กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 18-07-2021, 20:23
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,599
ได้ให้อนุโมทนา: 219,376
ได้รับอนุโมทนา 766,675 ครั้ง ใน 37,529 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-07-2021, 01:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ งานหลักของวันนี้เลยก็คือ เข้าประชุมเสวนาออนไลน์ร่วมกับศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เนื่องในวันบูรพาจารย์

แต่คราวนี้การประชุมค่อนข้างจะโหดมาก ก็คือเริ่มตั้งแต่เที่ยงครึ่งมาเลิกเอาตอน ๖ โมงกับ ๕ นาที ใช้เวลาไป ๕ ชั่วโมง ๓๕ นาที..! แต่ก็ได้รับความรู้มามากมาย เพียงแต่ว่าบุคคลที่จะยืนหยัดจนตลอดรอดฝั่งได้นั้น..หาได้น้อยมาก เพราะว่ากำลังสมาธิไม่เพียงพอ ถ้าหากว่ากำลังสมาธิของเราพอ จะยืนระยะได้นานมาก ตามแต่ความมากน้อยของระดับสมาธิที่เราทำได้

สมัยที่เรียนปริญญาเอก ท่านอาจารย์มหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร. ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ ท่านไม่ค่อยมีเวลา เนื่องจากว่าเป็นช่วงที่เริ่มก่อตั้งสถาบันภาษาที่ท่านเป็นผู้ที่รับผิดชอบ ท่านจึงใช้วิธีนัดเรียนเป็นวัน ๆ ไป ก็คือไม่ได้เข้าเรียนทีหนึ่ง ๒ - ๓ ชั่วโมงเหมือนกับวิชาอื่น แต่ใช้นัดเรียนวันหนึ่ง ๙ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง เป็นต้น

คราวนี้ท่านอาจารย์หรรษา เมื่อมาถึงห้องเรียน สิ่งแรกที่ท่านทำเลยก็คือ บอกกับนิสิตว่า "ขอให้ทุกท่านนั่งกรรมฐาน ๒๐ นาทีครับ" แล้วนิสิตจะนั่งกรรมฐานหรือไม่นั่งก็ตาม ท่านอาจารย์นั่งเองไปแล้ว..! ครบ ๒๐ นาทีท่านก็เริ่มบรรยาย ลากยาวไปเลย เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอกของผม รวมตัวผมด้วยก็ ๒๒ รูป ท้ายสุดจะเหลือแต่ผมกับท่านอาจารย์นั่งดวลเดี่ยวกัน ๒ คน คนอื่นหนีไปซดกาแฟ ไปนั่งคุยกัน เพราะว่ารับไม่ไหว

สิ่งที่เพื่อน ๆ มอบความไว้วางใจให้ก็คือบรรดาแฟล็ชไดรฟ์ แฮนดี้ไดรฟ์ หรือ ธัมป์ไดรฟ์ กองอยู่ข้างตัวผมกองเบ้อเร่อ โดยที่บอกว่า "สรุปเสร็จแล้วช่วยโหลดให้ด้วยนะ..!"

ตรงจุดนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ท่านอาจารย์หรรษานั้นใช้กำลังสมาธิในการที่จะบรรยายทีหนึ่ง ๘ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ส่วนคนฟัง ถ้ากำลังสมาธิไม่พอก็มักจะหมดสภาพตั้งแต่ชั่วโมงที่สองแล้ว จึงเหลือลูกศิษย์อย่างผมกับท่านอาจารย์แค่ ๒ คน ที่นั่งดวลกันตั้งแต่เช้ายันเย็น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-07-2021 เมื่อ 22:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 19-07-2021, 01:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ปัจจุบันของการปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างหนึ่งก็คือ เราจะมีกำลังในการทุ่มเทกับการงานอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าคนอื่นเขา แล้วกำลังเหล่านี้ ถ้าหากว่าคนที่ไม่เข้าใจก็จะว่า "ดื้อ" ทำอะไรประเภทดื้อหัวชนฝา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นความ "มุ่งมั่น" ของใจที่เห็นว่างานยังไม่เสร็จแล้วจะไม่ยอมเลิก

ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครทำได้ก็จะอยู่ในลักษณะนี้ ก็คืองานอะไรที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ๆ ติดต่อกัน เราสามารถใช้กำลังสมาธิเข้าไปทำให้งานนั้นออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แต่ถ้าหากท่านที่ไม่มีความคล่องตัว เมื่อทุ่มไปอย่างนั้นแล้ว พอเลิกงานส่วนใหญ่ก็หมดสภาพ..แผ่หราไปเลย เหมือนอย่างกับว่าเอาต้นทุนทั้งหมดที่ตนเองมีมาทุ่มกับงานตรงนั้น จึงต้องพยายามฝึกฝนให้สามารถเข้าออก และทรงสมาธิได้ตามที่ตนเองต้องการ ถึงจะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง

สำหรับวันนี้ อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูด ก็คือพวกเราที่ลากลับบ้าน ก็เริ่มทยอยกันกลับมา คราวนี้หลายท่านอาจจะทราบแล้วว่า ผมบวชมา ๓๐ กว่าปี เคยกลับบ้านจริง ๆ แค่ครั้งเดียว ก็คือหลังจากที่บวช ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๙ จนกระทั่งหลังรับกฐิน ช่วยงานวัดของปีนั้นเสร็จแล้ว ถึงได้ลาหลวงพ่อวัดท่าซุงกลับบ้าน ลาเต็มโควตาเลย ก็คือที่วัดท่าซุงนั้น ถ้าหากว่าจะลา ท่านให้ลาได้เดือนละไม่เกิน ๑๐ วัน แต่ถ้าไม่ได้ไป ๒ เดือนติดกัน ท่านให้ลาได้ไม่เกิน ๑๕ วัน

จนกระทั่งตอนหลังกระผม/อาตมภาพ ลาไปดูแลหลวงปู่มหาอำพันต่อเนื่องกัน ๔๕ วัน..! ทางคณะกรรมการสงฆ์กำหนดโทษลงมาว่าให้ไล่ออก..! หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาแทงหนังสือตอบลงมาว่า "การไปดูแลครูบาอาจารย์ถือว่าเป็นความกตัญญู เพราะฉะนั้น..ให้งดโทษไล่ออก แต่ให้ตัดวันลาลงเหลือไม่
เกินครั้งละ ๗ วันเท่านั้น"

ครั้งแรกที่ลา เนื่องจากว่าตัวผมเองไปเป็นนาคอยู่ที่วัดท่าซุงตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ได้กลับบ้านอีกทีก็ปลายเดือนพฤศจิกายน เมื่อกลับไปถึงปรากฏว่า มีความรู้สึกบอกตัวเองอย่างชัดเจนว่า "บ้านไม่ใช่ของเราแล้ว" ไม่สามารถที่จะทนนั่งอยู่ในบ้านได้..ร้อนไปหมด..! ทนอยู่ได้ประมาณ ๑๕ นาทีก็ต้องบอกลาญาติโยม แล้วไปขออนุญาตพักอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทราวาสแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2021 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 19-07-2021, 01:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ผมเป็นคนช่างสังเกตกำลังใจตัวเองถึงได้รู้ว่า การที่เราอยู่ในวัดเหมือนอย่างกับอยู่ในเขตปลอดภัย หลุดออกจากวัดไปเมื่อไรก็ฟุ้งซ่านเมื่อนั้น โดยเฉพาะเมื่อกลับบ้าน ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมที่บ้านมักจะนำสารพันปัญหามายัดใส่หูเรา ซึ่งก็เท่ากับยัดใส่หัวเรา แล้วก็ลงไปที่ใจของเรา จากความสงบที่เรามีอยู่ตอนอยู่วัด ก็จะกลายเป็นฟุ้งซ่านไปหมด..!

โดยเฉพาะท่านที่มีครอบครัว มีลูกมีเมียมาก่อนบวช ยิ่งหนักหนาสาหัส ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มั่นคงจริง ๆ มักจะอยู่ไม่ได้ ตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็หลวงพ่อพระสุทินนกลันทบุตรกับหลวงพ่อพระรัฐบาลเถระ สมัยพุทธกาลทั้งคู่

หลวงพ่อรัฐบาลเถระ พอทางบ้านรู้เข้าก็นำเอาบรรดาภรรยาเก่าแต่งตัวอย่างงดงาม พร้อมกับสมบัติกองเป็นภูเขาเลากาเอาไว้ตรงหน้าของท่าน แล้วพ่อแม่มาขอร้องให้สึกกลับไป เพื่อที่จะอยู่กับครอบครัวและใช้สมบัตินั้นต่อ แต่หลวงพ่อรัฐบาลเถระท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ บอกว่าถ้ามีมากนักก็แจกให้กับคนจนไปบ้าง..!

ส่วนหลวงพ่อพระสุทินนกลันทบุตร ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ตอนช่วงนั้นยังไม่มีการบัญญัติศีลพระแม้แต่ข้อเดียว ท่านเองก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ประเทศอินเดียสมัยนั้นมีค่านิยมว่า ถ้าไม่มีลูกชายมารับสืบทอดมรดก ทรัพย์สินทั้งหมดจะโดนยึดเข้าคลังหลวง..!

ในเมื่อหลวงพ่อพระสุทินนกลันทบุตรไม่ยอมสึก ทางพ่อแม่ก็เลยพาภรรยาเก่ามาให้ บอกว่า "ถ้าคุณไม่สึกไม่เป็นไรหรอก ขอลูกชายเอาไว้สักคนหนึ่งจะได้มาดูแลสมบัติแทน" ในเมื่อไม่มีศีลห้ามไว้ หลวงพ่อสุทินน์คิดว่าไม่เป็นไร เพราะว่าท่านเองยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็เลยเสพเมถุนกับเมียเก่าจนกระทั่งมีลูกชายขึ้นมา

หลังจากนี้ท่านมาคิดว่า "ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ไม่ควรที่จะกระทำเรื่องอย่างนี้" ก็เลยเกิดใจเศร้าหมอง คิดมากจนเครียด เพื่อนพระมาสอบถาม
พอรู้ความเข้า ก็ประณามด่าว่าท่าน พระพุทธเจ้าต้องประชุมสงฆ์สอบถามสาเหตุ แล้วมีบัญญัติว่า "พระภิกษุห้ามเสพเมถุน (ก็คือมีเมีย) ถ้าใครเสพเมถุนต้องอาบัติปาราชิก (คือขาดความเป็นภิกษุไปเลย)" ส่วนหลวงพ่อพระสุทินน์ท่านเป็นต้นบัญญัติ ได้รับการยกเว้น ประมาณว่ายังไม่มีกฎหมาย ทำไปก็ไม่ผิด แต่หลังจากที่บัญญัติกฎหมายแล้ว ใครทำอีกก็จะผิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2021 เมื่อ 02:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 19-07-2021, 01:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายลากลับบ้าน ขอให้สังเกตว่า เมื่อเรากลับมาวัดแล้ว ยังฟุ้งซ่านถึงเรื่องที่เราลาไปอีกกี่วัน ? กว่าที่จะสามารถทำใจของตัวเองให้สงบได้เหมือนตอนที่ก่อนออกจากวัด แล้วท่านก็จะรู้ว่า จริง ๆ แล้วเราเองอยู่ในที่ปลอดภัยแท้ ๆ กลับยื่นหัวออกไปให้กิเลสตีกบาลเอง..!

เพราะว่าเรื่องทั้งหมดที่ระดมเข้ามา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ล้วนแล้วแต่ทำให้เราสูญเสียกำลังที่จะเก็บเอาไว้ใช้ต่อต้านกิเลส ก็คือตาเห็นรูป ไปยินดีด้วย เมื่อฟุ้งซ่านไปกำลังก็รั่วไปแล้ว หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ก็ลักษณะเดียวกัน ก็เลยทำให้เราไม่ว่าจะปฏิบัติสมาธิภาวนามานานเท่าไร ก็ไม่เกิดมรรคเกิดผล เพราะว่ากำลังที่ควรจะรวบรวมเอาไว้ให้เพียงพอในการตัดกิเลสมักจะรั่วไหลไปหมด ประมาณพวก "กระเฌอก้นรั่ว" ก็คือเอาอะไรใส่ลงไปก็รั่วหายหมด ต่อให้ขยันขนาดไหนก็ตาม ปฏิบัติกรรมฐานมามากแค่ไหนก็ตาม ก็จะรั่วหมดทุกครั้ง และเป็นการรั่วที่น่าสงสารมาก เพราะว่าเราทำรั่วเอง..!

การที่เราบวชเข้ามา เขาเรียกว่า อนาคาริกะ คือผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน แทนที่เราจะฉวยโอกาสซึ่งได้ปลีกวิเวก รีบบำเพ็ญใน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อให้มีกำลังเพียงพอในการตัดกิเลส เราก็ทำบ้าง ลากลับบ้านบ้าง เพื่อที่จะไปเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ ตามที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บัญชาให้

บางท่านอยู่วัดก็ยังรู้สึกละอายแก่ใจ พยายามที่จะระงับยับยั้งไม่ให้ตนกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่พอลากลับบ้านไป บางคนก็เล่นเกมได้ทั้งวัน บางคนก็ดูหนังฟังเพลงตามใจตัวเอง ก็เลยทำให้กำลังที่เราสั่งสมไว้ไม่เพียงพอที่จะใช้ในการตัดกิเลส
สักที เมื่อถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง ตีเข้า เราก็เดือดร้อน กลายเป็นแส่หาเรื่องให้ตัวโดยใช่เหตุ..!

แต่ว่าเรื่องพวกนี้ก็แล้วต้องแต่ท่านทั้งหลาย เพราะว่าถ้าเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกา อยู่วัดครบ ๑ เดือนก็สามารถลาได้ ๗ วัน ถ้าอยู่ครบ ๒ เดือน ก็ลาได้ ๑๕ วัน เพียงแต่วันไปก็นับ วันกลับก็คิด จึงต้องบอกว่า ต้องรู้จักรักษาตัวกันเอง
หลังจากที่เข้าวัดมาแล้ว ต้องพยายามชำระใจของเราให้หมดความฟุ้งซ่านให้เร็วที่สุด อย่างน้อย ๆ จะได้มีเวลาที่จิตใจของเราร่มเย็นเป็นสุขบ้าง ไม่ใช่ไปเอาไฟมาเผาตัวเองอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวัน..!

สำหรับวันนี้ เรื่องที่กล่าวมาส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องพระภิกษุสามเณรของเรา ญาติโยมอาจจะได้รับประโยชน์น้อยไปนิดหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าผู้ใดที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ ก็ขอให้ระมัดระวังไว้ว่า สิ่งหนึ่งประการใดที่เราทำแล้ว ถ้าหากว่าทำให้กำลังการปฏิบัติธรรมของเรารั่วไหลเพราะความฟุ้งซ่านของใจ ก็ขอให้งด ลด ละ จนกระทั่งเลิกไปได้ ก็จะเป็นคุณแก่ตนเองเป็นอย่างยิ่ง

ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมไว้แต่เพียงเท่านี้..ขอเจริญพร


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2021 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว