#1
|
||||
|
||||
เทศน์วันอาสาฬหบูชา วันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
เทศน์วันอาสาฬหบูชา วันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เชิญรับชมได้ที่ https://youtu.be/GSx4_wCULgc นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ เทฺวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพาติ ณ โอกาสบัดนี้ อาตมภาพจะแสดงพระธรรมเทศนาในธัมมจักกัปปวัตนสุตกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา เพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศรี แก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้ ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันอาสาฬหบูชาเมื่อสองพันหกร้อยกว่าปีล่วงมาแล้ว เป็นวันที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแสดงปฐมเทศนา ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ชมพูทวีป แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 27-08-2022 เมื่อ 05:37 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงบำเพ็ญบุญญาธิการมาอเนกอนันต์นับกัปกัลป์อนันตชาติ หลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาจนกระทั่งระยะเวลาล่วงเลยไปถึง ๖ ปี ก็ยังไม่สามารถที่จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณดังที่ปรารถนาได้
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมาครุ่นคิดว่า การที่พระองค์บำเพ็ญทุกรกิริยา คือ การทรมานตนนั้น ก็ยิ่งเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปเคยกระทำได้และทำถึง แต่ว่าไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ดังที่ปรารถนา หนทางนี้น่าจะไม่ถูกต้อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงกลับมาเสวยพระกระยาหารอีกวาระหนึ่ง เมื่อร่างกายมีกำลังแล้วจึงได้นั่งลงที่โคนต้นโพธิ์ ตั้งใจอธิษฐานว่า แม้เลือดเนื้อร่างกายนี้จะเหือดแห้งไปก็ตามที ถึงชีวิตินทรีย์นี้จะมลายลงไป ถ้าเข้าไม่ถึงอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณดังที่ได้หวังก็จะไม่คลายเสียซึ่งบัลลังก์นี้เลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กำหนดจิต พินิจพิจารณาในหัวข้อธรรมต่าง ๆ จนกระทั่งสามารถตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ คือ วันวิสาขบูชา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2022 เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เสวยวิมุติสุข ทบทวนหลักธรรมต่าง ๆ ที่ได้ตรัสรู้เป็นเวลา ๔๙ วัน แล้วก็มาใคร่ครวญว่า หลักธรรมนี้ช่างละเอียดลึกซึ้งจริงหนอ เกิดความขวนขวายน้อยว่า มนุษย์ทั่วไปน่าจะรู้ทั่วถึงธรรมนี้ไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่คิดที่จะแสดงธรรม
ท้าวสหัมบดีพรหมซึ่งเป็นใหญ่ในหมู่พรหมทั้งหลายเห็นดังนั้น จึงได้ลงมาอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในลักษณะที่กล่าวว่า มนุษย์ที่จักษุมีธุลีน้อยนั้นมีอยู่ สามารถรู้ทั่วถึงธรรมได้ ขอพระองค์ท่านจงแสดงธรรมเถิด ถ้าจะว่าไปแล้วว่า ทำไมถึงต้องให้ท้าวสหัมบดีพรหมมาบอก พระพุทธเจ้าถึงจะรู้ว่าคนที่บรรลุธรรมได้นั้นมีอยู่ ซึ่งความจริง องค์สมเด็จพระบรมครูท่านรู้อยู่แล้วแต่เป็นธรรมเนียมว่า การจะทำสิ่งหนึ่งประการใดต้องมีคนเชิญ หรืออกปากให้ช่วยกระทำก่อน ถึงจะรับทำตามนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วสมัยนี้เด็กวัยรุ่นเขาบอกว่า "เผือก"..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2022 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้รับปากว่า จะแสดงธรรม แล้วมาพินิจพิจารณาว่า บุคคลใดหนอที่จะรู้ทั่วถึงธรรมของเราได้
ก็ตระหนักถึงอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร สองอาจารย์ที่สอนให้ท่านได้สมาบัติที่ ๗ และสมาบัติที่ ๘ แต่ปรากฏว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร นั้นได้เสียชีวิตลงไปเมื่อ ๗ วันที่แล้ว ส่วนอุทกดาบส รามบุตรนั้น ยิ่งน่าสงสารเข้าไปอีก เพราะว่าเพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อครู่นี้เอง ทั้งสองท่านเมื่อเสียชีวิตแล้ว ก็ไปตามเหตุปัจจัยที่ตนได้สร้างเอาไว้ ก็คือไปเกิดเป็นอรูปพรหม ซึ่งมีแต่ดวงจิต ไม่มี 'อายตนะ' คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใด ๆ เลย ในเมื่อมีแต่สภาพของจิตอย่างเดียว ไม่มี 'อายตนะ' คือ เครื่องรับรู้ภายนอก ก็ไม่สามารถที่จะแสดงธรรมต่อท่านทั้งสองได้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2022 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มานึกต่อว่า แล้วบุคคลใดที่ควรจะรับรู้ซึ่งธรรมอันลึกซึ้งทั้งหลายเหล่านี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ระลึกไปถึงปัญจวัคคีย์ คือ พราหมณ์ทั้งห้า ที่บวชติดตามพระองค์ท่านมาอยู่ถึง ๖ ปี
เมื่อเห็นว่าพระองค์ท่านเลิกการทรมานตน ซึ่งความเชื่อของเหล่าคนในยุคนั้นว่าเป็นทางหลุดพ้น หันมาเสวยพระกระยาหาร จึงทำให้พราหมณ์ทั้งหลายคิดว่า สิทธัตถราชกุมารนี้คงจะไม่สามารถเข้าถึงมรรคผลได้แล้ว จึงพากันหลีกหนีไปจากที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชลา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม หนีไปอยู่ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายคิดว่า เป็นระยะทางใกล้ไกลเท่าไร ? ถ้าในสมัยนี้นั่งรถยนต์จากสถานที่ตรัสรู้ ไปยังสถานที่แสดงปฐมเทศนา เป็นระยะทางตามทางรถยนต์ถึง ๒๓๐ กิโลเมตร ก็ประมาณทองผาภูมิถึงกรุงเทพฯ พอดี..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2022 เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปถึง บรรดาปัญจวัคคีย์ทั้งห้าเห็นเดินมาแต่ไกลก็จำได้ ต่างก็บอกว่า สิทธัตถราชกุมารน่าจะทนความลำบากไม่ได้ ต้องการให้เราถวายการรับใช้เหมือนเดิม พวกเราจงอย่าได้ลุกรับ จงอย่าได้เชื้อเชิญให้นั่ง ปูอาสนะทิ้งไว้เฉย ๆ ถ้าท่านปรารถนาจะนั่งก็จงนั่งเถิด
เมื่อตกลงกันอย่างดิบดีแล้ว ปรากฏว่าองค์พระประทีปแก้วเสด็จไปถึง อาจจะด้วยพุทธบารมีประการหนึ่ง หรืออาจจะเกิดจากความเคยชินที่ถวายการรับใช้มาหลายปีอีกประการหนึ่ง ต่างคนก็ต่างลืมข้อตกลงของตน ลุกขึ้นถวายการต้อนรับ นิมนต์ให้นั่ง ถวายน้ำใช้น้ำฉันต่าง ๆ ตามธรรมเนียม แต่ยังแสดงออกซึ่งความไม่เคารพ โดยใช้แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "อาวุโส" ซึ่งแปลความว่า "ผู้มีอายุ" ในลักษณะที่พูดกับเด็ก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2022 เมื่อ 02:33 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ในเมื่ออยู่ในลักษณะนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้กล่าวว่า พระองค์ท่านบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในเบื้องแรกปัญจวัคคีย์ก็ยังไม่เชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสซ้ำว่า "ตั้งแต่อยู่ร่วมกันมาหลายปี เคยเห็นว่าเราพูดสิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นความไม่จริงบ้างหรือไม่ ?"
ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าระลึกถึงตรงนี้ได้ จึงนึกขึ้นมาว่า สิทธัตถราชกุมารนั้นเป็นบุคคลที่พูดจริงทำจริง มีวาจาสัตย์อยู่เสมอ เมื่อพระองค์ท่านบอกว่าบรรลุธรรมก็น่าจะบรรลุจริง ดังนั้นถ้าท่านกล่าวอะไรมาเราจะรับฟัง ในเมื่อเป็นในลักษณะนั้นแสดงว่า เปิดใจพร้อมที่จะรับความดีความงามได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้แสดง "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร" ดังที่เมื่อครู่อาตมภาพได้ยกขึ้นเป็นนิกเขปบทในเบื้องต้นว่า "เทฺวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา" เป็นต้น แปลความว่า ส่วนสุด ๒ อย่างเป็นสิ่งที่บรรพชิต คือ นักบวชทั้งหลาย ไม่ควรที่จะซ่องเสพเสวนาด้วยก็คือ การทรมานตนเกินไปอย่างหนึ่ง การประกอบตนให้สุขสบายจนเกินไปอย่างหนึ่ง ในส่วนที่พึงจะกระทำก็คือ "มัชฌิมาปฏิปทา" ความพอเหมาะพอดี ซึ่งตถาคตกระทำแล้วสามารถบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 27-08-2022 เมื่อ 23:40 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
แล้วพระองค์ท่านก็แสดงให้ทราบหลักความเป็นจริง ๔ อย่างในโลก คือ อริยสัจทั้งสี่ ได้แก่
ทุกข์ การเกิดมาแล้วไม่ว่าจะอยู่ไหนสภาวะไหนก็ตาม มีแต่สิ่งที่จะต้องทนจนกว่าจะพ้นผ่านไปได้ สมุทัย สาเหตุที่สร้างให้ทุกข์ทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นมา นิโรธ หรือ นิโรธะ คือ การดับความทุกข์ทั้งหลายนั้นอย่างสิ้นเชิง และ มัคคะ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า มรรค คือ หนทางการเข้าถึงความดับทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า การจะเข้าถึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หรือบรรลุมรรคผลได้นั้น จะต้องรู้ทุกข์ให้แจ่มแจ้ง เมื่อรู้แล้วว่าทุกข์เกิดจากอะไร ก็อย่าได้ไปแตะต้องสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นอีก เมื่อเราไม่สร้างสาเหตุ ทุกข์เกิดไม่ได้ ความดับทุกข์ก็จะเกิดขึ้น หนทางแห่งความดับทุกข์นั้นมีอยู่ ๘ ประการ ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ไปจนถึง สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เป็นต้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 26-08-2022 เมื่อ 03:29 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรสิ้นลง โกณฑัญญพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้มีอาวุโสมากที่สุด ก็เกิดดวงตาเห็นธรรมว่า "สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา" ทำให้สามารถเข้าถึงมรรคผลเบื้องต้นคือความเป็นพระโสดาบันได้
ดังนั้น..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ประทานการบวชให้โดยวิธีกล่าวว่า "เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ขอเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบเถิด" ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่า เป็นการบวชแบบ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" ดังนั้นในวันอาสาฬหบูชานั้นจึงเป็นวันที่เรามีพระรัตนตรัยครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งสามประการ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:20 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ในช่วงวันวิสาขบูชาเรามีพระธรรม ซึ่งสั่งสมมาจนถึงระดับในจิตในใจแล้ว เมื่อเกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วพระพุทธเจ้านำเอาหลักธรรมนั้นมาแสดงต่อปัญจวัคคีย์ทั้งห้า จนโกณฑัญญพราหมณ์รู้ตามได้ แล้วได้รับการบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงเรียกได้ว่าปรากฏพระรัตนตรัยขึ้นอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
คำว่า "รัตนตรัย" หรือคำว่า "สาม" นี้เป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก เพราะว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่ประกอบด้วยสามนั้น สามารถกระจายออกได้จนนับไม่ถ้วน ถ้าหากว่าตามหลักเต๋าจะบอกเอาไว้ว่า "สุญตา" ก่อให้เกิดกำเนิดหนึ่ง หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม สามกำเนิดสรรพสิ่ง เป็นต้น จะเห็นว่าถ้าเก้าอี้มีสามขาในแง่มุมที่พอดีก็จะตั้งได้มั่นคง สิ่งของสิ่งหนึ่งประการใดก็ตาม ถ้าหากว่ามีสามก็จะพอเหมาะพอดี ดังนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงสิ่งสามประการแรกก็คือ "ไตรสิกขา" การศึกษา ๓ อย่าง คือ "ศีล สมาธิ ปัญญา" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:22 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ไตรสิกขานี้มาจากไหน ? ก็มาจากมรรคทั้งแปด คือ..
"สัมมาทิฏฐิ" การมีความเห็นที่ถูกต้อง "สัมมาสังกัปปะ" การมีความคิดที่ถูกต้อง.. นี้เป็น "ปัญญา" "สัมมาวาจา" คำพูดที่ถูกต้อง "สัมมากัมมันตะ" การกระทำที่ถูกต้อง "สัมมาอาชีวะ" การเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง.. นี้เป็น "ศีล" "สัมมาวายามะ" ความเพียรที่ถูกต้อง "สัมมาสติ" การตั้งสติไว้ถูกต้อง "สัมมาสมาธิ" การบำเพ็ญสมาธิที่ถูกต้อง.. นี้จัดเป็น "สมาธิ" แต่คนไทยเราไม่ได้เรียก "ปัญญา ศีล สมาธิ" หากแต่ถนัดที่จะเรียกว่า "ศีล สมาธิ ปัญญา" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:22 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสรุปลงในหลักธรรมนี้ เรียกว่า "ไตรสิกขา" คือ..บุคคลที่ปรารถนามรรคปรารถนาผล จะต้องศึกษาให้ชัดเจนในการรักษาศีลให้ยิ่ง ทำสมาธิให้ยิ่ง และทำปัญญาให้บริสุทธิ์ จึงก่อให้เกิดไตรสิกขาขึ้นมา
เมื่อเกิดไตรสิกขาขึ้นมาแล้ว บุคคลที่ตั้งใจยึดถือปฏิบัติตามบริสุทธิ์โดย "ไตรทวาร" ก็คือ "กาย วาจา ใจ" คือ.. การควบคุมกายและวาจา ด้วย "ศีล" ควบคุมกาย วาจา และใจ ด้วย "สมาธิ" แล้วใช้ "ปัญญา" ในการชำระทั้งกาย วาจา และใจให้บริสุทธิ์สิ้นเชิง.. ดังนั้น "ไตรสิกขา" จึงก่อให้เกิดความบริสุทธิ์ของ "ไตรทวาร" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:23 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
เมื่อความบริสุทธิ์นี้เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของพระภิกษุสงฆ์ มาเสริมเติมพระรัตนตรัยจนครบถ้วนสมบูรณ์พอดี
ดังนั้น..สามอย่างแรก คือ "ไตรสิกขา" ศีล สมาธิ ปัญญา ก่อให้เกิดความบริสุทธิ์โดย "ไตรทวาร" คือ กาย วาจา และใจ แล้วทำให้เกิด "ไตรรัตน์" หรือ "พระรัตนตรัย" ขึ้นมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เราจะเห็นได้ว่า สามก่อให้เกิดสาม ก่อให้เกิดสาม สมบูรณ์เป็นสามในวันอาสาฬหบูชานั้นเอง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:24 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายที่มาทำบุญในวันอาสาฬหบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้ เมื่อท่านตั้งอกตั้งใจมาวัด ก็แปลว่า กำลังใจของท่านเกาะในคุณความดีแล้ว
รำลึกถึงหลวงปู่สาย ก็เป็น "สังฆานุสติ" นึกถึงหลวงพ่อทองคำ ก็เป็น "พุทธานุสติ" นึกได้ว่าจะได้มารักษาศีล ๘ ก็เป็น "สีลานุสติ" นึกได้ว่าจะได้ฟังเทศน์ ก็เป็น "ธัมมานุสติ" ก็แปลว่า..เราทั้งหลายนั้นได้ปฏิบัติในไตรสิกขาได้ครบถ้วน แม้ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เมื่อท่านปฏิบัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์จริง ๆ สามารถชำระ กาย วาจา ใจ ให้ผ่องใสได้จริง ๆ ท่านทั้งหลายก็จะมีโอกาสเข้าถึงมรรคเข้าถึงผลตามวาสนาแห่งตน แม้ว่าไม่สามารถเข้าถึงมรรคถึงผลได้ในชาตินี้ ก็ยังเป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคถึงผลในชาติต่อ ๆ ไปได้ง่ายยิ่งขึ้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:25 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
โดยเฉพาะบุญกุศลที่ท่านทั้งหลายได้สร้างเสริมกันในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น..
การทำบุญใส่บาตร ที่จะก่อให้เกิดโภคทรัพย์ การที่เราได้ฟังธรรม การที่เราได้หล่อเทียนพรรษา จะก่อให้เกิดปัญญาญาณแก่กล้า ช่วยแก้ไขปัญหา ทั้งทางโลกและทางธรรมก็ได้ แล้วขณะเดียวกัน เราท่านทั้งหลายยังน้อมนำเอาความดีเหล่านี้ไปบอกต่อไปสอนต่อ จัดเป็นธรรมทานใหญ่สำหรับผู้ที่รับฟังอีกด้วย สิ่งหนึ่งประการใดที่เราได้ร่วมกันทำในวันนี้ จึงจัดว่าเป็นบุญใหญ่ทั้งสิ้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอานิสงส์ ทำให้เรามีความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า จนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพานสมดังความปรารถนา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:26 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
เทสนาวสาเน..ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของหลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนแห่งนี้เป็นที่สุด ประกอบกับอานิสงส์ผลบุญที่ท่านทั้งหลายได้กระทำแล้วในโอกาสนี้ จงมารวมกันเป็นตบะ เดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบแต่ความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการ
รับหน้าที่วิสัชนามาในธัมมจักกัปปวัตนสุตกถา ก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์วันอาสาฬหบูชา ณ วัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย มกร) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:26 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|