|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
||||
|
||||
ถาม : ผมสมัครสมาชิกเว็บวัดท่าขนุน นานเกิน ๗ วันแล้ว ยังไม่ได้รับตอบจากทางเว็บฯ ยังไม่สามารถโพสต์อะไรได้เลยครับ
ตอบ : สมน้ำหน้า..เอ๊ย..น่าเห็นใจ เวลา ๗ วันนั้นสำหรับคุณสมัครเข้าไปไปแค่คนเดียว แต่ช่วงนี้ผู้คนประเดประดังสมัครเข้าไปสามพันกว่าราย ซ้ำยังมีอีเมล์ทวงถามเข้าไปอีกนับไม่ถ้วน จนกล่องจดหมายเต็ม ทางจีเมล์ต้องแจ้งให้เจ้าของเมล์ทราบ และให้ทำเรื่องขยายพื้นที่กล่องจดหมาย ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเขา ที่กล่องจดหมายของผู้ใช้บริการเต็ม..! ท่านใดที่สมัครแล้วโปรดอย่าส่งจดหมายทวงซ้ำ เพราะว่าจะทำให้จดหมายของท่านไปต่อท้ายอยู่เรื่อย ๆ แบบไม่มีวันถึงคิว ซึ่งเป็นการทำให้ช้าด้วยตัวของคุณเอง ไม่ใช่ช้าเพราะทางเว็บวัดท่าขนุน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าผมจะวาดรูปดอกบัวถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ผมคิดว่าจะพยายามทำเป็นประจำ เพราะรู้สึกว่าจิตทรงตัวได้ดีเวลาผมวาดรูป และโดยส่วนตัวเองผมก็ชอบวาดรูปด้วย
ถ้าผมจะทำก็คงจะมีรูปวาดเยอะขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าหลังจากที่ผมวาดเสร็จแล้ว ผมควรจะเอารูปนั้นไปถวายวัด หรือเก็บไว้ที่ไหนหรือครับ ถึงจะได้ชื่อว่าผมได้วาดรูปถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จริง ๆ ? และอานิสงส์ที่ผมจะได้นั้นจะเป็นอย่างไรครับ ? ตอบ : ๑. นำไปถวายพระประธานเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ๒. ไปขอวาดติดผนังโบสถ์หรือวิหารตามแต่เจ้าอาวาสวัดนั้นจะอนุญาต ๓. อานิสงส์ทันตาก็คือมีรูปมากจนเครียด ไม่รู้ว่าจะเอาไปไหน ส่วนอานิสงส์อื่นนั้นเป็น อัปปมาโณ ไม่สามารถที่จะประมาณได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
||||
|
||||
ถาม : อานิสงส์การสร้างพื้นให้วัด เช่น ลานวัด หรือ เทพื้นในบริเวณวัดทั้งหมด จะมีอานิสงส์อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าเกิดต่อไปก็ทุกข์ต่อไป แต่ฐานะจะไม่ตกต่ำ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
||||
|
||||
ถาม : สมัยบวช ผมเป็นพระที่พรรษาน้อยที่สุดในวัด มีหน้าที่เก็บสำรับของหลวงปู่เจ้าอาวาสไปให้แม่ครัว วางทุกวันไม่เป็นอะไร มีอยู่วันหนึ่งแมวแอบมากินเศษอาหาร แล้วทำจานแก้วกระเบื้องตกแตก ผมอยากทราบว่าผมจะติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ในเมื่อผมเป็นคนเอาไปวางเป็นคนสุดท้าย ต้องซื้อจานไปคืนวัดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ชอบคนแบบคุณมาก ของที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองก็พยายามที่จะไปเกี่ยวข้องเพื่อลงนรกให้ได้..! แมวทำแล้วเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย ? ถาม : จีวรและบาตรที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนบวช และจีวรมีคนถวายตอนออกพรรษา หลังสึกออกมาแล้วสามารถเก็บไว้เป็นอนุสติที่บ้านได้ไหมครับ หรือว่าควรทำอย่างไร ? ตอบ : จีวรและบาตรถึงติดตัวมาตั้งแต่ก่อนบวชก็เป็นของกึ่งกลางสงฆ์ เพราะว่าเขาตั้งใจให้คุณมาบวช พอบวชแล้วใช้บาตรและจีวรชุดนั้นก็กลายเป็นของสงฆ์ จะเอานรกไปเป็นอนุสติก็คงจะไม่มีใครว่าอะไร..!! ถาม : ทุกครั้งที่ภาวนาพระคาถาเงินล้านหรือบทบริกรรมใดก็ตาม หลังจากผ่านปีติไปแล้ว ผมจะมาค้างอยู่ที่ความรู้สึกหนึ่ง อาการคือนิ่งสงบ รู้ลมหายใจเข้าออก เป็นหนึ่งเดียวกับคำบริกรรม จะบริกรรมต่อหรือปล่อยนิ่งไปเลยก็ได้ เป็นอารมณ์เดียว หูยังได้ยินเสียงภายนอก แต่จิตยังจับจดกับความนิ่งหรือคำบริกรรม ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรต่อไปครับ เพราะผมทำได้เพียงลืมตาออกมาแผ่เมตตา ? ตอบ : ถ้าต้องการอานิสงส์ของพระคาถาเงินล้าน ก็พยายามประคองอารมณ์นั้นไว้ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลุดไปเมื่อไรก็เริ่มต้นภาวนาใหม่ ถ้าภาวนาไม่ไหวแล้วก็คลายออกมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อสภาพจิตทรงตัวแล้วก็กลับไปภาวนาใหม่อีกครั้ง วนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
||||
|
||||
"ใครไม่ได้ห้อยบัตรยกเว้นพระเณร ออกนอกวัดไปเลยนะจ๊ะ เพราะว่าเดี๋ยวตำรวจจะมาไล่ ตำรวจเขาจะปิดวัดตั้งแต่ ๓ ทุ่มคืนนี้ งานยังอยู่ในช่วงการใช้ พรก.ฉุกเฉิน ก็เลยทำให้ทางราชการต้องเข้มงวด เนื่องจากว่าทองผาภูมิยังไม่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ แม้แต่รายเดียว ท่านนายอำเภอก็ไม่อยากเสียความบริสุทธิ์ ทางจังหวัดก็ไม่อยากมีคนติดเชื้อเพิ่ม ก็เลยต้องทำอะไรกันค่อนข้างจะเข้มงวดสักหน่อย
ตอนแรกท่านจะไม่ให้จัดงานหล่อพระเลย คราวนี้อาตมายืนยันไปว่าควบคุมคนไม่ให้เกิน ๕๐ คนอยู่แล้ว ท่านก็เลยต้องส่งทั้งตำรวจ ทั้ง อส. ทั้ง อสม. ทั้งเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลมาช่วยกันระมัดระวัง ป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อขึ้น โดยเฉพาะทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุไว้ชัดแล้ว วัดไหนเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ จะเล่นงานเจ้าอาวาสด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-05-2020 เมื่อ 00:44 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
||||
|
||||
ขอเจริญพร...ญาติโยมที่ดูการถ่ายทอดสดอยู่ทางบ้าน คิดถึงน้ำตาจิไหล..! เรื่องของการปฏิบัติธรรม ตราบใดที่เรายังต้องพึ่งคนอื่นอยู่ ตราบนั้นก็ยังเอาดีไม่ได้ โดยเฉพาะในการยึดติดตัวบุคคล สิ่งที่เรายึดต้องเป็นคุณพระศรีรัตนตรัย ที่เรายึดเพราะเห็นชัดเจนแล้วว่ามีคุณอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นอย่างที่นักปราชญ์เขาว่า คือ กราบพระพุทธรูปก็ติดแค่ทองคำ กราบพระธรรมก็ติดแค่คัมภีร์ กราบพระสงฆ์ก็ติดที่ลูกชาวบ้าน
ดังนั้น...ถ้าญาติโยมส่วนหนึ่งยังยึดติดในตัวบุคคลอยู่ ขอให้รู้ว่ากำลังใจของเรายังต่ำมาก การปฏิบัติธรรมต้องหวังประโยชน์สูงสุด คือการหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ถ้าหากว่าใครอ่านมหาสติปัฏฐานสูตร ในทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก จะเห็นตอนท้ายของทุกบรรพ ก็คือทุกตอนหรือทุกบท ระบุไว้ชัดเจนว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เราจะไม่ยึดอะไร ๆ ในโลกนี้แม้แต่น้อยหนึ่ง คำว่า ไม่ยึดอะไร ๆ ในโลกนี้ ก็คือ แม้แต่พระนิพพานก็ไม่ยึด เพราะว่าถ้ายึดก็ไปไม่ได้ แล้วถ้าไม่ยึดจะไปอย่างไร ? ถึงเวลาจะไปได้เอง เพราะว่ากำลังใจที่ถึงพระนิพพานอย่างแท้จริงนั้น กาย วาจา ใจของเราจะอยู่กับพระนิพพานเอง ไม่ต้องยึด ไม่ต้องเกาะอะไรทั้งสิ้น ตายตรงนั้นก็อยู่กับพระนิพพานตรงนั้น ยังทำไม่ถึงก็ฟังเอาไว้ ถึงเวลาจะเข้าใจว่าที่อาตมาพูดนั้นหมายถึงอะไร พระนิพพานไม่ได้อยู่ไกล อยู่กับเรา อยู่ที่ใจ หรือถ้ากำหนดเป็นสถานที่ เป็นนิมิต ก็อยู่แค่หัว เลยหัวไปไม่ใช่พระนิพพาน เอาให้เครียดหนักไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2020 เมื่อ 20:19 |
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
||||
|
||||
วันนี้อาตมาไปงานศพของท่านอดีตสมาชิกสภาจังหวัดกาญจนบุรี ก็คือท่านปรีชา เจียจำรูญ ซึ่งถึงแก่กรรมด้วยอายุ ๘๕ ปี ก็ถือว่าพอสมควร ตอนนี้ลูกสองคนคือ คุณพันธกานต์ เจียจำรูญ ก็เป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ลูกชายคนเล็กคือคุณคณิน เจียจำรูญ ก็เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๑ ตำบลท่าขนุนนี่เอง เป็นตระกูลนักการเมืองท้องถิ่น สร้างคุณประโยชน์ให้กับท้องถิ่นมา ตั้งแต่รุ่นพ่อมาจนถึงรุ่นลูก
บรรดานักการเมืองต่าง ๆ ทั้ง ส.ส. อดีต ส.ส. ทั้ง ส.จ. อดีต ส.จ. ตลอดจนกระทั่งนักการเมืองท้องถิ่นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกอบต. มากันเต็มวัด ตลอดระยะเวลางานศพตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคมเป็นต้นมา ก็มีการสวดพระอภิธรรมผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันในวัดมาจนถึงเมื่อวาน วันนี้ก็เป็นการแสดงพระธรรมเทศนา มีการสวดมาติกา แล้วก็พิจารณาผ้าไตรบังสุกุล เรื่องนี้มาบอกกับญาติโยมทำไม ? อาตมาไม่ได้บอกแค่ญาติโยมเท่านั้น แต่บอกกับพระด้วยว่า ลูกหลานทำบุญไปให้ผู้ตาย ภาษาบาลีเรียกว่า ปุพพเปตพลี ก็คือการทำบุญอุทิศให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่ออะไร ? เพราะว่าคนเรามีต้นทุน ก็คือทาน ศีล ภาวนาที่ทำด้วยตนเอง แต่คราวนี้ทำมาก ทำน้อย จิตใจยึดความดี ไม่ยึดความดี ก็ยังเป็นส่วนต่างที่ทำให้ภพภูมิของเรามีคติที่ไม่แน่นอน ก็ต้องมีการสมทบทุน ถ้าต้นทุนไม่พอ ต้องมีการสมทบทุน คือลูกหลานต้องช่วยกันทำบุญส่งไปให้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2020 เมื่อ 19:03 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
||||
|
||||
ถ้าเราศึกษาในเรื่องทิศทั้ง ๖ ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา ข้อปฏิบัติข้อหนึ่งก็คือ เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว เราทำบุญไปให้ เพราะอะไร ? เพราะว่าในโลกอื่นไม่มีอาชีพที่จะช่วยให้อยู่สุขสบาย หรืออยู่แล้วเป็นทุกข์น้อยลง มีแต่ในโลกของเรานี้เท่านั้น
ใครเคยได้ยินว่านรกมีการค้าขายบ้างไหม ? มีการเล่นการเมืองไหม ? มีนายธนาคารประจำนรกไหม ? มีประเภท Hell wealth bank บ้างไหม ? เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานมีการค้าขายไหม ? เทวดา มาร พรหม มีไหม ? ไม่มี อาตมายังไม่เคยเจอโลกไหนที่ประกอบอาชีพเลย ยกเว้นโลกมนุษย์ แต่ก็มีไอ้ที่บ้า ๆ อยู่ที่หนึ่ง ก็คือบริเวณใกล้เคียงตำหนักพระยายม มีตลาดจตุจักร..! แถว ๆ นั้นมีหมดเลย คลองถมก็มี จตุจักรก็มี ซอยร้อยร้านก็มี เกิดจากเจ้าพวกที่ยึดติด ตายแล้วยังไม่เคยชิน ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นเทวดานางฟ้า ถึงเวลาก็ไปช็อปปิ้งกัน แล้วก็เดือดร้อนสิครับ พวกที่สร้างบุญไว้ดี นึกอยากได้อะไรก็มี ส่วนพวกที่สร้างบุญไว้ไม่ดี ก็ไม่สามารถที่จะมีได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 03:41 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
||||
|
||||
แต่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นแค่ชั่วคราว เพราะฉะนั้น..ถ้าใครจะไปตั้งร้านค้าที่นั่น จะเรียกว่านรกก็ไม่ใช่ เพราะว่าเป็นชายขอบของชั้นจาตุมหาราช เรียกว่าเป็น "ตลาดเจเจ" ของจาตุมหาราชแล้วกัน
ถ้าไปตั้งร้านค้าที่นั่น หาความแน่นอนไม่ได้ พอลูกค้าเริ่มเคยชินกับสภาพของเทวดานางฟ้า ก็ไปแล้ว บางวันก็โล่งยิ่งกว่าโดนโควิดอาละวาด บางวันคนตายมาก ไปใหม่ ๆ ก็แน่นเชียว แต่ต้องหมายถึงว่าบุคคลที่ตายแล้วได้รับการพิพากษาบ้าง ไปตามแรงบุญของตัวเองบ้าง ไปอยู่ในขอบเขตของกามาวจรทั้ง ๖ ชั้น ก็คือตั้งแต่จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี เคยชินตั้งแต่ความเป็นมนุษย์ ไปถึงที่โน่นใหม่ ๆ ยังละความเคยชินไม่ได้ ก็เลยไปช็อปปิ้งกัน จะเอาข้าวของยี่ห้อไหนมีหมด โลกมนุษย์มียี่ห้ออะไร ตรงนั้นมีหมด เจอใหม่ ๆ อาตมาคิดว่ากูเพี้ยนหรือเปล่าวะ...? ครูบาอาจารย์ที่ไปนรกไปสวรรค์ได้ ไม่เห็นพูดถึงตรงนี้เลย คือไม่มีคุณค่าอะไรพอให้พูดถึง ยกเว้นว่าเห็นโทษของความยึดติด แล้วตรงที่พูดถึงก็ไม่ได้พูดตรงจุดนี้ จุดที่พูด...จำกันได้ไหมว่า โลกอื่นไม่มีการทำอะไรที่ผ่อนคลายความทุกข์ของตนเองได้เหมือนโลกมนุษย์ ก็ต้องอาศัยกำลังบุญ คุณความดีที่ตนเองสร้างไว้ หรือว่าลูกหลานช่วยทำไปให้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-05-2020 เมื่อ 10:04 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#130
|
||||
|
||||
แล้วคราวนี้เป็นเทวดา นางฟ้า พรหม ทำบุญได้ไม่ใช่หรือ ? ได้...แต่ยากมาก ถามว่าทำไม ? ก็เพราะว่าโอกาสที่จะได้ทำแบบมนุษย์เรานั้นมีน้อยมาก
อันดับแรกเลย ถ้าเพลิดเพลินอยู่กับทิพยสมบัติ แค่เวลาไม่นานของเขา โลกมนุษย์ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว พอถึงเวลาเล็งดูว่าตรงนี้เป็นสถานที่ซึ่งเราจะสร้างบุญได้ อ้าว...ดันกลายเป็นเขตของคนอื่นเสียอีก โดยมารยาทแล้วก็ล่วงเขตของเขาไม่ได้อีก ยุ่งยากมาก ชั้นสูงกว่าลงต่ำได้ แต่ชั้นต่ำกว่าขึ้นสูงไม่ได้ ยกเว้นว่าได้รับเชิญ เรื่องพวกนี้อย่าไปคุย นอกทุ่งนอกท่ามากเกินไป เดี๋ยวก็จะมีคนมาว่าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมอีก ในเมื่อไม่สามารถที่จะทำได้ หรือว่าทำได้ยาก อย่างเช่น สมมติว่าเป็นรุกขเทวดาอยู่ในเขตวัดท่าขนุน เห็นพระท่านเข้านิโรธสมาบัติ โน่น...อยู่เทือกเขาตะนาวศรี จะไปใส่บาตรก็ไม่ได้ ก็ได้แต่ยืนมองน้ำลายยืด เพราะว่าไม่ใช่เขตตัวเอง ไปไม่ได้ แล้วเจ้าของถิ่นเขาก็คงไม่ใจดีเชิญให้ไปหรอก เพราะว่าเขาก็อยากทำเองเหมือนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 03:44 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#131
|
||||
|
||||
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าทุกคนต้องทำเอง เร่งทำแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล ให้สภาพจิตเคยชินและเกาะบุญกุศลนั้นได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาต่อให้ทำมามาก แต่สภาพจิตเกาะบุญกุศลไม่ได้ ก็ต้องไปเสี่ยงดวงเอาว่าจะได้ผ่านตำหนักพระยายมหรือไม่ ? ถึงผ่านตำหนักพระยายมก็ต้องไปเสี่ยงดวงอีกว่า จะระลึกถึงความดีได้หรือไม่ ?
บางคนไม่ได้เจตนา แต่ไปสร้างกรรมหนัก อย่างเช่นเอาของสงฆ์ไปกินไปใช้ ถึงเวลาแรงบาปที่รุนแรงมาก ก็ทำให้เรานึกความดีอะไรไม่ออก เมื่อสอบถามจนถ้วนทั่วแล้ว เราไม่สามารถที่จะนึกได้ พระยายมท่านก็ต้องวางอุเบกขา ปล่อยให้รับโทษไปตามกรรมที่เคยสร้างมา การทำบุญทำกุศลใน ทาน ศีล ภาวนา จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำ ทำจนสภาพจิตเคยชิน อาตมาเองนั่งอยู่ตรงนี้มาประมาณ ๒ เดือนแล้ว ตั้งแต่โควิด ๑๙ อาละวาด ต้องปรับการสวดมนต์ทำวัตรให้เหลือน้อยที่สุด จากที่เคยทำวัตรเย็น ๒ รอบก็เหลือแค่รอบเดียว เวลาจึงมีเหลือมาก จึงต้องมานั่งบ่นให้พระให้เณรท่านฟัง แล้วก็มีวันนี้แหละ..ที่มีโอกาสบ่นเผื่อโยมทางบ้านด้วย แต่โยมหลายท่านก็อยากให้โควิด ๑๙ อาละวาดไปนาน ๆ เพราะว่าหลวงพ่อไม่ไปรับสังฆทาน มีอะไรหลวงพ่อก็เล่าลงเก็บตกให้ฟัง ถ้ามีโอกาสไปรับสังฆทาน หลวงพ่อก็เล่าบ้าง ไม่เล่าบ้าง ไปตกลงกันเองก็แล้วกันว่าจะเอาแบบไหน อาตมาไม่ไปรับสังฆทานก็สบายดี อยู่วัดก็เหนื่อยน้อยหน่อย มีแต่โยมที่จะคลั่งตาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:37 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#132
|
||||
|
||||
เรื่องของการทำความดี ถ้าเคยชิน เราก็ทำเองได้ ควบคุมตัวเองได้ แต่พอไม่เคยชิน ต้องอาศัยการชักนำของสถานที่ ของบุคคล ของดินฟ้าอากาศ ของข้าวปลาอาหาร ของแหล่งที่จะได้รับธรรมะ เหล่านี้เป็นต้น ในเมื่อขาดไป ก็เหมือนกับขาดใจ อาตมานั่งอยู่ตรงนี้จนชักจะชินแล้ว ดีไม่ดี...พอประกาศเลิกควบคุมโดย พรก.ฉุกเฉิน พระเณรท่านอาจจะขอร้องว่า "หลวงพ่อทำวัตรเย็นรอบเดียวเถอะครับ เอาเวลามานั่งด่าพวกผมดีกว่า..!"
หรือไม่ก็อย่างบรรดาคณะกรรมการชุมชนคุณธรรม ทั้งชุมชนคุณธรรมวังท่าขนุน ชุมชนคุณธรรมริมฝั่งแควน้อย ชุมชนคุณธรรมพัฒนาทองผาภูมิ เปิดโรงทานเพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพในระหว่างการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ทำงานมาจะสองเดือนเต็มแล้ว นี่ยังปรารภกันอยู่ว่า หลังจากสองเดือนแล้วเราจะทำอะไรกัน ? เพราะว่าไปทำครัวเลี้ยงคนอยู่ทุกวัน แล้วอยู่ ๆ ก็ไม่ได้ทำ ความจริงพอเขาขยาย พรก.ฉุกเฉินออกไป อาตมาก็ว่าน่าจะต่ออีกสักเดือนหนึ่ง รายจ่ายก็ยังพอที่จะจ่ายไหวอยู่ วันหนึ่งห้าหกพันบาท ได้คืนมาสามพันบาท แต่ว่าสงสารคนทำงาน สองเดือนกว่านี่กรอบเต็มทีแล้ว บางคนก็บอกว่า เกิดมาไม่เคยพึ่งหมอนวดเลย ท้ายสุดทนไม่ได้ พอปิดครัวในช่วงบ่ายก็ต้องตามหมอนวด ถึงเวลาหมอนวดก็ต้องบังคับให้อาบน้ำ ให้ล้างมือ ให้อะไรต่อมิอะไรให้ยุ่งไปหมด ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่นวดให้ เพราะว่ากลัวติดเชื้อ ลำบากทั้งคนทำมาหากิน ลำบากทั้งคนที่ไปช่วยคนอื่นเขา คราวนี้พอความเคยชินเกิดขึ้น เชื่อเถอะ...ต่อให้ปิดโรงครัวแล้ว ก็ต้องมีใครเผลอขับรถไปทางด้านนั้นจนได้ เพราะว่าเคยไปอยู่ทุกวัน ความเคยชินตรงนี้ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่ามาจาก ฌานัง ก็คือ ฌาน หรือการเพียรเพ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสดงว่าทำความดีจนเป็นฌานไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:40 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#133
|
||||
|
||||
ถามว่าอาตมาลงทุนหลายแสนบาท เลี้ยงเขามา ๒ เดือนนี้คุ้มไหม ? คุ้ม..เพราะว่าทำให้คนอย่างน้อย ๖๐-๗๐ คนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเป็นเวรครัว มีความเคยชินในการทำประโยชน์แก่คนส่วนรวมหรือทำสาธารณประโยชน์
ลักษณะของทานเพื่อสาธารณประโยชน์ ผลบุญคล้ายคลึงกับสังฆทาน เพราะว่าเราอยู่ในช่วงที่ยังมีพระพุทธศาสนาสมบูรณ์บริบูรณ์ บุคคลยังมีศีลมีธรรมอยู่ ทำบุญกับบุคคลที่มีศีลสมบูรณ์ ได้อานิสงส์มากกว่าทำบุญกับบุคคลที่มีศีลบกพร่องเป็นร้อยเท่า ทำบุญกับผู้ที่มีศีลบกพร่อง มีอานิสงส์มากกว่าทำบุญกับบุคคลที่ไม่มีศีลเป็นร้อยเท่า ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคืออังกุรเทพบุตร ในอดีตชาติเปิดโรงทาน ๒๐ โรง เลี้ยงคนทั้งกลางวันกลางคืนตลอด ๒๐,๐๐๐ ปี เกิดเป็นเทวดา มีบุญน้อยที่สุดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ยุคนั้น เพราะว่าท่านเกิดในโลกยุคที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ให้ทานกับคนประเภทนั้น มีผลมากกว่าให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉานเท่านั้นเอง ส่วนอินทกเทพบุตร ทั้งชีวิตใส่บาตรครั้งเดียว เพราะว่ามีพระธุดงค์ผ่านไป ปรากฏว่าพระธุดงค์ไปเกิน ๔ ก็คือไปถึง ๖ รูป แล้วทั้ง ๖ รูปเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย ต้องบอกว่าเป็นเนื้อนาบุญที่มีผลมหาศาล ถึงเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไป ทั้ง ๒ ท่านมาถึงก่อน กราบพระพุทธเจ้าแล้วก็นั่งข้างซ้าย ๑ ข้างขวา ๑ รอฟังธรรม ปรากฏว่าพอเทวดานางฟ้าอื่นมา อังกุรเทพบุตรก็ต้องถอยไปเรื่อย เพราะว่ารัศมีสู้เขาไม่ได้ พลังงานสู้เขาไม่ได้ ก็โดยดันไกลออกไปเรื่อย อินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ต้องขยับเลย ระยะนี้บรรดาพระเณรต่าง ๆ เขาเริ่มสังเกตแล้วว่า เวลาพระอาจารย์เล็กนั่งลงตรงไหนนี่ไม่ต้องขยับเลย ยกเว้นว่าตั้งใจขยับ เพื่อให้เกียรติแก่พระผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างให้แก่คนอื่น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:42 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#134
|
||||
|
||||
เรื่องของบุญเรื่องของกุศล ถ้าเราสั่งสมสร้างมามากจริง ๆ ก็จะล้นออกมาเอง คนอื่นพอเห็นก็จะรู้แล้วว่าตรงนั้นที่ของเขา ไม่ใช่ที่ของเรา
ฉะนั้น...ไม่ว่าจะพระภิกษุสามเณร ตลอดจนญาติโยมที่วัดนี้ หรือที่บ้านก็ตาม ถ้าจะสร้างความดี ก็ต้องเพียรพยายามทำให้มาก ทำให้ชินเข้าไว้ คำว่า ทำให้มาก ไม่ได้หมายความว่าทุ่มเทกันแบบไม่กินไม่นอน แต่เป็นการทำตามมัชฌิมาปฏิปทา คือความพอเหมาะพอดีของตน คำว่า ทำให้มากก็คือทำบ่อย ๆ ทำจนกระทั่งถึงเวลาถ้าไม่ได้ทำ จะเริ่มรู้สึกว่าไม่ปกติ เหมือนกับมีอะไรบังคับว่าเราต้องทำ ถ้าอย่างนั้นกำลังใจเราถึงจะมั่นคงในความดีนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ตาม แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะปรับกาย วาจา ใจของเรา ให้พัฒนาไปในด้านดีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งความดี ก็เริ่มปล่อยดี เมื่อถึงเวลานั้น ดีก็ไม่เกาะ ชั่วก็ไม่เอา ทำดีเพราะรู้ว่าดีถึงทำ ละชั่วเพราะรู้ว่าชั่วถึงละ ในเมื่อไม่เอาทั้งดีทั้งชั่ว เราจะไปไหนได้ ? ก็ไปพระนิพพาน พอความดีเต็มอยู่ในใจของเรา พระนิพพานก็จะปรากฏชัดเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:44 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#135
|
||||
|
||||
ฉะนั้น...เราจะเห็นว่าการปฏิบัติธรรมที่บอกว่ามีบุคคล ๔ ประเภทคือ
สุกขวิปัสสโก บรรลุธรรมโดยไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย เตวิชโช หรือวิชชา ๓ บรรลุธรรมพร้อมความสามารถ ๓ อย่าง ก็คือระลึกชาติได้ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน และทำกิเลสให้สิ้นไปได้ ประเภทที่สามก็คือ ฉฬภิญโญ หรืออภิญญา ๖ บรรลุธรรมพร้อมด้วยความสามารถพิเศษ ๖ อย่าง ก็คือมีทิพโสต...หูทิพย์ ใครนินทา อยู่ไกลแค่ไหนก็ได้ยิน ทิพจักขุ...มีตาทิพย์ ใครทำอะไรใกล้ไกลแค่ไหน อยากจะเห็นก็เห็น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ...ระลึกชาติได้ จุตูปปาตญาณ...รู้ว่าคนก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน อาสวักขยญาณ...ทำกิเลสให้สิ้นไปได้ เป็นต้น แล้วก็มีปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ บรรลุธรรมแล้วมีความสามารถครอบคลุมทั้งสุกขวิปัสสโก เตวิชโชและฉฬภิญโญแล้ว ยังมีความสามารถพิเศษ ๔ อย่างก็คือ ธัมมาปฏิสัมภิทา...รู้เหตุทั้งปวง อัตถปฏิสัมภิทา...ผลทั้งปวง คือสร้างเหตุอะไร ได้ผลอย่างไร รู้หมด ปฏิภาณปฏิสัมภิทา...มีความคล่องตัวในเรื่องของปฏิภาณมาก ไม่ว่าจะขยายเรื่องเล็ก เรื่องสั้นให้ยาว ย่อเรื่องยาวให้สั้น อธิบายข้อธรรมที่ลึกซึ้งให้ง่าย อธิบายข้อธรรมที่ง่ายให้ลึกซึ้ง สามารถทำได้ตามใจปรารถนา นิรุกติปฏิสัมภิทา...รู้ภาษาคน ภาษาสัตว์ ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:45 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#136
|
||||
|
||||
คราวนี้สามประเภทหลังคือ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๔ สามารถรู้เห็นพระนิพพานได้ สุกขวิปัสสโกไม่มีความสามารถเช่นนั้น แล้วรู้ได้อย่างไรว่านี่คือพระนิพพาน ? นั่นคือสิ่งที่อาตมภาพได้พูดไปแล้วว่า ถึงเวลาพระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ไม่ต้องกังวล รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ทำไปเรื่อย ๆ พอดีถึงที่สุด วางดีลงได้เมื่อไร พระนิพพานจะปรากฏชัดเมื่อนั้น
ฉะนั้น...สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำมา ให้ตั้งเป้าเอาไว้สูงสุดว่าเราทำเพื่อพระนิพพาน ความเคารพในคุณพระรัตนตรัย ขอให้เป็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นส่วนของนามธรรม ไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่ใช่คัมภีร์ใบลาน ไม่ใช่องค์พระสงฆ์ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้าสามารถรักษากำลังใจนี้เอาไว้ได้ ทุกเช้าทุกเย็น ไม่ต้องมาก ครั้งละ ๕ นาที ๑๐ นาทีก็พอ ตายเมื่อไรท่านมีโอกาสไปพระนิพพานแน่นอน ก็ถือว่าพูดคุยกันพอให้หายคิดถึงแต่เพียงเท่านี้ เพราะว่าพระเณรก็ยังต้องทำวัตรสวดมนต์ แล้วก็ไปปฏิบัติหน้าที่การงานของตนเองกันต่อไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:46 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#137
|
||||
|
||||
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ท่านรองฯ เกียรติศักดิ์ (พ.ต.ท. เกียรติศักดิ์ วิเศษสิงห์ รอง ผกก.สภ.ทองผาภูมิ) นำกำลังตำรวจ ๒๐ นาย มาประจำจุดตามหน้าที่ตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ตามมาด้วยคุณแมว (นางสายใจ สินค้าประเสริฐ) หัวหน้าอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน นำ อสม.มา ๑๐ คน โรงพยาบาลทองผาภูมิ โดยแพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ส่งทีมแพทย์พยาบาลมา ๓ คน...
วันนี้ทุกคนต้องเป็นเด็กวัด รีบกินอาหารเช้าหลังจากพระฉันแล้ว จากนั้นก็เข้าประจำจุดทำหน้าที่ รอจนคณะของน้องเล็กขนเม็ดเงิน ๑๕๑ กิโลกรัมขึ้นรถเข็นแล้ว อาตมาก็เดินตามรถเข็นไปยังมณฑลพิธีหล่อพระด้วย... ทางด้านนี้คณะบายศรีของทิดตั้นเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว ภายใต้การอำนวยการของท่านอาจารย์พระมหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) มีหลวงพ่อนิล (พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม) นั่งภาวนาตีหน้าขู่เทวดา ที่ทำท่าจะเทฝนลงมาให้เดือดร้อนกัน..! อาตมาจับไมค์ลอยคุยจนได้เวลา ก็เข้าที่เตรียมการบวงสรวง โดยมีพระเณรและแม่ชีวัดท่าขนุน ยืนและนั่งเว้นระยะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ญาติโยมซึ่งรวมทั้งคณะบายศรี ทีมงานหล่อพระ ช่างภาพทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ตลอดจนทีมงานถ่ายทอดสด รวมกันแล้วมีไม่ถึง ๕๐ คน เป็นการจัดงานครั้งแรกของวัดท่าขนุน ที่มีพระเณรมากกว่าญาติโยม..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:47 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#138
|
||||
|
||||
จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยแล้ว อาตมาน้อมจิตถวายเครื่องบวงสรวงเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา โดยในสายของหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น มีอาตมาเพียงผู้เดียวที่ชุมนุมเทวดาด้วยเสียงตนเอง นอกนั้นล้วนแต่เปิดเสียงของหลวงพ่อวัดท่าซุงทั้งสิ้น...
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ตั้งแต่การทำบวงสรวงครั้งแรก ตอนขออนุญาตสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี อาตมาก็เปิดเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงเช่นเดียวกัน แล้วโดนท่านด่าใส่หูมาอย่างถนัดชัดเจนว่า "พวกแกใช้ข้าจนกระทั่งตาย ขนาดตายแล้วยังจะใช้ต่ออีกหรือ ?!!" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาก็เลิกใช้ครูบาอาจารย์ หันมาทำการบวงสรวงชุมนุมเทวดาด้วยเสียงตัวเองตั้งแต่บัดนั้น เป็นเวลาเกือบจะ ๓๐ ปีเข้าไปแล้ว... ในพิธีบวงสรวงแต่ละครั้งนั้น มีเคล็ดลับบางอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้ไว้เป็นการเฉพาะ ยังไม่สามารถที่จะบอกกล่าวเป็นสาธารณะได้ ถ้าทำตามเคล็ดลับนั้นแล้ว พระ พรหม เทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ ท่านจะสงเคราะห์ให้อย่างเต็มที่ทุกครั้ง ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้ว อาตมาจะถวายเครื่องบายศรีเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ขอให้การงานทุกอย่างราบรื่น ขอให้ทุกคนที่มาร่วมงานเดินทางกลับโดยปลอดภัย...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:48 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#139
|
||||
|
||||
เมื่อบอกกล่าวทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ทำน้ำมนต์พรมรอบมณฑลพิธี เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งจากผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งชอบส่งข้าวของที่อาตมาไม่ต้องการมาถวาย จากนั้นก็นำเม็ดเงิน ๑๕๐ กิโลกรัมลงเบ้าหลอม...
เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มอบหมายภาระให้กับทางทีมงานหล่อพระ อาตมาไปคุยกับญาติโยมถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์วัดท่าขนุน เมื่อพอสมควรแก่เวลาแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่สำนักงานเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน... น้องเล็กส่งไลน์มาให้ อาตมาอ่านแล้วก็ขำ เพราะว่าถึงกับมีผู้ส่งภาพถ่ายดาวเทียมมายืนยันว่า ช่วงก่อนบวงสรวงนั้น เมฆคลุมทั้งอำเภอทองผาภูมิ ยกเว้นบริเวณวัดท่าขนุน ครั้นบวงสรวงเสร็จแล้ว เมฆทั้งหมดเคลื่อนย้ายออกไป ฟ้าเปิดแดดเปรี้ยงไปทั้งอำเภอ..! ญาติโยมต้องไม่ลืมว่าอำเภอทองผาภูมินั้น กว้างใหญ่ขนาดจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงครามทั้ง ๓ จังหวัดรวมกัน ก็แปลว่าในขณะที่พายุไซโคลนอำพันยังฟาดหัวฟาดหางอยู่นั้น ทางวัดท่าขนุนปลอดจากภัยที่จะเกิดจากหางพายุโดยสิ้นเชิง... ตรงส่วนนี้ที่อาตมารู้สึกขำก็เพราะว่า ระยะหลังมีบุคคลเป็นจำนวนมากที่พยายามจะใช้วิทยาศาสตร์มาพิสูจน์จิตศาสตร์ และค่อนข้างจะทำได้ดีทีเดียว แต่ขอให้เชื่อเถอะ..ในเรื่องของอำนาจพลังจิตนั้น เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถที่จะติดตามทันได้ นอกจากจะพอเห็นหลังอยู่ลิบ ๆ เท่านั้น...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:49 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#140
|
||||
|
||||
ครั้งนี้เป็นงานแรกของวัดท่าขนุนที่ไม่ได้ตั้งโรงทาน โดยอาตมาสั่งข้าวกล่อง ๑๐ บาทจากโครงการของวัดท่าขนุนเอง เอามาถวายเพลพระและเลี้ยงญาติโยมที่ทำงาน โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ของวัด ใช้รถสามล้อเครื่องตระเวนส่งอาหารส่งน้ำให้แก่ผู้ที่ทำงานทั่วไป โดยเฉพาะบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งประจำจุดตรวจรอบบริเวณวัด...
เมื่อฉันเพลแล้วอาตมาออกไปเยี่ยมให้กำลังใจบรรดาพ่อครัวแม่ครัวที่ประจำอยู่โครงการข้าวกล่อง ๑๐ บาท พร้อมทั้งเอาข้าวของไปเติมตู้วัดใจ (ตู้ปันสุข) แล้วค่อยกลับมายังวัดท่าขนุน ที่สามารถทำเช่นนี้ได้เพราะว่าอาตมาทำงานทุกอย่างตรงเวลา เมื่อเห็นว่ายังมีเวลามากพอจึงไปทำงานอื่นก่อนได้... เรื่องของพระ พรหม เทวดา และครูบาอาจารย์นั้น การตรงต่อเวลาสำคัญที่สุด ถ้าผิดเวลาแล้วท่านจะไม่สงเคราะห์ให้ ถ้าเป็นอย่างนั้นผู้ที่เดือดร้อนและเสียประโยชน์มากที่สุดก็คือตัวเราเอง อาตมาจึงเป็นผู้ที่รักษาเวลามาก จนกระทั่งคนทองผาภูมิกล่าวกันว่า "พระอาจารย์เล็กนั้นตรงเวลาจนน่าเกลียด..!"...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 19:43 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|