กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-11-2014, 19:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,549 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ จะขอกล่าวถึงอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมของพวกเรา อุปสรรคในที่นี้ไม่ได้กล่าวถึงนิวรณ์ต่าง ๆ ไม่ได้กล่าวถึงการละเมิดศีล ไม่ได้กล่าวถึงสังโยชน์ แต่จะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่มาข้องเกี่ยวในชีวิตประจำวันของเรา

เนื่องจากว่าการที่เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการทวนกระแสโลก ถ้าเราทวนกระแสอย่างชัดเจน โดยไม่ใส่ใจสังคมรอบข้างเลย ก็อาจจะสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับคนอื่นเขามาก เนื่องจากว่าวิสัยของคน เมื่อเห็นเข้าแล้วก็มักที่จะอดไม่ได้ ต้องวิพากษ์วิจารณ์ ต้องถากถาง ต้องเยาะเย้ย ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นการแส่หาของผู้อื่น แต่ก็เกิดจากตัวเราเป็นเหตุ

ดังนั้น..ถ้าเรามีความเมตตาต่อผู้อื่น ก็ควรที่จะปิดบังจริยาของตนเอง ลักษณะเดียวกับที่พระซึ่งเข้าถึงความดีแล้ว ต้องปิดบังจริยาของตนเอง ไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองมีความดีอย่างไร การที่เราปิดบังจริยาตนเองนี้ ก็เพื่ออนุเคราะห์ต่อโลก อนุเคราะห์ต่อชนหมู่มาก ที่อาจจะเกิดทุกข์เกิดโทษจากการกระทำของเรา อย่างเช่นว่า ถ้าเรารักษาศีลเป็นปกติ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอวดอ้างกับผู้ใด หรือถ้าออกสังคมแล้วเรารักษาศีล ๘ เมื่อคนถามว่าทำไมไม่กินข้าวเย็น ? เราอาจจะเลี่ยงไปว่า ระยะนี้น้ำหนักขึ้น จึงอดข้าวเย็นสักหน่อยหนึ่ง ก็จะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ง่าย แต่ถ้าเราไปบอกตรง ๆ ว่า รักษาศีล ๘ จึงไม่กินข้าวเย็น วงสังคมรอบข้างจะมองเราเป็นสัตว์ประหลาด นี่เป็นเรื่องของสังคมรอบข้างของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2014 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-11-2014, 19:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,549 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ อุปสรรคในบ้านของตนเอง บุคคลที่เป็นพ่อแม่พี่น้อง โดยเฉพาะสามีหรือภรรยา ถ้าไม่เข้าใจในการปฏิบัติธรรมของเราแล้ว ก็มักจะมีข้อเรียกร้องหรือบีบคั้นต่าง ๆ นานา ที่ทำให้เราต้องละเมิดศีล ละเมิดธรรมเป็นปกติ ทำอย่างไรที่เราจะปรับตนเองให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ โดยที่ทำให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้าให้มากที่สุด เราก็ต้องระมัดระวัง ถนอม กาย วาจา ใจ ของตนเอง ไม่ให้เป็นที่กระทบกระทั่งกับผู้อื่น

ถ้าหากว่าบุคคลรอบข้างของเรา เป็นผู้ที่ยอมรับในการปฏิบัติธรรม ก็อธิบายให้ฟังว่า ตอนนี้เราปฏิบัติไปถึงขั้นไหน ต่อจากนี้ต้องทำอย่างไร ดีกว่าที่ทำแล้วการปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัวผิดแปลกไปจนเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น มักจะเกิดอุปสรรคขัดขวางมากกว่าเกิดประโยชน์ เพราะว่าในเมื่อเราผิดแผกไป ถึงขนาดบางท่านโดนพ่อแม่พาไปโรงพยาบาลเพื่อรักษา หรือบางท่านจับลูกมาไว้ตรงหน้าอาตมา แล้วถามว่าลูกของตนโดนผีเข้าหรือโดนไสยศาสตร์หรือเปล่า? จนกระทั่งอาตมาต้องอธิบายขยายความ ลำบากลำบนแทบตาย กว่าที่พ่อแม่จะยอมรับได้

บางคนลูกหนีไปอยู่วัด เมื่อโทรศัพท์ไปแจ้งพ่อแม่ก็รับไม่ได้ บ้านตนเองมีฐานะดีถึงขนาดเป็นมหาเศรษฐี ทำไมลูกต้องไปตกระกำลำบากอยู่กับวัด เมื่อมาตามลูกก็มาในลักษณะว่าพระหลอกลวงลูกของตน เพราะเห็นว่าตนมีฐานะดีหรือเปล่า ? ซึ่งเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้ มีการเกิดขึ้นมาแล้ว อาตมาเจอมาหลายราย

ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนี้ ถ้าตัวเราซึ่งอยู่ในครอบครัวแบบนี้ จะปฏิบัติธรรม ต้องระมัดระวังอย่าให้โลกช้ำธรรมเสีย อย่าทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างออกไปตามกำลังใจของเราเสียทีเดียว เพราะถ้าเราทำอย่างนั้นแล้ว ผู้เป็นพ่อเป็นแม่พยายามขัดขวางสุดชีวิต เพื่อไม่ให้เราประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการ ต่อไปโทษใหญ่ก็จะเกิดกับพ่อแม่ของเราเอง แต่ถ้าเราจะใช้วิธีนุ่มนวล ก็ใช้แบบปิปผลิมาณพและนางภัททกาปิลานี ทั้งสองคนไม่ได้มีจิตคิดจะแต่งงานหรือครองเรือนเลย แต่ว่าโดนพ่อแม่จับคลุมถุงชนให้แต่งงานกัน

ถึงแม้ว่านอนอยู่เตียงเดียวกัน ก็เอาพวงดอกไม้คั่นกลางเอาไว้ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า รักษาพรหมจรรย์ของตนตามที่อยากจะปฏิบัติธรรมได้อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ ถึงเวลาก็ทำหน้าที่การงานตามปกติ เพียงแต่พ่อแม่ก็สงสัยว่าเมื่อไรจะมีลูกให้ชื่นชมเสียที แต่งมาตั้งนานแล้วทำไมถึงไม่มี อาจจะเข้าใจว่าคนใดคนหนึ่งเป็นหมันไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2014 เมื่อ 19:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-11-2014, 06:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,549 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทั้งสองรอจนกระทั่งพ่อแม่ของฝ่ายปิปผลิมาณพตายหมดแล้ว ปิปผลิมาณพจึงยกสมบัติทั้งหมดให้นางภัททกาปิลานี แล้วแจ้งว่าให้ถือครองสมบัตินี้ ส่วนตนเองจะออกบวช นางภัททกาปิลานีก็แจ้งให้ทราบว่า ตนเองอยากจะออกบวชนานแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งสองสามีภรรยาก็แจกจ่ายทรัพย์สินให้กับคนยากคนจน จนไม่มีเหลือ แล้วอธิษฐานเพศเป็นนักบวช

พระมหากัสสปะเดินไปพบพระพุทธเจ้า ที่ระหว่างทางเมืองนาลันทากับราชคฤห์ ได้ฟังธรรมปฏิบัติจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอัครสาวกผู้ใหญ่ ท้ายสุดได้เป็นผู้นำในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก นางภัททกาปิลานีไปเจอสำนักภิกษุณี เข้าไปขอปฏิบัติธรรม ไม่นานก็บรรลุพระอรหันต์ จัดเป็นภิกษุณีผู้ใหญ่ที่เป็นมหาสาวิกา ๑๓ ท่านแรกที่ได้รับการยกย่อง

เรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรมจริง ต้องรู้จักอดทน อดกลั้น รอเวลาที่เหมาะสมที่สุด แล้วค่อยกระทำบางสิ่งบางอย่าง ที่อาจจะกระทบต่อคนในครอบครัว หรือคนรอบข้างของเรา ต้องเรียกว่าเก็บอาการให้มิดชิดที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วบรรดาท่านที่ปากอยู่ไม่สุข ถากถางผู้ที่ทำความดี ก็จะก่อให้เกิดทุกข์โทษอย่างมากมาย จึงเป็นเรื่องที่ฝากเตือนพวกเราเอาไว้ว่า เราทำความดี ไม่แน่นักว่าผู้อื่นจะเห็นดีด้วย เราจึงต้องระมัดระวัง ต้องมีสติ ต้องรู้ว่าขณะนี้สังคมหรือคนรอบข้างเป็นอย่างไร เรียกว่าต้องมีกาลัญญุตา ก็คือรู้จักกาลเทศะตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เราจึงจะอยู่ในโลกนี้ในลักษณะของผู้ปฏิบัติธรรม โดยที่ไม่ลำบากแก่ตนเองมากนัก

ลำดับต่อไป..ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา



พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-11-2014 เมื่อ 07:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว