กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 07-07-2022, 17:33
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,637
ได้ให้อนุโมทนา: 216,847
ได้รับอนุโมทนา 747,232 ครั้ง ใน 36,395 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-07-2022, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,642
ได้ให้อนุโมทนา: 151,907
ได้รับอนุโมทนา 4,415,556 ครั้ง ใน 34,232 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพได้ไปร่วมงานสวดมาติกาบังสุกุล และพิจารณาผ้าไตรบังสุกุลในงานฌาปนกิจศพของนายศุภธัช ชมเชย ซึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะที่อายุ ๒๔ ปี

มีเรื่องที่ควรจะกล่าวถึงก็คือว่า ทางด้านหลวงพ่อสุ่ย วัดทองผาภูมิ ผู้แสดงพระธรรมเทศนาหน้าไฟ ได้ยกเอาบาลีขึ้นมา แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าผู้ฟังจะสะดุดใจมากน้อยแค่ไหน

บาลีที่ว่านั้นก็คือ

อะยัมปิโข เม กาโย อันว่าร่างกายนี้หนอ

เอวัง ภาวี เป็นเช่นนี้ เป็นธรรมดา

เอวัง ธัมโม สภาพก็เป็นเช่นนี้

เอวัง อะนะตีโต ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นไปได้


ซึ่งตรงจุดนี้เป็นการประกาศสัจธรรมความจริงแท้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า หลักธรรมของพระองค์นั้นเป็นสัจธรรม ไม่ใช่เป็นปรัชญาอย่างที่ผู้คนเขากล่าวกัน

คำว่า สัจธรรม คือหลักธรรมที่แท้จริงนั้น เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ พิสูจน์ได้ ไม่สามารถที่จะคัดค้านด้วยทฤษฎีใด ๆ ทั้งสิ้น

ส่วนคำว่า ปรัชญานั้น ก็คือหมวดวิชาความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งที่เขานำมาถกเถียงกัน เพื่อหาข้อยุติ ถ้าหากว่าได้ข้อยุติแล้วก็จะกำหนดขึ้นมาเป็นศาสตร์ต่าง ๆ อย่างเช่นว่า คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จริยศาสตร์ สังคมศาสตร์ เป็นต้น

ดังนั้น...ทุกครั้งที่คนใช้คำว่า ปรัชญาพระพุทธศาสนา กระผม/อาตมภาพฟังแล้ว จึงนึกค้านอยู่ในใจว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้นเป็นอริยสัจ เป็นของจริง ของแท้ ที่พิสูจน์ได้แน่นอนแล้ว ไม่ใช่เป็นทฤษฏีที่ยังมีคนคัดค้านได้

ดังนั้น...ถ้าใช้ภาษาอังกฤษ คำว่าทฤษฎีคือ Theory ซึ่งถ้าหากว่าเรามีแนวคิด หรือว่าหนทางที่พิสูจน์ได้ว่าของเก่านั้นยังไม่ดีจริง ไม่ดีแท้ ทฤษฎีเก่านั้นก็จะตกไป แล้วผู้คนจะมายึดถือในทฤษฎีใหม่แทน

ถ้าเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ก็ไม่ควรจะใช้คำว่า Theory ก็คือทฤษฎี หากแต่ควรที่จะเป็น Theorem ก็คือทฤษฎีสัมบูรณ์ หรือไม่ก็เปลี่ยนจากคำว่า Philosophy ก็คือปรัชญานั้น มาเป็น Noble Truth ก็คืออริยสัจ ความจริงแท้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2022 เมื่อ 01:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 08-07-2022, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,642
ได้ให้อนุโมทนา: 151,907
ได้รับอนุโมทนา 4,415,556 ครั้ง ใน 34,232 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่เราจะไม่มาเถียงกันในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เพราะว่าเสียเวลา เพียงแต่ได้ชี้แจงให้พระภิกษุสามเณรของเราและญาติโยมให้เข้าใจ เมื่อถึงเวลาที่ใครยกคำสอนในพระพุทธศาสนาขึ้นมา แล้วบอกว่าเป็นปรัชญาของพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าปรัชญาในคำนี้ ควรที่จะตีความตามภาษาบาลี ไม่ใช่ตีความตามภาษาอังกฤษ

ถ้าตีความตามภาษาบาลีก็คือ ปร หรือควรจะแก้เป็น ปรม คืออย่างยิ่ง กับ ญา ก็คือธาตุรู้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็คือ รู้เป็นอย่างยิ่ง

แต่ว่าในที่นี้ คำว่าปรัชญานั้น มาจาก ปร ที่แปลว่า อื่น กับ ญาธาตุ ก็คือ ในความรู้ ก็คือความรู้อื่น ๆ ที่สามารถมีเพิ่มขึ้นไปได้อีก

ดังนั้น...บางสิ่งบางอย่างที่มาใช้ในพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าเป็นบุคคลที่ไม่รู้และไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ก็จะทำให้เกิดการ "ด้อยค่า" ในพระพุทธศาสนาของเราขึ้นมาได้

โดยเฉพาะบุคคลในปัจจุบันนี้ มักจะตำหนิอยู่เสมอว่า พระภิกษุสามเณรของเราทำให้ญาติโยมทั้งหลายยึดติดในไสยเวทย์อาคม ในเรื่องของวัตถุมงคล เรื่องของน้ำมนต์น้ำหมาก เหล่านี้เป็นต้น

ทั้ง ๆ ที่คนพูดเองก็ไม่ได้เข้าวัด แล้วแถมยังต้องการแก่นธรรมที่แท้จริงด้วย โดยที่ลืมนึกถึงความเป็นจริงว่า ต้นไม้นั้นมีแต่แก่นอย่างเดียว ก็ไม่สามารถจะเป็นต้นไม้ได้ หากแต่เป็นท่อนฟืนต่างหาก..! การที่จะเป็นต้นไม้นั้น ต้องประกอบไปด้วยแก่น กระพี้ เปลือก ลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผล โดยเฉพาะราก

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านที่ปรารถนาหลักธรรมบริสุทธิ์อย่างเดียว เพื่อที่จะเชิดชูพระพุทธศาสนา โดยที่ไม่ได้ดูว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้อย่างไร ก็จะกลับกลายเป็นบุคคลที่ทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบ่งบุคคลออกเป็น ๔ จำพวก ก็คือ

อุคฆฏิตัญญูบุคคล เพียงฟังหัวข้อคำสอนก็บรรลุมรรคผลได้เลย ท่านทั้งหลายเหล่านี้ สามารถนำเอาแก่นธรรมไปให้ได้

ท่านที่เป็นวิปจิตัญญูบุคคลนั้น ถ้าหากว่าอธิบายขยายความ จึงสามารถที่จะเข้าถึงได้ ก็แปลว่าต้องมีอย่างน้อยก็กระพี้ จึงจะเข้าถึงแก่นได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2022 เมื่อ 01:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 08-07-2022, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,642
ได้ให้อนุโมทนา: 151,907
ได้รับอนุโมทนา 4,415,556 ครั้ง ใน 34,232 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนผู้ที่เป็นเนยยะนั้น คือบุคคลที่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ปากเปียกปากแฉะอยู่บ่อย ๆ ต้องมีสิ่งล่อใจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสะเก็ด เป็นเปลือก เป็นกระพี้ เป็นกิ่งก้าน ใบ รากแก้ว รากฝอย ต่าง ๆ ทุกประการ จึงจะสามารถต้อนคนทั้งหลายเหล่านี้ให้เข้าสู่พระพุทธศาสนาได้

นี่จึงเป็นความจริงประการหนึ่ง ไม่ต้องไปกล่าวถึงบรรดาท่านที่เป็นปทปรมะ เพราะว่าบุคคลที่ต้องการแก่นธรรมอย่างแท้จริงอย่างเดียวนั้น อาจจะเป็นปทปรมะ คือผู้มากด้วยบทบาทก็ได้ เกี่ยงว่าสิ่งโน้นก็ไม่ดีสำหรับตน สิ่งนี้ก็ไม่เหมาะสำหรับตน

พอเอาแก่นธรรมที่แท้จริงไปให้ ก็กลายเป็นว่ายากเกินไปสำหรับตนอีก จึงกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า คนทั้งหลายเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นปทปรมะ คือผู้ที่ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มิอาจที่จะสั่งสอนได้ นี่เป็นประการที่หนึ่ง

ประการที่สองคือ หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ถ้าจะมุ่งเอาแก่นธรรมอย่างแท้จริง ก็ยังมีเป็นลำดับ ๆ ไป ก็คือเริ่มจากศีลก่อน เมื่อท่านทั้งหลายระมัดระวัง ตั้งสติ ไม่ให้สิกขาบทที่ตนยึดถือตามสภาพ ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือว่าศีล ๒๒๗ ก็ดี ระวังไว้ไม่ให้บกพร่อง ความที่มีสติระมัดระวัง ก็จะทำให้กำลังใจของท่านได้ก้าวเลื่อนเข้าไปสู่ลำดับที่สูงขึ้น ก็คือระดับของสมาธิ

เมื่อท่านทั้งหลายมีศีล มีสมาธิทรงตัวแล้ว ก็ย่อมที่จะเห็นหนทางว่าทำอย่างไร เราถึงจะก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ ซึ่งต้องก้าวล่วงตามลำดับ ๆ ไป

โดยเฉพาะการเป็นผู้ที่มีปัญญานั้น คือบุคคลผู้ไม่ประมาทด้วยประการทั้งปวง มีสิ่งหนึ่งประการใดที่สามารถยึดโยงให้ตนเองนั้นอยู่ใกล้ชิดติดกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็จะยึดจะเกาะไว้ก่อนด้วยความไม่ประมาท

ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็นวัตถุมงคล เป็นน้ำมนต์ เป็นน้ำหมาก หรือว่าเป็นพิธีกรรมใด ๆ ก็ตาม เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็จะยึดถือว่าก่อน เพราะว่าการที่จะเข้าถึงวิมุตตินั้น เราจำเป็นต้องยึดสมมติก่อน ถ้าไม่ยึดสมมติ ท่านก็ไม่มีอะไรให้ปล่อย แล้วจะเข้าถึงวิมุตติได้อย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2022 เมื่อ 01:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 08-07-2022, 00:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,642
ได้ให้อนุโมทนา: 151,907
ได้รับอนุโมทนา 4,415,556 ครั้ง ใน 34,232 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกประการหนึ่งก็คือสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น ประกอบไปด้วยคิหิปฏิบัติ ก็คือหลักธรรมสำหรับฆราวาสทั่วไป ตั้งแต่ปุถุชนที่หนาด้วยกิเลส เริ่มจากการให้ทาน เป็นต้น

เขาทั้งหลายเหล่านั้นจะตั้งหน้าตั้งตาทำบุญสุนทานทุกประเภททุกประการ จนกระทั่งบรรดาท่านที่เป็นปทปรมะไปกล่าวหาเขาทั้งหลายเหล่านั้นว่า ไปยึดติดกับสิ่งที่เป็นแค่เปลือก เป็นแค่กระพี้ของพระพุทธศาสนา แล้วถ้าหากว่าบุคคลที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรมขั้นต่ำก่อน จะให้เขาไปศึกษาธรรมขั้นสูงได้อย่างไร ? ขอให้ท่านทั้งหลายตรองตรงจุดนี้เอาไว้ด้วย

หลังจากที่ปฏิบัติในหลักของทานเป็นเบื้องต้นแล้ว ก็ยังมีหลักธรรมสำหรับกัลยาณชน ก็คือเรื่องของศีล หลังจากนั้นก็ค่อยไปเป็นสมาธิ ค่อยไปเป็นปัญญา ท่านทั้งหลายจึงจะสามารถพัฒนาตนเองเข้าสู่ความเป็นอริยชน ที่สามารถแตะถึงแก่นแท้แห่งธรรมได้

ดังนั้น...บรรดาท่านทั้งหลายที่ในปัจจุบันนี้ออกมาแสดงทัศนคติต่าง ๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา บางทีท่านเองก็แสดงทัศนคติจนกลายเป็น "ด้อยค่า" พระพุทธศาสนาของเราลงไป ด้วยความที่ท่านทั้งหลายยังศึกษาไม่ครบ ศึกษาไม่ถ้วน แต่ด่วนที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งมีแต่จะสร้างบาปหาบทุกข์ให้ตนเองเดือดร้อน จนอาจจะตกสู่อบายภูมิก็ได้..!

กล่าวมาถึงตรงจุดนี้ ท่านทั้งหลายก็จะหาว่ากระผม/อาตมภาพเอานรกมาขู่กันอีกแล้ว ถ้าหากว่าเป็นเรื่องนี้ กระผม/อาตมภาพไม่เสียเวลามาขู่ท่านทั้งหลาย เพราะขอยืนยันว่าเรื่องของนรก สวรรค์ พรหม พระนิพพานนั้นมีจริงแน่นอน เนื่องจากว่าได้ฝึกและปฏิบัติในกรรมฐานมา จนสามารถรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก่อนอายุครบ ๒๐ เสียอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2022 เมื่อ 01:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 08-07-2022, 00:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,642
ได้ให้อนุโมทนา: 151,907
ได้รับอนุโมทนา 4,415,556 ครั้ง ใน 34,232 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ได้บอกได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไป จะว่าไปแล้ว ก็ด้วยความที่ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ ก็คือเมตตา รักใคร่ในตัวท่านทั้งหลาย สงสาร เกรงว่าท่านทั้งหลายจะพลาดสู่อบายภูมิ

แต่ถ้าบอกกล่าวไปแล้ว ท่านทั้งหลายยังไม่คิดที่จะละเว้น และกระทำตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำตัวได้เป็นเพียงเด็กเลี้ยงวัว ก็คือรับค่าจ้างไปวัน ๆ โดยที่ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเรื่องของนมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมันเปรียง ที่เกิดจากวัวทั้งหลายเหล่านั้นมีรสชาติอย่างไร

ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายกำลังทำตัวให้เสียเวลาเปล่า หลงเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรม แต่ไม่สามารถที่จะน้อมนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและบุคคลรอบข้างได้ อยากจะบอกว่าเสียชาติเกิด ก็กล่าวแรงเกินไป

แต่ขอให้ท่านทั้งหลายลองใช้ปัญญาที่ท่านมีอยู่พินิจพิจารณาดูว่า สิ่งที่กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวนี้มาเป็นความจริงอย่างไรบ้าง ถ้าเห็นว่าพอมีความเป็นจริงบ้าง ก็ให้พยายามศึกษาพระไตรปิฎกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วหยิบยกเอาหลักธรรมที่เหมาะสมแก่ตนมาเร่งประพฤติปฏิบัติ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตน ก่อนที่จะล่วงลับดับขันธ์ลงไปตามธรรมดาของโลก

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2022 เมื่อ 01:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว