#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๐
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ จากปัญหาเมื่อครู่ที่มีญาติโยมถามมานั้น แสดงให้เห็นชัดว่า พวกเราทั้งหลายไม่ได้ทำความดีโดยส่วนเดียว มีการทำความชั่วกับความดีสลับกันไป ท่านที่กระทำความชั่วมานาน เมื่อตั้งใจจะกระทำความดี แรงกรรมต่าง ๆ ก็มาขัดขวาง ทำให้ยากที่จะนึกถึงความดีได้ จึงต้องมีความอดกลั้น อดทน ในการฝึกปรือ เพื่อให้กำลังใจของเราทรงตัวเป็นสมาธิ การที่กำลังใจทรงตัวเป็นสมาธิ ก็ไม่ได้รับประกันว่าเราจะรอดจากอบายภูมิ เพราะว่ากรรมบางอย่างจะมาทำให้เราหลุดจากสมาธิช่วงที่ก่อนจะตาย หวนไปนึกถึงกรรมต่าง ๆ ที่เคยสร้างเอาไว้ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง เป็นต้น การที่เราจะปิดอบายภูมิได้โดยแน่นอนนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ถ้าเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ การเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานจะไม่มีสำหรับเรา แม้เกิดเป็นมนุษย์ ลำบากที่สุดก็แค่ ๗ ชาติ ถ้าอย่างกลางก็ ๓ ชาติ ถ้าหากว่าอย่างที่สุดก็ชาติเดียวเท่านั้น การที่เราจะรักษาอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น อันดับแรกก็คือ ต้องทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2017 เมื่อ 10:33 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
สิ่งนี้ใหม่ ๆ หลายท่านก็จะเกิดความยากลำบาก เพราะว่าการที่เราตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันนั้น ถ้าเข้าถึงได้เราเกือบจะหลุดพ้นจากกระแสกรรมทั้งหมด ดังนั้น...กรรมทั้งหลายจึงมาขวางเราอย่างเต็มที่ ทำให้เราคิดปรามาสพระรัตนตรัย พูดปรามาสพระรัตนตรัย หรือกระทำปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว
ถ้าหากว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านั้นเกิดขึ้น อย่ามัวแต่ไปเศร้าหมองอยู่ ให้เราตั้งอกตั้งใจกราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วรักษากำลังใจของเราใหม่ รักษากำลังใจได้ไม่กี่นาทีก็คิดปรามาสพระรัตนตรัยอีก มีญาติโยมตลอดจนกระทั่งพระรุ่นน้องหลายราย มาปรึกษาว่าตนเองภาวนาจับภาพพระอยู่ดี ๆ ก็เกิดคิดปรามาสพระรัตนตรัย เอาเท้าลูบหน้าพระที่นึกถึงนั้นเสียเฉย ๆ...! อาตมาก็แนะนำว่าให้ตั้งใจกราบขอขมาพระ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความต้องการของเรา หากแต่เป็นการชักจูงของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม จึงทำให้เรามีกาย มีวาจา มีใจที่ไปคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วลักษณะอย่างนั้น การที่เขาดลจิตดลใจให้เราทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็เพื่อให้เราเศร้าหมองหรือว่าโกรธแค้น กำลังใจจะได้ไม่เกาะความดี ถ้าหากว่าเราไม่ใส่ใจในสิ่งที่เขาทั้งหลายกระทำ ตั้งหน้าตั้งตาขอขมาพระรัตนตรัยไว้เสมอ ๆ ถ้าเขาเห็นว่ากวนให้เราขุ่นไม่ได้ กวนให้เราฟุ้งซ่านไม่ได้ เขาก็จะเลิกไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2017 เมื่อ 10:35 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ประการที่สอง คือ พยายามรักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล
ในจุดนี้สำหรับท่านที่โดนอกุศลกรรมขัดขวางก็คือ จะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่มายั่วยุให้เราฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์โดยเจตนา ให้เราลักขโมยหรือหยิบฉวยสิ่งของต่าง ๆ ที่เราอยากได้โดยไม่บอกกล่าวต่อเจ้าของ ให้เราล่วงละเมิดคนที่เขารัก ของที่เขารัก บางท่านอยู่ ๆ ก็มีเพศตรงข้ามเข้ามาเอง วิ่งมาหาเองเพื่อเป็นการทดสอบกำลังใจ เป็นต้น บางทีก็ทำให้เราต้องเป็นคนโกหกหลอกลวงคนอื่นเขา หรือว่าเพื่อนฝูงมาชักชวนให้ดื่มสุราเมรัย เราเองไม่อาจจะทนแรงยั่วยุของเพื่อนฝูงได้ก็ละเมิดศีลไป สิ่งทั้งหลายนี้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาศีลให้ได้ โดยตั้งกำลังใจในลักษณะที่ว่า "ตัวตายดีกว่าศีลขาด" ถ้าเราสามารถทำได้เด็ดขาดเช่นนั้นจริง ๆ สิ่งที่คนอื่นเขาตำหนิ เขาว่ากล่าวเรามา ก็เป็นเพียงแค่ลมผ่านหูเท่านั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจ หรือว่าคำพูดของคนชั่ว ไม่สามารถยกขึ้นมาเป็นประมาณได้ เราจะทำตามเฉพาะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือองค์หลวงปู่หลวงพ่อสอนเรามาเท่านั้น ถ้ากำลังใจของเรามั่นคงได้ขนาดนี้ เราก็สามารถที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2017 เมื่อ 15:53 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
แต่ก็ยังมีการยั่ว การแหย่ ในลักษณะที่ให้เราเป็นคนยุยงให้ผู้อื่นละเมิดศีล ถ้าเราสามารถระมัดระวังเอาไว้ได้ ก็จะมีการยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีลอีก ดังนั้น...ในเรื่องของศีลจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ในลักษณะของการทุ่มเทชีวิตลงไปเพื่อแลกกัน
ส่วนข้อสุดท้ายคือ ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าหากว่าตายลงไปเมื่อไร เราขอมีพระนิพพานเป็นที่ไปเพียงที่เดียวเท่านั้น ถ้าใครสามารถรักษากฎเกณฑ์กติกาเหล่านี้ไว้ได้โดยไม่มีความหนักใจ ก็เท่ากับว่าก้าวเข้าสู่เกณฑ์ของความเป็นพระโสดาบัน ถ้ากำลังใจหนักแน่นมั่นคง เราก็จะปิดอบายภูมิได้จริง ๆ สำหรับท่านที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันแล้ว ในระหว่างที่เรากระทำอยู่ ก็ยังมีสิ่งยั่วยุต่าง ๆ ที่จะให้เราละเมิดศีลอยู่เสมอ เราจึงจำเป็นต้องสร้างสมาธิของเราให้หนักแน่น ให้เข้มข้น ให้เข้มแข็ง เพื่อที่จะได้มีกำลัง ในการระงับยับยั้งตนเองไม่ให้ไปละเมิดศีลได้ ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๐ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2017 เมื่อ 15:55 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|