตขึ้นสู่พระนิพพานเพื่อไปกราบพระข้างบนได้ ก็ให้ยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ท่านที่ไม่สามารถจะยกจิตขึ้นไปได้ ก็ให้เกาะภาพพระ หรือเกาะคำภาวนาของเราเอาไว้ ถ้าลมหายใจเบาลง คำภาวนาหายไป หรือแม้กระทั่งลมหายใจหายไป ก็ให้กำหนดดู กำหนดรู้เอาไว้ อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น และอย่าดิ้นรนให้พ้นจากสภาพอย่างนั้น เราเป็นเพียงผู้ดูอยู่เฉย ๆ เราไม่พึงปรารถนาอะไรอีกแล้วนอกจากพระนิพพาน ให้รักษากำลังใจของเราเอาไว้อย่างนี้ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2012 เมื่อ 08:17 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
สามารถรับชมได้ที่
http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-05-11 ป.ล. - สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้ - ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด ! |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|