กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-06-2013, 09:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,735 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖

ขอให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนเอง อย่าลืมตั้งกายให้ตรง กำหนดสติของเราให้อยู่เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนวันที่สองของพวกเรา ในการปฏิบัติธรรมของพวกเรานั้น ส่วนที่สำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนเลยก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เราจึงต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ให้ดูว่าวันนี้มีศีลข้อใดของเราบกพร่องบ้าง ถ้าพบเห็นความบกพร่องก็แล้วให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์

หลังจากนั้นก็ดูลมหายใจเข้าออกของเราพร้อมกับคำภาวนา การภาวนานั้น..เราอย่าไปบังคับลมหายใจของตน ให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ แค่เอาความรู้สึกแนบชิดติดกับลมหายใจเข้าไป แนบชิดติดกับลมหายใจออกมาเท่านั้น ยกเว้นบางท่านที่มีความเคยชินกับสมาธิแล้ว เมื่อเริ่มนึกถึงลมหายใจ สภาพจิตก็จะก้าวข้ามไปสู่ระดับสมาธิที่ตนเองเคยชิน จะทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าบังคับลมหายใจของตน

เมื่อดูลมหายใจของเรา จนกระทั่งสภาพจิตทรงตัวเต็มที่สูงสุดเท่าที่เราทำได้ สภาพจิตก็ไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ จะค่อย ๆ คลายออกมาสู่อารมณ์ปกติโดยอัตโนมัติ ตรงจุดนี้เราต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา พิจารณาให้เห็นร่างกายของเราว่ามีความไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร เพื่อให้จิตของเราเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้

สำหรับพวกเราทั้งหลายในยุคนี้ ต้องบอกว่าการที่จะถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายยากกว่าคนยุคก่อนมากเหลือเกิน เมื่อประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมา อาตมภาพฝันกลางวันว่าได้พบเพื่อนเก่า เห็นตนเองกำลังเดินทางอยู่ เพื่อนเก่ามานั่งอยู่ข้าง ๆ แสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจ บอกว่า "สงสารท่านเหลือเกิน ในสิ่งที่ท่านพยายามจะสั่งสอนคนในปัจจุบันนี้ ไม่ง่ายเหมือนสมัยที่ท่านปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อของท่านหรอกนะ ในสมัยนั้นหลวงพ่อของท่านบอกว่า ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวมีแค่ขันธ์ ๕ ถ้าแต่งงานมีสามีหรือภรรยาก็มีขันธ์ ๑๐ ถ้าหากมีลูกคนที่ ๑ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๑๕ มีคนที่ ๒ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๒๐ แต่ในสมัยนี้ต่อให้พวกเขาอยู่ตัวคนเดียว ผมก็เพิ่มให้ไปไม่รู้กี่ขันธ์ต่อกี่ขันธ์แล้ว"

ก็เลยถามเพื่อนเก่าไปว่า "มีอะไรบ้างที่คุณเพิ่มมา ? พอบอกได้ไหม ?" เขาบอกว่า "บอกได้ บอกไปเขาก็ไม่สามารถที่จะตัดจะละได้" ก็ถามว่ามีอะไรบ้าง ? เขาบอกว่า มี website , มี e-mail , มี facebook , มี skype , มี instragram พวกนี้เป็นต้น username หนึ่งก็คือตัวตนหนึ่งของเรา ก็แปลว่าถ้าเรามีสิ่งทั้งหลายนี้ใช้งานอยู่อย่างหนึ่ง เราก็เพิ่มขันธ์มาอีก ๕ สองอย่างเราก็เพิ่มขันธ์มาเป็น ๑๐ เพราะเราไปยึดว่านั่นเป็นเราเป็นของเรา..!

ถ้าผู้อื่นมาโพสต์ข้อความที่ไม่ถูกต้องไม่ถูกใจ เราก็โกรธเขา ถ้าโพสต์ข้อความที่เห็นด้วยเราก็พลอยดีใจ ก็แปลว่ามีสภาพความยินดียินร้ายเช่นเดียวกับตัวตนของตนเอง การขึ้น status ครั้งหนึ่งก็ดี การโพสต์ข้อความครั้งหนึ่งก็ดี การกด like ครั้งหนี่งก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงออกถึงตัวตนของเราทั้งสิ้น
ดังนั้น..เพื่อนเก่าถึงได้บอกว่า "ผมไม่ได้ห่วงไม่ได้กังวลเลยว่าท่านจะเอาคนหลุดพ้นไปได้ เพราะกว่าท่านจะงุ่มง่ามตามมาทัน ผมก็ครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2013 เมื่อ 18:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-06-2013, 19:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,735 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นว่า ในการที่เราจะตัดละกิเลสนั้น สำคัญที่สุดคือเริ่มที่การตัดสักกายทิฏฐิ คราวนี้สักกายทิฏฐิหรือความเป็นตัวเป็นตนของเราที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้น ในปัจจุบันเรามีสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นเยอะมาก ก็ต้องบอกว่าความทันสมัยของเทคโนโลยีทำให้เราสร้างตัวตนเสมือนขึ้นมา แต่ไปยึดถือเป็นตัวตนจริง ๆ มากต่อมากด้วยกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวถ่วงให้เราตัด ให้เราละได้ยากพอ ๆ กับการมีครอบครัว

บางคนในชีวิตแทบจะอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะบริหารตัวตนต่าง ๆ ที่ตนเองสร้างเอาไว้ในโลกเสมือน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เองที่เพื่อนเก่าเขาบอกว่า เอามาครอบงำพวกเราเอาไว้มากขึ้น ๆ ทุกวัน ยิ่งคนรุ่นใหม่ ๆ ยิ่งโดนครอบงำได้ง่าย แต่อาตมาเองไม่ได้หนักใจเพราะไม่ว่าสิ่งที่เขานำมาครอบงำจะเป็นอะไรก็ตาม ศีล สมาธิและปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำสั่งสอนไว้นั้น เหลือเฟือเกินพอที่จะต่อสู้และต่อต้าน ยิ่งมาบอกข้อสอบแบบนี้ล่วงหน้าก็ยิ่งต่อต้านได้ง่ายขึ้น

เนื่องจากว่าการที่เราจะตัดละตัวตนของเราก็ดี สิ่งรอบข้างของเราก็ดี ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ง่ายมาก การตัดละตัวตนของเราในระดับต้นนั้น ในระดับของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี เราแค่รู้สึกตัวว่าเราต้องตายอยู่เสมอก็เพียงพอแล้ว เพราะการรู้สึกตัวว่าต้องตายอยู่เสมอ ทำให้เราไม่ประมาท ทำให้เราต้องเร่งหาทางคิดว่า ตายแล้วเราจะไปไหน จะไปทั้งทีก็ขอให้พ้นทุกข์โดยถาวร ไม่ใช่พ้นทุกข์โดยชั่วคราว การตัดละในระดับของพระอนาคามีนั้น เราเห็นว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี มีแต่ความสกปรกโสโครก ไม่มีอะไรน่ารักใคร่ใยดีเป็นปกติ ต้องเป็นการตัดละในระดับพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเห็นว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2013 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 30-06-2013, 20:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,735 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..พวกเราไม่มีอะไรที่ต้องหนักใจ อันดับแรกของเราก็ใคร่ครวญถึงความตายไว้เป็นปกติว่า ทุกลมหายใจเข้าออกของเราคือความตายซึ่งสามารถมาเยือนเราได้ตลอดเวลา หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็มาพิจารณาศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไปเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้ามีกำลังใจแน่วแน่มั่นคงอยู่ในลักษณะอย่างนี้ การเป็นพระโสดาบันก็ไม่ใช่ของยากสำหรับเรา เมื่อก้าวเข้ายึดหัวหาดอย่างนี้ได้แล้ว ก็แปลว่าเราสามารถล่วงพ้นอำนาจของมารไปได้ในระดับหนึ่ง ที่เหลือก็อยู่ที่เราว่าจะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นในระดับสูงขึ้นไปหรือไม่

เมื่อเป็นเช่นนั้นจะเห็นได้ว่าการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงแล้วยังคงสามารถที่จะก้าวล่วงกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเมื่อทวนศีลของเราบริสุทธ์แล้ว ก็ทำสมาธิของเราให้เต็มที่เท่าที่ทำได้ เมื่อสมาธิคลายตัวออกมาก็พยายามพิจารณาให้เห็นว่าเรามีความตายเป็นปกติ หรือสภาพร่างกายของเรามีความสกปรกโสโครก ไม่น่ารักใคร่เป็นปกติ หรือพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ เป็นที่อาศัยให้เราทำความดีเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่มีอะไรที่ต้องยึดมั่นถือมั่น

ถ้าท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ได้ บ่วงมารต่าง ๆ ที่พยายามสร้างมาเพื่อครอบงำพวกเรา ก็ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรที่ทำให้เราต้องสะทกสะท้านเลย ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดภาวนาหรือพิจารณาของตนตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2013 เมื่อ 01:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว