กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-10-2019, 23:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,548 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๒

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราทั้งหมดเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา..ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา..ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ช่วงเช้าอาตมภาพไม่อยู่ ไปบวงสรวงเพื่อสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี และวางศิลาฤกษ์ ในส่วนของวิทยาลัยสงฆ์นั้น ก็คือ สร้างเพื่อเป็นสถานที่ศึกษาของพระภิกษุสามเณร และกุลบุตรธิดา ที่ตั้งใจจะศึกษาเล่าเรียน

การศึกษาเล่าเรียนนั้น ถ้าว่ากันตามพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านให้ศึกษาในไตรสิกขา คำว่า ”สิกขา” เมื่อแปลเป็นภาษาของเรา ก็คือ “ศึกษา” ไตรสิกขาคือการศึกษา ๓ อย่าง ก็คือ อธิศีลสิกขา การศึกษาในศีลอย่างยิ่ง คือ โดยทั่ว ๆ ไปเราก็แค่ประคับประคองรักษาไม่ให้ศีลขาด ไม่ให้บกพร่อง แต่อธิศีลสิกขานั้น นอกจากเราไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเองแล้ว ยังไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ว่าจะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง จะขยับตัวไปทางไหน จะรู้ตัวอยู่เสมอว่า ศีลของเราจะขาดตกบกพร่องหรือเปล่า ?

ถ้ามีโอกาสที่จะขาดตกบกพร่อง ก็พยายามหลีกพยายามเลี่ยง งดเว้นไม่กระทำ ถ้าไม่ขาดตกบกพร่องถึงได้กระทำไป ด้วยสติเฉพาะหน้าที่เป็นสีลานุสติ คือระลึกถึงศีลอยู่เสมอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2019 เมื่อ 14:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-10-2019, 23:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,548 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ข้อที่สองท่านให้ศึกษาใน อธิจิตสิกขา คือการทำจิตของเราให้มั่นคงหนักแน่น ไม่หวั่นไหวต่อกิเลสต่าง ๆ ที่มารบกวน ก็คือเราต้องกระทำสมาธิ อย่างน้อย ๆ ต้องเป็นอัปปนาสมาธิขั้นต้น คือปฐมฌานขึ้นไป

ถ้าหากว่าสามารถทรงปฐมฌานได้ กำลังใจของเราก็จะหนักแน่นมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง ที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากกำลังของปฐมฌานนั้นยังอ่อนอยู่ บุคคลผู้ที่ไม่ประมาท เมื่อปฏิบัติได้แล้ว ก็พยายามที่จะก้าวต่อไปเป็นฌานที่ ๒ ฌานที่ ๓ ฌานที่ ๔

หรือถ้าท่านที่มีวิสัยมามากกว่านั้น ก็กระทำเป็นสมาบัติ ๘ คือมีอรูปฌานที่ ๑ อรูปฌานที่ ๒ อรูปฌานที่ ๓ อรูปฌานที่ ๔ เพิ่มขึ้นมา คราวนี้อธิจิตสิกขาของเรานี้ ศึกษาเพื่ออะไร ? ก็เพื่อให้สติ สมาธิ ปัญญาของเรามั่นคง แหลมคมว่องไว สนับสนุนให้เรารักษาศีลได้สมบูรณ์บริบูรณ์ ในขณะเดียวกันก็ทำให้ปัญญาของเราแก่กล้าพอที่จะตัดกิเลสได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2019 เมื่อ 14:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 29-10-2019, 18:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,548 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ข้อสุดท้ายท่านให้ศึกษา อธิปัญญาสิกขา คือการใช้ปัญญาอย่างยิ่ง ในการที่จะตามดูตามรู้ให้เห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ เห็นความเป็นจริงในร่างกายคนอื่น เห็นความเป็นจริงในร่างกายสัตว์อื่น เห็นความเป็นจริงในสรรพวัตถุทั้งหลาย ว่ามีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่สามารถยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้

เมื่อเห็นจริง ยอมรับ ก็ถอนจิตจากการยึดมั่นถือมั่นในอัตภาพร่างกายนี้ ถอดจิตจากการยึดมั่นถือมั่นในโลกนี้ อยู่ที่ว่าเราสามารถถอนได้มากน้อยกว่ากันเท่าไร ถ้าหากว่าทำได้มาก ก็กลายเป็นพระอรหันต์ พ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ทำได้ปานกลางก็เป็นพระอนาคามี พ้นจากการเกิดชั่วคราว แต่ต้องไปรอการเข้าสู่พระนิพพานเบื้องบน ถ้าทำได้น้อยก็เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ๑ ชาติบ้าง ๓ ชาติบ้าง ๗ ชาติบ้าง ตามแต่ความหยาบละเอียดของกำลังใจที่เข้าถึง

ดังนั้น...ในการศึกษาที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่การศึกษาทางโลกอย่างเช่นที่อาตมภาพสร้างวิทยาลัยสงฆ์เพื่อให้คนระลึกว่า ให้พระภิกษุสามเณรได้ศึกษา แต่เป็นการศึกษาทางธรรม ศึกษาเข้ามาภายในร่างกายนี้ หลักธรรมทั้งหลายล้วนแล้วแต่อยู่ในร่างกายที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ ไม่ได้ไปไกลกว่านี้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2019 เมื่อ 19:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 29-10-2019, 18:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,548 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เกิดมาก็มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การประสบสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบใจ การปรารถนาที่ไม่สมหวัง มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ตั้งแต่ลืมตาขึ้นจนหลับตาลงไปมีแต่ความทุกข์ แล้วท้ายสุดก็ยังไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเราได้

เพราะว่าโดยปกติแล้ว ร่างกายนี้ก่อขึ้นมาจากสมบัติของโลก คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เราอาศัยอยู่ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ตามบุญตามกรรมที่สร้างเอาไว้ เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไปตามสภาพ กลายเป็นธาตุ ๔ คืนสู่โลกไปตามเดิม

ให้พิจารณาจนกระทั่งเห็นจริง เห็นอย่างชัดเจน ถึงจะเรียกได้ว่าเรามีการศึกษา ศึกษาแล้วก็ต้องน้อมนำเอาไปปฏิบัติให้เกิดผล เกิดผลแล้วก็ยังมีความเมตตากรุณา ที่จะบอกกล่าวสั่งสอนบุคคลอื่นให้รู้ตามไปด้วย เช่นนี้ถึงจะเรียกว่า เป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยการศึกษา หรือว่าสมบูรณ์ด้วยไตรสิกขาอย่างแท้จริง

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย น้องผักชี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2019 เมื่อ 19:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:36



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว