|
ซัวสะเดย..เนียงลออ ซัวสะเดย..เนียงลออ โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
ซัวสะเดย..เนียงลออ ตอนที่ ๙
จอมคนแห่งกัมโพชกับบริวารมาลา วันจันทร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ รู้สึกตัวเพราะแสงสว่างส่องเต็มหน้า ลืมตาขึ้นมาเจอจอมคนแห่งกัมโพชทรงเครื่องเต็มยศ สว่างไสวแพรวพราวไปหมด ขาดแต่มหามงกุฎเท่านั้น มาปลุก "หาหอก" อะไรตอนนี้วะ ? "วันนี้พระคุณท่านจะกลับเมืองไทยแล้ว เมื่อวานข้าพเจ้าติดประชุมที่เทวสภา ส่วนวันนี้ก็เป็นวันพระ ไม่มีใครติดตามรับใช้พระคุณท่านได้ เพราะมีภาระเต็มมือด้วยกันทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องไปรวบรวมบัญชีการทำความดีของเหล่ามนุษย์ จึงขอโอกาสมาลาในตอนนี้เลย" เออ..ถ้าอย่างนั้นก็ "โหสิ" ให้ นึกว่าถ้าไม่มีเรื่องสำคัญแล้วมาปลุกแบบนี้ ตูจะงับหูให้เข็ด..! ตั้งใจน้อมเอากุศลทั้งหมดที่เคยทำมาตั้งแต่ต้น อุทิศให้แก่จอมคนแห่งกัมโพชและบริวารทั้งหลาย เสียงสาธุการดังจนน่าตกใจ เมื่อกำหนดใจ "มอง" กว้างออกไป จึงเห็นบรรดาบริวารของจอมคนแห่งกัมโพชนับแสน แห่ห้อมกันสลอนไปหมด เนื่องจาก "เจ้านาย" อยู่ใกล้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงคอยอยู่ห่าง ๆ แต่พอมีบุญให้ก็ไม่มีใครสนใจ "เจ้านาย" แล้ว กูขอรับไว้ก่อน..! อาตมาขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตาสงเคราะห์ อะไรที่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจไป ก็ขอให้เป็นอโหสิกรรมต่อกัน หากมีลูกศิษย์ของอาตมาหลงมาบ้านนี้เมืองนี้ อะไรที่ไม่เกินวิสัยได้โปรดอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้ด้วย ทุกท่านสาธุการอีกครั้ง ก่อนที่จะเลือนลับไปพร้อมกับจอมคนแห่งกัมโพช ถ้าเป็นคนทั่วไปก็น่าใจหายอยู่เหมือนกัน... |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ไปไหนให้นึกถึงพระและครูบาอาจารย์เอาไว้ ห้องกลับมามืดอีกครั้งหนึ่ง แต่อาตมาตาสว่างเสียแล้ว ดูนาฬิกาในกล้องถ่ายรูปเพิ่งจะตีสองเศษ จึงส่งใจไปกราบพระแล้วภาวนาตามปกติ กว่าจะครบชุดก็เกือบตีห้า ลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วสรงน้ำแต่งตัวเลย เพิ่งเดินไปถึงห้องพระแม่ป๋อมก็มาถึงเหมือนกัน กราบพระแล้วคุณแม่เธอนั่งกรรมฐาน ส่วนรอบนี้ของอาตมาเป็นเวลาภาวนาพระคาถาเงินล้าน... หกโมงเช้าคลายสมาธิออกมา กราบพระแล้วแม่ป๋อมชวนคุยเรื่องไปเมืองจีนอีก บอกว่าต้องรีบสุดชีวิต เพราะสิ้นเดือนหน้าป้าปุ๋มจะย้ายจากเมืองจีนไปยุโรปแล้ว อาตมาจึงตกลงใจว่าเดินทางไปเมืองจีนแน่นอน คุณแม่บอกว่าวันนี้ให้ไปถ่ายรูปขนาด ๒ นิ้วครึ่งฉากขาวเอาไว้เลย พอถึงเมืองไทยให้เอารูป พาสปอร์ต พร้อมบัตรประชาชนมา คุณแม่จะไปจัดการเรื่องขอวีซ่าให้... "อาหารเช้ามาแล้วค่ะ" พี่วิไลปีนบันไดจากชั้นลอยขึ้นมาพร้อมกับถาดข้าวต้ม แถมข้าวสวยกับผัดผักมาอีกด้วย อาตมารับประเคนแล้วอวยชัยให้พร จากนั้นนั่งฉันที่โต๊ะในซุ้มนั่งเล่นหน้าที่พักนั่นแหละ วันนี้ไม่ได้ไปเที่ยวไกล จึงฉันแบบสบาย ๆ เสร็จแล้วยกอาหารที่เหลือคืนให้ บอกพี่วิไลว่าถ้าคนขับรถมาแล้ว จะขอออกไปถ่ายรูปหน่อย พี่เขารับทราบแล้วชวนแม่ป๋อมลงไปกินข้าวด้วยกัน อาตมาไปนอนผึ่งพุงภาวนารอให้คนมาเรียก... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2015 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรจึงออกมาท่านี้ เสียงเคาะประตูเรียก อาตมานึกว่าคนมาตามไปถ่ายรูป เปิดออกมาเจอลูกปุ๊กที่เห็นหน้าก็รีบบอกว่า "หนูขอไปเมืองจีนด้วยนะคะ" เฮ้ย..งานนี้นอกจากจะแพงแล้ว ยังไม่รู้ว่าเจ้าภาพมีที่พักให้หรือเปล่า ? ถ้าไม่มีนี่เจอโรงแรมในเซี่ยงไฮ้อย่างถูก ๆ ก็คืนละ ๓ - ๔ พันบาทเชียวนะ "หนูคุยกับป๋อมไว้แล้วค่ะ ป๋อมบอกว่าไปได้ แต่ให้มาขอหลวงพ่อก่อน" สรุปว่ามาแจ้งให้ทราบ ไม่ได้มาขออนุญาต..ว่าอย่างนั้นเถอะ... เรื่องผีถึงป่าช้าแบบนี้อาตมาเบื่อหน่ายที่สุด มักจะไปตกลงกันเรียบร้อยแล้วค่อยมาขออนุญาต ถึงไม่ให้ก็จะไป..แล้วมาขอทำไมวะ ? จึงได้แต่พยักหน้าอนุญาตแบบหมดอารมณ์ คอยดูเถอะ..พอคนอื่นรู้เข้าก็จะไปอีกนั่นแหละ แต่ละคนไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าภาพเขาจะเดือดร้อนแค่ไหน เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดถึงแต่ "ตัวกู..ของกู" ไว้ก่อน คนอื่นจะเป็นอย่างไรไม่ต้องคำนึงถึง... ขี้เกียจจะบ่นจึงหยิบกล้องถ่ายรูปและสมุดบันทึกลงไปข้างล่าง คณะยังไม่ลงมากันเลย ตรงชานหน้าบ้านมีคุณแม่ยังสาวที่น่าจะเป็นคนงาน อุ้มลูกสาวอายุสักขวบกว่ามาด้วย เจ้าตัวเล็กผมหยิกใส่กระโปรงยีนส์ มีเสื้อกั๊กตัวจิ๋วสีชมพูด้วย หน้าตาน่ารักทีเดียว อาตมาขอ "ถอดรูป" หน่อย คุณแม่เลยจับนั่งแปะไว้ข้างตัว ให้อาตมา "ถอดรูป" ตามสบาย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2015 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ร้านลออเพ็ญจิต เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อาตมา "เหวอ" ไปพักหนึ่งจึงกดรับสาย ปรากฏว่าเป็นท่านแบงค์ (พระทรงพล กิตฺติปญฺโญ) โทรมาจากวัดท่าขนุน แจ้งว่าสมัครเข้าเรียนปริญญาโท สาขาวิปัสสนาภาวนา ที่สถาบันบาฬีศึกษาพุทธโฆสแล้ว สรุปก็คือให้พระอาจารย์จ่ายทุนมาเสียแต่โดยดีประมาณนั้น ปกติแล้วอาตมาเป็นคนพูดโทรศัพท์สั้นสุด ๆ จนบางคนบอกว่า "สั้นเหมือน SMS" ขนาดนั้นยังต้องรีบคุยรีบวางสาย เพราะตอนนี้อยู่ต่างประเทศ ทั้งส่งออกรับเข้าต้องจ่ายสถานเดียว คนโทรก็ไม่รู้เพราะพระอาจารย์ไม่อยู่วัดเป็นประจำ ไม่รู้ว่าโดนไปคนละกี่บาท ? "สวัสดีครับโลก" หันมาเจอนายลอนยกมือไหว้ พี่วิไลที่พาพวกเราลงมาตอนกำลังคุยโทรศัพท์ บอกว่าวันนี้นายลอนจะเป็นคนขับรถให้ แล้วต้อนพี่มุกดา ป้ามอย แม่ป๋อม น้องเล็กและลูกปุ๊กขึ้นรถ นายลอนพารถตู้เข้าสู่การจราจรย่านถนนหัวไก่ (กะบาลมอนไจย) อาจจะเป็นเพราะออกมาสายถึงแปดโมงครึ่ง รถราจึงแน่นขนัดไปหมด ต้องค่อย ๆ กระดืบ ๆ ไปทีละนิด ดูแล้วลงไปเดินน่าจะเร็วกว่า แต่ก็อาจจะสิ้นชีวิตเร็วกว่าด้วย เพราะรถมอเตอร์ไซค์เยอะเหลือเกิน..! ยี่สิบกว่านาทีจึงมาถึงร้านถ่ายรูปที่มีป้ายสีขาวภาษาขอมสีแดงว่า "ลออเพ็ญจิต" อาตมาเขียนตามตัวสะกดอักขระขอมเลย ไม่ใช่ภาษาไทยย่อมเขียนไม่ผิด ทุกคนที่เพิ่งรู้ว่าฝ่ารถติดแทบตายเพื่อมาร้านถ่ายรูปที่อยู่ห่างบ้านแค่ไม่กี่ซอย บ่นกันให้ขรมว่ารู้อย่างนี้เดินมาดีกว่า โชคดีที่หน้าร้านมีที่ว่างให้จอดรถ พี่วิไลลงมาแล้วบอกว่า "ไปถ่ายรูปกันเองนะคะ ขากลับนายลอนจะไปส่ง วิไลเองต้องกลับไปทำงานและเตรียมอาหารเพลไว้ถวายหลวงพี่ด้วย" พอถามว่าจะกลับอย่างไร ? พี่เขาบอกว่า "ไปกับ "โมโตตุ๊ก"... |
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ดูจากท่านั่งแล้วป้ามอยท่าจะ "เซ็ง" กว่าอีก ส่งพี่วิไลขึ้นรถสามล้อตุ๊ก ๆ ไปแล้ว อาตมาก็เดินเข้าไปในร้านถ่ายรูป ซึ่งแทนที่แม่ป๋อมจะให้นายลอนเป็นคนสั่ง กลับส่งภาษาอังกฤษบอกพนักงานในร้านว่ามีความประสงค์อย่างไร เมื่อประกาศตัวเป็นนักท่องเที่ยวอย่างชัดเจน ก็เลยเจอราคารูปขนาด ๒ นิ้วครึ่งฉากขาวถ่ายด่วน ๔ รูป ๒ ดอลลาร์ พอลูกปุ๊กบอกว่าขอถ่ายรูปด้วยก็เป็นเรื่อง น้องเล็กถามขึ้นมาทันทีว่าจะถ่ายไปทำอะไร ? เมื่อรู้ว่าเอาไว้ทำวีซ่าไปเมืองจีนก็จะถ่ายรูปบ้าง โดยไม่ได้ดูว่าคุณแม่กำลังทำหน้าเหมือนคนใบ้อมบอระเพ็ด อาตมาก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ตัวเองไม่ใช่เจ้าภาพจะไปตัดสินใจแทนได้อย่างไร บอกว่าราคาแพงหรือเจ้าภาพไม่มีที่ให้นอนอะไรไปอีกฝ่ายก็ไม่ฟังแล้ว คิดแต่ว่าถูกทิ้งโดยอาตมาหนีไปเที่ยวฝ่ายเดียว ท้ายสุดก็นั่งหน้าหงิกเป็นมะเหงกไปเลย... เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งมาตามอาตมากับลูกปุ๊กขึ้นไปถ่ายรูปบนชั้นสอง แม่ป๋อมตามขึ้นไปด้วย ทิ้งน้องเล็กให้นั่งบูดอยู่กับพี่มุกดาและป้ามอยที่นั่งปลงอนิจจังเป็นเพื่อน ขึ้นบันไดแคบ ๆ ไปถึงข้างบนแล้ว รู้สึกว่าร้านนี้ "ซำเหมา" เหลือเกิน ห้องถ่ายรูปเป็นกระดานอัดที่ตีแปะไว้แบบขอไปที ฉากสีขาวก็เป็นสีกระดำกระด่างพิกล ซ้ำช่างถ่ายรูปก็คือเจ้าหนุ่มที่พาขึ้นมานั่นแหละ ใช้คำว่า "นาย" นำหน้าหรือยังก็ไม่รู้ ? เจ้านั่นจัดไฟ เลื่อนฉาก ตั้งกล้องได้ที่แล้ว ก็ชี้ให้อาตมาเดินเข้าไปยืนที่หน้าฉาก มุดไปหลังกล้อง ทำมือทำไม้ให้อาตมาขยับซ้ายขวา จนได้ที่แล้วก็กดชัตเตอร์เลยโดยไม่ให้สัญญาณ ดูท่าว่าภาพคงจะออกมาเป็นธรรมชาติมาก ลูกปุ๊กเข้าไปยืนเป็นคนต่อไป ไม่ถึงนาทีก็เรียบร้อย เจ้าหนุ่มก็พาทั้งสองคนลงมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์... พออาตมาควักดอลลาร์ออกมาจ่าย นายลอนก็คว้าหมับไปจากมือ แล้วควักเงินเรียลของตนเองมาจ่ายแทน บอกว่า "เงินดอลลาร์ เงินบาทและเงินเรียล จ่ายคนละราคากัน ถ้าเป็นดอลลาร์จะได้ราคาถูกที่สุด ที่ไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้ ผมจึงต้องเก็บดอลลาร์เอาไว้ก่อน" ลูกปุ๊กทำท่าจะควักเงินมาคืนให้ อาตมาบอกว่ากลับถึงบ้านแล้วค่อยมาจ่าย พอรับรูปมาแล้วอาตมาก็ถอนใจเฮือก เป็นรูปที่ "หล่อที่สุด" เท่าที่เคยถ่ายมาเลย นายลอนพารถออกเมื่อพวกเราขึ้นกันเรียบร้อยแล้ว ขากลับไปได้เร็วกว่าขามาหน่อยหนึ่ง ถึงบ้านแล้วอาตมาขึ้นไปพักข้างบนเลย... |
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ไอ้บ้านโหลหลังเท่าแมวดิ้นตายนี่แหละ..หลังละสามสิบกว่าล้านบาท..! "หลวงน้า..วรรณเองค่ะ" นอนภาวนาเพลิน ๆ ก็โดนปลุก ยายวรรณมากับน้องมิงค์ (กุลนภา ภูมิธเนศ) ลูกสาวคุณณรงค์ ทั้งสองคนกลัวว่ามาทั้งทีจะไม่คุ้มค่าเครื่องบิน จึงมาเกลี้ยกล่อมให้อาตมาไปเที่ยว "ตวลสะแลง" พิพิธภัณฑ์ผลงานโหดยุคเขมรแดงครองเมือง ซึ่งอาตมาไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลยนอกจากความน่าหดหู่ใจ แต่ยายวรรณพยายามจะให้ไปให้ได้ ในที่สุดก็ยอมสารภาพว่า อยากให้อาตมาไปดูอดีตชาติของตัวเอง ที่เกิดเป็นนักศึกษาเขมรแล้วถูกทรมานจนตายที่นั่น "น่า..หลวงน้าไปนะ..นะ..นะ เพื่อน ๆ ของวรรณที่ยังไม่ไปเกิดจะได้รับบุญจากหลวงน้าบ้าง เดี๋ยววรรณกับมิงค์จะเป็นไกด์ให้เอง" อาตมาถอนใจเฮือก..ไปก็ไปวะ..! สองคนวิ่งโครมครามลงไปข้างล่าง เพื่อรายงานพี่วิไล ว่าหลวงน้า "อยากไป" ดูพิพิธภัณฑ์ตวลสะแลง ทั้งสองคนอาสาพาไปเอง ปรากฏว่าโดนเบรกหัวทิ่ม "ไม่ได้โว้ย แกอยากไปก็พาไปตอนบ่าย เดี๋ยวฉันจะพาหลวงน้าของแกไปดูคอนโดฯ ก่อน" สรุปว่ายายวรรณทำงานไป พี่วิไลกับน้องมิงค์พาอาตมาและคณะไปดูคอนโดมีเนียมที่ซื้อเอาไว้ โดยมีคุณณรงค์เป็นพลขับ ฝ่ารถติดออกไปตามถนนเลียบแม่น้ำโขง มุดผ่านหมู่บ้านจัดสรรหลายแห่ง ได้ยินพี่วิไลบอกราคาแล้วคอย่น ไอ้บ้านหน้าตาเหมือน ๆ กันพร้อมพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายหลังละ ๑ ล้านดอลลาร์ ตูจะเป็นลม..! แม้ว่าอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค จะเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต แต่บ้านเล็ก ๆ หลังละสามสิบกว่าล้านบาทนี่ก็ "แพงเว่อร์" จนเกินไป รู้สึกว่าทั้งเขมรทั้งไทยจะถูกบริษัทผลิตบ้านจัดสรรขูดเลือดขูดเนื้อด้วยกันทั้งนั้น คุณณรงค์พารถมาถึงคอนโดมีเนียมแห่งหนึ่ง ที่การก่อสร้างยังไม่เรียบร้อย มีเครื่องมือเครื่องไม้เกะกะอยู่หลายที่ จอดรถแล้วถามยามที่ดูแลอยู่ ปรากฏว่าห้องที่จองไว้อยู่อีกอาคารหนึ่ง ต้องขับรถอ้อมไปจอดด้านนั้น แล้วเดินเข้าไปกัน... |
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ถมแม่น้ำก่อสร้างกันครึกครื้น..! เมื่อเจ้าหน้าที่ รปภ. รู้ว่าเป็นลูกค้าที่ซื้อห้องเอาไว้ ก็พาพวกเราไปที่ลิฟท์ซึ่งยังแกะพลาสติกหุ้มออกไม่หมด ถามชั้นถามห้องแล้วกดปุ่มเรียกลิฟท์ให้ อาตมาใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ขณะที่ลิฟท์พาพวกเราขึ้นไปชั้นที่ ๑๘ ของตัวอาคาร ก็ทั้งด้านนอกด้านในของลิฟท์บ่งบอกชัด ๆ ว่ายังติดตั้งไม่เรียบร้อยดี ถ้าไปตายแหง็กอยู่กลางทางตูจะไม่แปลกใจเลย... รอดออกมาจากลิฟท์ได้ค่อยหายใจโล่งอก ป้ายที่แปะอยู่ตรงหน้าเป็นภาษาขอมเขียนว่า "ช้านที ๑๘ อาคาระ B" หาคำตรงไม่ค่อยจะได้ยังอุตส่าห์ติดป้ายไว้ให้รู้ ห้องที่พี่ปราณีกับพี่วิไลจองเอาไว้คือห้องที่ B 18-03 และ B 18-05 อยู่กันคนละมุมของอาคารแต่ใกล้กัน นับว่าเป็นการเลือกที่ฉลาดมาก เพราะได้วิวไม่ซ้ำกัน ขนาดห้องประมาณ ๓๐ ตารางเมตร ดูกว้างขวางทีเดียว มีห้องครัวกับห้องน้ำด้วย ในห้องนอนแถมตู้ติดผนังบานเลื่อนใบใหญ่ให้ ข้าวของอื่น ๆ ผู้ซื้อห้องต้องจัดหามาเอง พี่วิไลพาเดินออกไปที่ระเบียง มองเห็นบ้านจัดสรรเรียงเป็นตับ ส่วนที่ใกล้กับแม่น้ำโขงมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ รถบรรทุกและคนงานเข้าออกขวักไขว่ไปหมด... "ตรงข้างหน้านั่นเรียกว่า "เกาะเพชร" เขาถมด้านที่ติดกับแผ่นดินจนเป็นผืนเดียวกัน ทำโครงการที่มีทั้งบ้านจัดสรร คอนโดมีเนียม โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า อยู่ในที่เดียวกันหมด คนแย่งกันจองแทบจะตีกันตาย วิไลเองจองไม่ทัน จึงมาเอาที่ตรงนี้แทน" แล้วไปถมเกาะแบบนั้น "กรมเจ้าท่า" เขาไม่เอาเรื่องหรือ ? "คนเซ็นอนุญาตคือสมเด็จเดโช ฮุนเซน จะมีใครกล้าเอาเรื่องล่ะ ?" เฮ้อ..ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน พอมีอำนาจขึ้นมาก็ทำอะไรได้ตามใจ คล้าย ๆ กับประเทศที่อยู่ติดกันนี่เลย..! |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
อาหารเพลที่ยังมาไม่ครบ อาตมาเห็นว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะเพลแล้ว จึงชวนทุกคนกลับลงมา น้องมิงค์หลงทิศ ออกจากลิฟท์ที่ชั้นล่างแล้ว พาเดินลึกเข้าไปข้างใน แทนที่จะพาเดินออกมาด้านนอก จึงได้เห็นว่าถึงอาคารจะยังไม่เรียบร้อยดี แต่ก็มีคนย้ายเข้ามาอยู่กันแล้วไม่น้อยเลย รถราจอดกันเป็นตับ ส่วนใหญ่เป็น "รถจ่ายตลาด" ยี่ห้อ Lexus สารพัดรุ่น กว่าจะคลำทางออกมาได้น้องมิงค์ต้องโทรถามพ่ออยู่ถึงสองตลบ พอขึ้นรถได้เลยโดนคุณณรงค์เขกกะโหลกไปหนึ่งที..! กลับมาถึงบ้านเลยเพลไปยี่สิบกว่านาที พี่วิไลนิมนต์ขึ้นไปห้องพระ อาตมาเพิ่งกราบพระเสร็จ ยายวรรณกับน้องมิงค์ก็ลำเลียงอาหารมาประเคน มีทั้งปลาผัดขิง ต้มยำเห็ดฟาง ผักบุ้งไฟแดง ทอดมันขแมร์ ขนมปังไส้เนื้อที่ภาษาขแมร์เรียกให้ชวนสะดุ้งว่า "ขนมปังสัตว์" ของหวานเป็นสาลี่หอม ส้มตราตะวัน ทุเรียนกัมโพช ลำไยกัมโพช ที่ขแมร์ออกเสียงว่า "กัมโป้ด" และน้ำปั่นที่เรียกว่า "ตึ๊กกะรก" ซึ่งประกอบขึ้นจากเนื้อทุเรียน ไข่แดง และผลไม้อีกหลายชนิด อาตมาเรียกไอ้น้ำนี้ว่า "ตึกนรก" ให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย... กว่าจะตักกับข้าวครบทุกชนิดก็จวนอิ่มแล้ว ต้องขยักท้องเอาไว้สำหรับขนมปังและผลไม้ด้วย อาตมาฉันขนมปังรสคล้าย ๆ ซาละเปาไส้หมูแดงไปครึ่งชิ้น ทุเรียนหนึ่งคำ รสคล้ายกับทุเรียนก้านยาวของบ้านเรา แต่เมล็ดใหญ่ เนื้อบาง ส่วนลำไยยิ่งแล้วกันไปใหญ่ เมล็ดกับลูกที่ยังไม่ได้แกะมีขนาดเกือบจะเท่ากัน มีเนื้อบางเป็นกระดาษหุ้มอยู่นิดเดียว พี่วิไลบอกว่าฉันแล้วไม่ร้อนใน ก็น่าจะจริง..เพราะแทบจะไม่มีเนื้อให้ร้อนในเลย... |
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
พิพิธภัณฑ์ทุ่งสังหารอันลือชื่อ เสร็จจากพระญาติโยมก็กินกันกระจาย กินไปก็วิจารณ์ไป ซึ่งการเปรียบเทียบในเรื่องอาหารนั้น ควรที่จะรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเมืองและสภาพภูมิประเทศด้วย ไม่ใช่ผิดไปจากที่เคยเห็นเคยกินก็วิจารณ์แหลก บางอย่างก็ต้องดูกาละเทศะ ไม่ใช่ว่าไม่กินปลาร้าแล้วไปบอกว่า "ไม่กินหรอก..เหม็น" ต่อหน้าคนทำอาหาร แค่เปลี่ยนเป็นว่าไม่กินเพราะไม่คุ้นเคยหรือไม่ชอบกลิ่น จะน่าฟังกว่าเดิมอีกหลายเท่า ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับคนพูดว่าจะ "มีสติ" แค่ไหน... เก็บกวาดอาหารและล้างถ้วยชามเรียบร้อยก็เกือบเที่ยงครึ่ง คุณณรงค์เอารถเบนซ์ ๕๐๐ เอสคลาส คันใหญ่คับโรงรถมารับ อาตมานั่งข้างหน้า แม่ป๋อม น้องเล็ก ยายวรรณ น้องมิงค์ นั่งด้านหลัง ที่เหลือไปรถตู้นิสสันที่นายลอนเป็นคนขับ วิ่งตามกันไปผ่านถนนสายต่าง ๆ ที่เคยผ่านมาแล้ว จากนั้นเลี้ยวเข้าถนน "มหาวิถีเพรียะมุนีวงศ์" แยกเข้าถนนสายย่อยที่ ๑๑๓ ตัดกับสาย ๓๒๐ มาถึงรั้วหน้าอาคารสามชั้นที่ดูเก่า ๆ เรียบ ๆ หลังหนึ่ง ไม่มีอะไรสะดุดตาเลย ถ้าไม่มีลวดหนามบนรั้วทางขวามือ และป้ายด้านบนที่เขียนว่า "Tuol Sleng Genocide Museum" คุณณรงค์มัวแต่ลังเลอยู่ว่าจะขับรถเข้าไปเลยได้ไหม ? นายลอนก็พารถตู้นิสสันสีดำเข้าไปเสียบชิดด้านหลังตัวอาคารเสียก่อน รถเบนซ์จึงต้องจอดต่อจากรถตู้โดยปริยาย... |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
มัคคุเทศก์มิงค์เป็นผู้นำชมสถานที่ พวกเราลงจากรถโดยมีน้องมิงค์ตรงไปที่ห้องขายตั๋ว ที่เหลือจึงนั่งรอจนได้บัตรเข้าชม ตกลงว่าพระไม่ต้องจ่ายตามเคย เดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าวก็เป็นลานกว้าง มีอาคารหลักเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ๓ ชั้น อยู่สามหลัง รายล้อมสนามกว้างเป็นรูปตัวยู (U) ที่เหลืออีก ๒ หลังเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กหลังไม่ใหญ่นัก อาคาร ๒ หลังเล็กนี้มุงสังกะสีคล้ายลอนกระเบื้องแบน ๆ สีบานเย็น รอบ ๆ สนามมีต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างมาก หลัก ๆ ก็มีต้นมะพร้าว ซึ่งน่าจะอายุถึง ๕๐ ปี ลั่นทม กากะทิง สารภี มะม่วง ขนุน พวกนี้น่าจะปลูกทีหลังห่างกันนาน เพราะถึงแม้จะต้นโตแล้วแต่อายุยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของมะพร้าว ส่วนที่เคยเป็นสนามก็ถูกจัดเป็นสวนหย่อม ปูอิฐ ปลูกหญ้า ปลูกต้นไม้ ส่วนที่อยู่ตรงหน้าของเราใต้ต้นลั่นทมคือหลุมศพสีขาวเรียงเป็นตับ นับได้ถึง ๑๔ หลุม... "นี่คือพิพิธภัณฑ์ตวลสะแลงที่ลือชื่อ ก่อนนี้เป็นโรงเรียนมัธยมตวลสวายเพรย พอปี ๒๕๑๘ ผู้นำเขมรแดงก็ดัดแปลงที่เป็นที่คุมขัง ตั้งชื่อว่า S.21 ย่อมาจาก Security office 21 จับเอาบรรดาพระภิกษุ นายแพทย์ ครู วิศวกร ช่างเทคนิค นักศึกษา และพนักงานบริษัทต่าง ๆ ที่ต่อต้านรัฐบาลเขมรแดงมากักขังและทรมาน จนถึงแก่ความตายไปมากมาย ประมาณกันว่ามีคุกแบบนี้ทั่วประเทศ ๑๕๐ แห่ง เฉพาะที่นี่แห่งเดียวมีคนถูกทรมานตายไปกว่า ๒๐,๐๐๐ คน" มัคคุเทศก์มิงค์บรรยายแบบผู้เชี่ยวชาญ แต่พออาตมาเหลือบไปดูป้ายขนาดใหญ่ที่ตั้งเอาไว้ ก็ได้ข้อมูลเดียวกันหมด จึงแอบชี้มือพยักหน้าให้ อีกฝ่ายยิ้มเขิน ๆ แต่ก็ทำหน้าที่ต่อไปอย่างคล่องแคล่ว... |
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
หนึ่งในเครื่องมือทรมานนักโทษ "อาคารแรกทางซ้ายมือเรียกง่าย ๆ ว่า "อาคาร ๑" ได้ดัดแปลงห้องเรียนเป็นห้องขังเดี่ยว ผู้ที่ถูกกักขังทรมานในอาคารนี้ ส่วนมากเป็นอดีตรัฐมนตรี ผู้นำนักศึกษา นายแพทย์ ที่เป็นแกนนำของกลุ่มผู้ประท้วง เชิญทุกคนเดินชมได้ทีละห้องเลยค่ะ" พวกเราเดินดูตั้งแต่ชั้นล่าง เห็นในห้องที่เป็นพื้นปูกระเบื้องสีขาวสลับน้ำตาล แต่ละห้องมีเตียงเหล็กเล็ก ๆ ที่พื้นเตียงเป็นตาราง ตรวนสำหรับล่ามนักโทษติดกับเตียง กล่องกระสุนปืนที่ใช้เป็นกระโถนขับถ่าย ปิ่นโตเก่าบุบบิบบู้บี้ซึ่งเป็นที่ใส่อาหารให้นักโทษกิน ที่ผนังมีภาพตอนนักโทษโดนล่ามติดกับเตียงอยู่เกือบทุกห้อง... นักท่องเที่ยวฝรั่งที่เห็นภาพนักโทษโดนล่ามติดกับเตียง บางคนยกมือทำสัญลักษณ์ไม้กางเขน บางคนร้อง "Oh..My God..!" พวกเราวนขึ้นไปจนถึงชั้นที่สามแล้วกลับลงมาด้านนอก "ตรงหน้านี้คือหลุมศพทั้ง ๑๔ หลุม เป็นบรรดาแกนนำในการต่อต้านรัฐบาล เมื่อโดนทรมานจนตายแล้วฝังเอาไว้ในสนามนี้เลย คนอื่น ๆ โดนเอาไปฝังรวมไว้ใน "ทุ่งสังหาร" ตรงมุมสนามที่มีเสาคล้ายโกล์ฟุตบอล ข้างล่างเป็นโอ่ง ๓ ใบนั้น เป็นเครื่องมือในการทรมานนักโทษอย่างหนึ่ง นักโทษการเมืองจะโดนผูกห้อยหัวลง ในโอ่งบรรจุอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ ถ้าไม่ยอมสารภาพว่าพรรคพวกที่ต่อต้านรัฐบาลมีใครบ้าง ผู้คุมก็จะหย่อนนักโทษให้หัวจมลงไปในโอ่ง จนนักโทษกลั้นใจไม่ไหวก็ดึงขึ้นมา ถ้ายังไม่สารภาพก็หย่อนลงไปอีก.." ช่างสรรหาวิธีมาทรมานเพื่อนมนุษย์แท้ ๆ... |
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ยายวรรณกับภาพในอดีตชาติของตัวเอง "อาคาร ๒ ชั้นล่าง เป็นที่แสดงรูปภาพของบรรดานักโทษการเมือง เครื่องมือที่ส่วนใหญ่เป็นตรวนล่ามนักโทษ ชั้นสองดัดแปลงเป็น "ห้องซอง" เล็ก ๆ สำหรับขังเดี่ยวนักโทษแบบไม่ให้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ส่วนชั้นสามเป็นที่พักของบรรดาผู้คุมค่ะ" อาคารนี้มีลวดหนามสานเป็นตาข่ายปิดคลุมด้านหน้าอาคารเอาไว้ ป้องกันนักโทษหลบหนี ยายวรรณพาอาตมาตรงไปยังแผ่นป้ายนิทรรศการที่มีรูปบรรดานักโทษการเมืองนับร้อยติดอยู่ ชี้ให้ดูรูปในอดีตชาติของตัวเองแล้วน้ำตาร่วง อาตมาน้อมจิตอุทิศส่วนกุศลที่เคยทำมาตั้งแต่ต้น อุทิศให้กับท่านทั้งหลายที่เสียชีวิตภายในคุกแห่งนี้ ขอให้ทุกท่านไปเสวยสุขในสุคติภพโดยทั่วหน้ากันเถิด... รู้สึกได้ถึงบรรยากาศหดหู่ เศร้าหมอง อับจนไร้หนทาง พวกเราเดินขึ้นชั้นสองที่ก่ออิฐแดงเป็นห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ เล็กกว่าห้องส้วมเสียอีก แต่ละห้องมีประตูไม้ตีแบบหยาบ ๆ ปิดอยู่ ที่ประตูเจาะช่องเอาไว้แค่พอส่งชามข้าวได้เท่านั้น ส่วนชั้นที่ ๓ ซึ่งเคยเป็นที่พักของผู้คุม ตอนนี้จัดแสดงภาพถ่ายและประวัติของนักโทษซึ่งมีที่มาชัดเจน และภาพวาดของเด็ก ๆ ที่แสดงถึงบ้านเมืองในฝันของตนเอง หลายภาพเหมือนกับจะอธิษฐานเผื่อผู้ที่เสียชีวิตด้วย อีกส่วนหนึ่งแสดงประวัติบรรดา "ตัวเอ้" ของเขมรแดง เช่น พอล พต, เขียว สัมพันธ์, นวน เจีย, เอียง ทีริต เป็นต้น... |
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
เนียงลออขนานแท้อยู่ในบ้านนี้เอง น้องมิงค์พาลงจากอาคาร ๒ ไปอาคาร ๓ หลังนี้แต่ละห้องแสดงเครื่องมือและวิธีในการทรมานนักโทษแบบต่าง ๆ มีทั้งจับมัดห้อยหัวแล้วหย่อนลงในถังน้ำ ๒๐๐ ลิตร มัดคว่ำหน้าอยู่ในอ่างน้ำแล้วกดหน้าให้จม จับตะขาบมากัด จุดเด่นก็คือห้องแสดงกะโหลกและโครงกระดูกของผู้ตาย ที่ขุดมาจาก "ทุ่งสังหาร" น่าเสียดายที่ห้องฉายภาพยนตร์ของชั้น ๓ ปิดไม่มีการฉายให้ดู อาตมา แม่ป๋อม น้องเล็ก ยายวรรณ น้องมิงค์ จึงลงมารอที่ห้องขายของที่ระลึก เพราะพี่มุกดา ป้ามอย และลูกปุ๊ก ยังเดินดูแต่ละห้องไม่เสร็จ ข้าวของที่ระลึกก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ ฟ้ามืด ๆ ทึบ ๆ เหมือนฝนจะตก พอทุกคนมากันครบแล้ว อาตมาจึงชวนให้กลับบ้านเลย... มาถึงก็จัดการสรงน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของลงกระเป๋า กราบลาพระแล้วหอบกระเป๋าลงมาที่ชั้นสอง เพราะพี่ปราณี พี่วิไล คุณณรงค์กับภรรยา ยายวรรณ น้องมิงค์ เตรียมสังฆทานเอาไว้ถวายที่นี่ เลยเจอ "เนียงลออ" ขนานแท้ที่ตรงนี้เอง เป็นหนึ่งในบรรดาลูกน้องของพี่ปราณี หน้าตาคมเข้ม ผิวสีน้ำผึ้ง มีสัดส่วนที่ "แม่ให้มา" เหลือเฟือเลยทีเดียว..! |
สมาชิก 100 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
นี่ก็ "เนียงลออ" คนก็สวย ชุดก็สวย รับสังฆทานเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่รอรถมารับ พี่ปราณีขอฝากกระเป๋าผ้าไป ๑ ใบ บอกว่าเป็นชุดของท่านผู้หญิงบุน รานี ที่ฝากมาแก้ไข งานที่นี่ท่วมหัวจึงต้องส่งไปให้ร้านที่เมืองไทยช่วยทำให้ บอกหมายเลขโทรศัพท์ผู้ที่จะมารับเอาไว้เสร็จสรรพ และแถม "ยาดำ" สำหรับระบายมาถุงใหญ่ ทำมาจากบวบ รากลำเจียก และจุกสับปะรด ที่เอามาเผาจนเป็นขี้เถ้า อาตมาเปิดดูแล้วหน้าตาเหมือนดินระเบิดอย่างกับแกะ แบบนี้เขาจะยอมให้เอาขึ้นเครื่องหรือ ? "โหลดเข้าท้องเครื่องไปก็ไม่มีใครเขาว่าแล้ว" พี่ปราณีบอก ถ้าโดนจับพี่ช่วยไปประกันพวกเราด้วยก็แล้วกัน... พอดีลูกค้าโทรเข้ามาขอรับชุดที่สั่งเอาไว้ พี่ปราณีต้องลงไปรับลูกค้ามาลองใส่ดูก่อน น้องเล็กตามไปดูด้วยว่า "ไฮโซเขมร" เขาแต่งชุดกันแบบไหน หายไปพักใหญ่ก็ย่องกลับมา บอกกับทุกคนว่า "คนก็สวย ชุดก็สวย แต่งแล้วสวยเด็ดขาดไปเลย" อาตมาจะขอตามไปดู "เนียงลออ" ก็น่าเกลียด แค่ลูกน้องพี่ปราณีตรงหน้ายังไม่กล้ามองซ้ำ กลัวเลือดกำเดากระฉูด..! |
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
โอ้..พระเจ้า..คนมากขนาดนี้..! "หมดธุระอาตมาขอลาก่อน จำจากจรไปสู่เมืองสยาม นิราศร้างห่างจาก "เนียง" คนงาม สุดจะห้ามหักใจอาลัยลา" เช่นเพลงเชิดแบบนี้ทำเอาพี่ปราณีกับพี่วิไลรีบให้หมายเลขโทรศัพท์ไว้กับน้องเล็ก บอกว่าโทรหาได้ทุกเวลา ถามว่าถ้าโทรมาเขมรจ่ายเท่าไร "ที่นี่โทรไปเมืองไทย นาทีละ ๘๕ บาท รับเข้านาทีละ ๔๘ บาท SMS ครั้งละ ๑๒ บาท" แปลว่าท่านแบงค์โดนไปหลายร้อย อาตมาก็คงจ่ายประมาณครึ่งหนึ่ง..! ตั๋วเครื่องบินออกจากพนมเปญเวลา ๑๗.๒๐ น. อาตมาเห็นว่าบ่ายสามโมงแล้ว จึงบอกลาแบบไม่อาลัยอาวรณ์ นายลอนเอารถตู้ไปส่งที่สนามบินนานาชาติพนมเปญ (Phnom Penh International Airport) หรือที่เรียกภาษาชาวบ้านว่าสนามบินโปเชงตง รถติดเอาเรื่องทีเดียว กว่าจะมาถึงก็บ่ายสามครึ่งพอดี ทั้งรถทั้งคนแน่นไปหมด พลขับของเราจอดรถที่ข้างประตูสนามบิน ช่วยขนกระเป๋าลงแบบไม่สนใจว่ารถใครจะติด อาจจะเป็นเพราะมาดทหารแท้ ๆ ของนายลอนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ทำให้ไม่มีใครกล้ามาต่อว่าสักคนเดียว อาตมา "ถีบ" นายลอนไป ๒๐,๐๐๐ เรียล อีกฝ่ายรับแล้วยกมือไหว้ลา ขับรถกลับไปรับใช้ "เจ้านาย" ตามเดิม... พวกเราเบียดผู้คนล้านเจ็ดเข้าตรวจตั๋ว ถึงได้รู้ว่าไอ้ที่มากมายมหาศาลนี้ ส่วนใหญ่มารับมาส่งญาติแทบทั้งนั้น มีผู้โดยสารจริง ๆ ไม่เท่าไรเอง หน้าตั๋วแจ้งเวลาขึ้นเครื่องที่ ๑๖.๔๐ น. อาตมาขี้เกียจเบียดกับคน กำลังจะเข้าไปรอที่หน้าประตูขึ้นเครื่อง พี่วิไลก็เบียดพรวดเข้ามา พร้อมกับคุณแม่ยังสาวที่อุ้มลูกยังไม่ครบขวบมาด้วย บอกว่าเจ้าตัวเล็กนี้เป็นหลานชื่อ "กมลพร" เกิดปีชง ให้ช่วย "เป่าหัว" ให้หน่อย เวรกรรม..อุตส่าห์พาหลานตัวแค่นี้เบียดคนเข้ามา อาตมาควักพระนาคปรก (นาคขอม) ฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตีให้ไป ๑ องค์ เอาสมุดบันทึกเคาะหัวให้ไปอีก ๑ ที สำหรับบางคนแล้วเรื่องแบบนี้สำคัญชนิดคอขาดบาดตายเลยทีเดียว... |
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
น้องมิงค์ (กุลนภา) มาส่งด้วย คณะของเราฝากกระเป๋าเสร็จแล้ว อาตมาจึงเดินนำขึ้นบันไดไปชั้นบน ยื่นหนังสือเดินทางให้กับสาวใหญ่คนเดิม "ทิวาซัวสะเดย (สายัณห์สวัสดิ์) กลับแล้วนะจ๊ะ" เธอหัวเราะฟันขาว หยิบหนังสือเดินทางไปประทับตรา แล้วให้เอานิ้วมือแปะเครื่อง แต่คราวนี้เอาเฉพาะสี่นิ้ว ยกเว้นหัวแม่มือ "เรียนซันเฮย (ลาก่อนนะ)" เธอยกมือไหว้ ส่งหนังสือเดินทางคืนให้ แล้วหันไปสาละวนกับงานต่อไป มัวแต่กวนเธอจนลืมอาราธนาพระ พอเดินผ่านเครื่องตรวจส่งเสียงดังลั่นเชียว บรรลัยละตู..ต้องรีบกำหนดจิตกราบเรียนครูบาอาจารย์ ขออย่าให้เขาค้นเจอมีดจ่าตุ่มเลย..! เจ้าหน้าที่เอาเครื่องตรวจโลหะมากวาดรอบตัว พอผ่านกระเป๋าจิงโจ้เครื่องก็ส่งเสียงดัง อาตมารูดซิปกระเป๋าจิงโจ้ชั้นนอกให้ดูว่าเป็นทองเหลืองทั้งอัน เจ้าหน้าที่จึงยกมือไหว้ให้ผ่านไปได้ นี่ถ้าลองจับดูหน่อยเดียวก็จะรู้ว่ากระเป๋าชั้นในมีมีดทั้งเล่ม..! กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านที่เมตตาสงเคราะห์ เดินผ่านไปพร้อมกับน้องเล็กและพี่มุกดาที่รู้ท่า จึงอาราธนาวัตถุมงคลเอาไว้ก่อน แต่ของลูกปุ๊กกลับดังเสียนี่ แต่ก็ผ่านการตรวจมาได้... พอนั่งลงแล้วอาตมาถามว่า "พลาดตรงไหน ?" คุณลูกบอกว่าคุมแต่กระเป๋า ลืมที่อยู่กับตัวเอง นี่แหละ..พระหรือเทวดาท่านสอนให้เรารอบคอบ มีช่องว่างแม้แต่หน่อยเดียวท่านก็แสดงให้รู้ จะได้จำเอาไว้และไม่พลาดอีก อาตมานั่งจดบันทึกเรื่องเอาไว้กันลืมด้วย... |
สมาชิก 106 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
กลายเป็นหมอดูจำเป็น "ขอโทษค่ะหลวงพ่อ" กำลังเขียนเพลิน ๆ สาวสวยที่น่าจะเป็นแอร์โฮสเตสมาคุกเข่ายกมือไหว้ "กัปตันมีเรื่องขอปรึกษาหลวงพ่อ จะสะดวกไหมคะ ?" เธอผายมือไปยังหนุ่มหล่อข้างหลัง อ้าว..คนนี้เอง ตอนอยู่ข้างนอกเห็นเดินวนไปวนมามองอาตมาอยู่หลายรอบ ปรากฏว่าพ่อรูปหล่อของเราพูดไทยไม่ได้ เลยไปดึงสาวสวยมาช่วยเป็นล่าม บอกว่ามีเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับงาน ไม่ทราบว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งหรือไม่ ? อาตมาเห็นผีถึงป่าช้าแล้ว ไม่เผาก็ต้องฝัง จึงพลิกมือของเขาขึ้นมาดู แล้วบอกเป็นฉาก ๆ ไปว่า เรื่องงานมีหวังได้เลื่อน แต่ต้องเข้าหาผู้ใหญ่หน่อย มีของฝากที่ท่านชอบติดมือติดไม้ไปด้วย ถ้าจะเอาแน่นอนก็ให้ถวายสังฆทานพระอีกสัก ๙ รูป อุทิศส่วนกุศลให้เทวดาประจำตัวของตนเองและผู้ใหญ่ท่านนั้น ขอให้ช่วยดลใจให้ท่านเมตตา เลื่อนตำแหน่งการงานให้... คุณคนสวยแปลแบบลำบากเต็มที เพราะถึงพูดไทยได้แต่ศัพท์บางคำลึกเกินไป เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะแปลถูกหรือเปล่า ? แต่กัปตันพยักหน้าหงึก ๆ แบบเลื่อมใสเต็มที่ อาตมาจึงแถมให้ไปข้อหนึ่งว่า ถ้าอยากก้าวหน้าในการงานมากกว่านี้ ก็อย่าไปผูกสัมพันธไมตรีกับสาว ๆ ที่ไหนง่าย ๆ เพราะจะเป็นการทอนบารมีของตัวเองลง คราวนี้คุณกัปตันกราบลงกับพื้นเลย อาตมารู้สึกว่าชักจะเป็นเป้าสายตาคนมากขึ้นทุกที จึงบอกว่าพอแค่นี้แล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ พอดีมีประกาศว่าเที่ยวบินของเราเพิ่งจะลงถึงสนามบิน ออกจากห้องน้ำมารอจน ๑๖.๕๕ น. เขาจึงประกาศเรียกขึ้นเครื่อง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-05-2015 เมื่อ 19:22 |
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ไม่รู้ว่าคนไทยเราทำไมชอบเผากันนัก ที่นั่งของอาตมาตามหน้าตั๋วเป็นหมายเลข 16 D เจ้าหน้าที่คงเห็นว่าจะลำบากถ้าต้องโดนคนเดินเบียด จึงเปลี่ยนให้เป็นหมายเลข 4 A แทน ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่กรุณา พอคนขึ้นครบ เจ้าหน้าที่ก็ปิดประตู สาธิตเครื่องช่วยชีวิต ขณะที่กัปตันพาเครื่องออกสู่ทางวิ่งก่อนจะทะยานขึ้นฟ้า ใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาทีก็มาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ... อาตมาชอบเดินจึงจ้ำไปด้านนอก คนที่ไม่ชอบเดินก็ขึ้นสายพานเลื่อนด้านใน เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ต้องมารอกระเป๋าที่สายพาน ๑๐ แม่ป๋อมซึ่งไม่มีกระเป๋าฝากเข้าท้องเครื่องจึงขอแยกไปก่อน พวกเรารอกระเป๋าของป้ามอยที่มาเป็นใบสุดท้าย แล้วโทรติดต่อผู้ที่จะมารับกระเป๋าเสื้อผ้าของท่านผู้หญิงบุน รานี ปรากฏว่าเขามารออยู่ที่ทางออกประตู ๔ นานแล้ว เห็นน้องเล็กหิ้วกระเป๋าที่เขาฝากมาเดินตัวเอียง อาตมาจึงคว้าเป้ของน้องเล็กไปหิ้วแทน... เดินหลงทางเพราะลืมลงบันไดเลื่อน ว่าแต่น้องมิงค์มาเจอด้วยตัวเองเลย ส่งกระเป๋าแล้วอาตมาอาศัยจีวรลัดคิวจนได้แท็กซี่มา ๑ คัน ฝ่าอากาศร้อนและรถติดไปถึงบ้านวิริยบารมีตอนสองทุ่มสิบนาที รอดตายไปอีกงาน..! หมายเหตุ : ตัวละครพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นจอมคนแห่งกัมโพช โลกยายเพ็ญ โลกยายจ๊ะ ฯลฯ นั้น อาตมาจินตนาการขึ้นมาเองเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาเท่านั้น โปรดอย่าได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจัง วันจันทร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕
พระครูวิลาศกาญจนธรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2015 เมื่อ 05:45 |
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|