#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ตั้งแต่ตี ๔ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน ก็เอารถไปส่งกระผม/อาตมภาพที่สนามบินนานาชาติดอนเมือง เพื่อที่จะเดินทางลงไปสงเคราะห์ญาติโยมที่จังหวัดภูเก็ต การเช็คอินในระยะนี้สะดวกสบายขึ้นมาก เพราะว่าแค่ส่งบัตรประชาชนให้ ทางด้านเจ้าหน้าที่ของสายการบินก็ออกตั๋วที่นั่งให้เรียบร้อย
เมื่อเข้าไปถึงทางด้านในแล้ว กระผม/อาตมภาพต้องไปนั่งอ่านหนังสือ รอเวลาขึ้นเครื่องประมาณ ๑ ชั่วโมง ปรากฏว่าเมื่อขึ้นเครื่องและออกเดินทางแล้ว ถึงได้ทราบว่า เดี๋ยวนี้ทางสายการบินไม่มีการแจกอาหารเช้าหรือน้ำดื่มใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นการเดินทางช่วงเช้า ไม่เกิน ๙ โมง จะมีการแจกอาหารให้ด้วย ก็พยายามเข้าใจว่าเป็นการลดรายจ่ายอย่างหนึ่ง แต่ว่าทำให้กระผม/อาตมภาพต้องนั่งอมลิ้นไปจนกระทั่งถึงสนามบินภูเก็ต ซึ่งกำลังชุ่มโชกไปด้วยน้ำฝน โดยกัปตันกฤษณะพล นำเครื่องลงก่อนเวลา ๑๓ นาที ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ภูเก็ตมีฝนตก เนื่องจากว่าในระยะอาทิตย์ก่อนที่ผ่านมา ภูเก็ตติดอันดับจังหวัดที่ร้อนที่สุดของภาคใต้ เมื่อมีฝนมา ก็ทำให้ทุกอย่างเย็นลง ท่านอาจารย์หนึ่ง (อาจารย์สุรศักดิ์ ทศกาญจน์ ) พร้อมด้วยเพื่อน คือทิดรัตน์ (นายรัตน์ เพื่อนรักษ์) อดีตนักบิณฯ ประจำวัดท่าขนุนนำรถมารับ ขับหนีรถติด อ้อมออกมาทางเส้นทางลัดริมทะเล แต่เมื่อหลุดเข้ามาในตัวเมือง บริเวณอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร ก็ติดอีรุงตุงนังเหมือนเดิม ภูเก็ตของเรานั้น ความเจริญต้องบอกว่าถึงขีดสุดแล้ว ไม่สามารถที่จะขยายอะไรให้มากไปกว่านี้ แต่ว่ามีบุคคลผู้เข้ามาทำมาหากินก็ดี ท่องเที่ยวก็ดี ในแต่ละปีมีแต่จะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อไปถึงบ้านเลขที่ ๙๑ ถนนเยาวราช ๑ ซึ่งต้องขออภัยที่ลงข้อมูลผิดในเฟซบุ๊กว่าเป็นบ้านเลขที่ ๙๘ ทางด้านคุณสหัสชัย - คุณวนิดา ทศกาญจน์ เจ้าของบ้านก็มาต้อนรับ กระผม/อาตมภาพต้องรับสังฆทานและสนทนากับญาติโยมอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะขอตัวตอนประมาณ ๑๐ โมงขึ้นไปพักชั่วคราวทางด้านบน แล้วค่อยลงมาฉันเพล จากนั้นหลังเพลก็ลุยกันยาวตั้งแต่ประมาณเที่ยงครึ่งจนถึง ๔ โมงครึ่ง แล้วมาหยุดสรงน้ำ และบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ในขณะนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2023 เมื่อ 04:22 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
กระผม/อาตมภาพไม่ได้ลงภูเก็ตมาประมาณ ๓ ปี เนื่องเพราะว่าเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาด แม้ว่าจะมาครั้งนี้ก็ยังต้องใส่หน้ากากอยู่ดี เพราะว่าตอนช่วงที่ไปแคชเมียร์ - เลห์ - ลาดัก ได้ใช้ออกซิเจนถังเดียวกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ในคณะ เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย ไอ้ตัวเล็กที่มาส่งงานก็ดันติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อีก..! กระผม/อาตมภาพกลายเป็นผู้เสี่ยงสูง จึงต้องป้องกันญาติโยมด้วยการใส่หน้ากากดีกว่า แม้ว่าตลอดระยะการระบาด ๘ ระลอกที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพถึงจะอยู่ปฐมพยาบาลดูแลผู้ป่วย ก็ไม่ได้ติดเชื้อกับใคร เรียกว่าป้องกันไว้ก่อน ด้วยความไม่ประมาท
แต่ว่าจากที่ได้นั่งสนทนากับญาติโยมที่มีคำถามต่าง ๆ แล้วก็รู้สึกเสียดาย ที่ว่ารู้สึกเสียดายก็คือแต่ละคนถามคำถามที่ไม่น่าถาม เพราะว่าเป็นเรื่องนอกทุ่งนอกท่า ไกลจนเกินไป อย่างเช่นสถานการณ์บ้านเมือง สถานการณ์โลก ฯลฯ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราควรที่จะให้ความสนใจให้น้อยที่สุด เนื่องเพราะว่าเราทั้งหลายเป็นผู้เริ่มในการปฏิบัติธรรม บุคคลที่เริ่มปฏิบัติธรรมนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสั่งสมกำลังของตนเองให้เพียงพอ เพื่อที่อันดับแรก จะได้มีกำลังพอที่จะกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้นิ่งสนิทลงชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นจะได้อาศัยกำลังนี้ในการพิจารณา ตัด ละ สิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะถ้ากำลังไม่พอ ก็ไม่สามารถที่จะตัด ละ และก้าวข้ามไปได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายก็มักจะอยู่ในลักษณะของบุคคลที่ฟุ้งซ่าน ไปสนใจเรื่องภายนอก ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส สนใจทุกอย่าง สนใจทุกเรื่อง ยกเว้นการรักษาใจตนเอง จึงทำให้กำลังในการปฏิบัติของเรานั้นรั่วไหลไปหมด ทำเท่าไรก็ไม่เพียงพอที่จะกดกิเลสให้นิ่งสงบ ทำเท่าไรก็ไม่เพียงพอที่จะ ลด ละ เลิก กิเลสต่าง ๆ ลงไปได้..! แต่เราท่านทั้งหลายก็มักจะอยู่ในลักษณะของคนที่ "คัน" ในเมื่อคันก็ต้องเกา แต่ว่าเกาไปแล้วจะถลอกปอกเปิก ได้รับบาดเจ็บ แสบร้อนตนเองอย่างไรนั้นไม่ค่อยคำนึงถึง ทำให้กระผม/อาตมภาพเสียดายมากว่า เมื่อท่านทั้งหลายมีเวลาควรที่จะทุ่มเทกับการภาวนา รักษาอารมณ์ใจให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2023 เมื่อ 04:24 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อเราทั้งหลายตั้งเป้าไว้ว่า "ปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้" ก็เปรียบเหมือนกับว่าเราต้องการจะซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง ตีเสียว่าราคารถยนต์ในปัจจุบันระดับที่ใช้งานได้ อยู่ที่ราคาคันละหนึ่งล้านบาท ท่านทั้งหลายพอเก็บเงินได้สองหมื่น สามหมื่น ก็เที่ยวไปซื้อโน่นซื้อนี่ ให้ตา ให้หู ให้จมูก ให้ลิ้น ให้กาย ให้ใจเสียหมด แล้วเมื่อไรถึงจะมีเงินเพียงพอที่จะซื้อรถตามที่เราต้องการ ?
การปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้นของท่านทั้งหลายก็เช่นกัน อันดับแรกเลย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเจริญจิตภาวนา สั่งสมกำลังให้มากพอ เพื่อที่จะได้กด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว เราจะได้ไม่ส่งส่าย ไม่วุ่นวายมาก ทำให้มีสติ รู้จักคิด พิจารณาให้เห็นความเป็นจริง ตามแต่วาสนาบารมีที่สั่งสมมา ถ้าหากว่าของเดิมทำเอาไว้มาก ก็สามารถที่ จะลด จะละ จะเลิก รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ลงไปได้มากน้อยตามแต่ตนเองได้ทำมา แต่ว่าทุกคนกลับอยู่ในลักษณะของบุคคลที่ฟุ้งซ่าน อยากรู้ทุกเรื่อง สนใจไปทุกเรื่อง ซึ่งถ้าหากว่าผิดท่าผิดทางในลักษณะนอกทุ่งนอกท่ามา หลายท่านก็จะโดนกระผม/อาตมภาพด่าไปตรง ๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้น "เข็ดแล้ว" กับเรื่องของการให้ความสนใจกับเรื่องนอกตน ไม่ฟุ้งซ่านไปในอดีต ก็ฟุ้งซ่านไปในอนาคต แล้วทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง กำเริบ เกิดอาการจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก ครั้งแล้วครั้งเล่า บางทีวันหนึ่งก็ตกแล้วตกอีกเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง..! แต่ด้วยความที่ท่านทั้งหลายยังคันอยู่ ยังไม่เข็ด ก็ทำให้ท่านทั้งหลายยังไม่รักษากำลังที่เราภาวนาเอาไว้ พยายามที่จะปล่อยให้รั่วเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าไปสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งหลายเหล่านั้น กระผม/อาตมภาพยืนยันว่า ถ้าเป็นปัญหาในการปฏิบัติธรรม แล้วท่านทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป จะได้คำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่ทำ เอาแต่ถาม นั่นไม่ใช่วิสัยของนักปฏิบัติธรรมที่ดี เพราะว่าการถามของท่านนั้น เมื่อได้รับคำตอบไปก็เกิดความฟุ้งซ่าน อยากมี อยากได้ อยากเป็น อย่างที่กระผม/อาตมภาพตอบไป ในเมื่อเอาความอยากนำหน้า ก็คือเอากิเลสนำหน้า เอาตัณหานำทาง แล้วการปฏิบัติธรรมของท่านทั้งหลายจะประสบความสำเร็จนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ต้องหวัง เพราะว่าเราฟุ้งซ่านนำหน้าไปก่อน จิตของเราไม่สงบพอ แล้วเราจะเอากำลังที่ไหนไปต่อสู้กับกิเลสได้ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2023 เมื่อ 04:27 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ท่านทั้งหลายซึ่งประสบภาวะที่ปฏิบัติธรรมมาเป็นปี หลายปี หรือว่าหลายสิบปี แต่เอาดีไม่ได้เสียที ต้องรู้จักพินิจพิจารณาในตรงนี้ด้วย ว่าตัวเราเองทำแล้วเอาไปถวายกิเลสจนหมดหรือเปล่า ? อย่างเช่นว่านั่งภาวนาครึ่งชั่วโมง แต่ไปเขี่ยไลน์ไปส่องเฟซฯ เสียสองชั่วโมง แล้วจะเหลือกำลังที่ไหนมาสู้กิเลส ?
ดังนั้น..นักปฏิบัติที่หวังความดีจริง ๆ ในระยะแรก พึงปลีกตัวออกจากหมู่ ตัดการสื่อสารจากโลกภายนอกไปได้เลยยิ่งดี ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตน จนกระทั่งกำลังใจมั่นคงแล้ว ค่อยออกมาทดสอบ ชนกับกิเลสข้างนอก ถ้าหากว่าพังก็ปลีกตัวไปปฏิบัติใหม่ แล้วก็ออกมาทดสอบดูใหม่ จนกระทั่งเรามั่นคงพอที่จะไม่พังง่าย ๆ หลังจากนั้นแล้วกำลังของท่านทั้งหลายก็จะเพียงพอจากด้านของสมถภาวนา ก็ให้ก้าวเข้าไปหาวิปัสสนาภาวนา พยายามพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร จนกระทั่งเห็นชัดเจน สภาพจิตยอมรับ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความปรารถนาในร่างกายนี้ เมื่อหมดความปรารถนาในร่างกายตัวเอง ก็หมดความปรารถนาในร่างกายคนอื่น หมดความปรารถนาที่อยากจะมาเกิดในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนแห่งนี้ ถ้าอย่างนั้น ท่านก็จะค่อย ๆ ถอนจิตของตนออกมาจากบ่วงกิเลส เข้าถึงมรรคถึงผล มากน้อยตามกำลังที่ตนเองกระทำมา สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2023 เมื่อ 04:28 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|