กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-03-2023, 19:09
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 348
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,966 ครั้ง ใน 826 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-03-2023, 00:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,023 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันสุดท้ายในโครงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสำหรับเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ อากาศช่วงเช้าอยู่ที่ประมาณ ๑๙ องศาเซลเซียส น่านอนมาก ๆ แต่กระผม/อาตมภาพก็ออกไป "เรียกแขก" ตั้งแต่ตี ๓ ครึ่งเหมือนเดิม

เมื่อถึงตี ๔ ก็แจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ให้ทุกท่านกำหนดกำลังใจไปตามที่กระผม/อาตมภาพได้สอนมาทุกเช้า อยู่ในลักษณะ "หากินเอาเอง" เพราะว่าถ้ามัวแต่รอครูบาอาจารย์นำอยู่ เมื่อไรเราถึงจะสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองเสียที ตราบใดที่เรายืนให้มั่นคงด้วยตนเองไม่ได้ เราก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือผู้ใดได้ เนื่องเพราะว่าตนเองก็ยังคงลอยตามน้ำอยู่ แล้วจะไปช่วยเหลือผู้อื่นให้ขึ้นจากน้ำ ย่อมเป็นไปไม่ได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง สามารถเป็นเกาะ ยืนหยัดต้านกระแสน้ำเชี่ยวหรือว่าสามารถก้าวขึ้นสู่ฝั่งได้เลย ก็จะเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อจบจากกรรมฐานภาคเช้า พวกเราก็ได้รับบิณฑบาต ซึ่งบรรดาเจ้าภาพก็น่ารักเหลือเกิน เพราะว่าวิ่งมากันตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ ช่วยกันจัดเตรียมอาหารคาวหวานต่าง ๆ เอาไว้มากมายจนเหลือล้น แต่กระผม/อาตมภาพก็ยังคงปฏิบัติตนเหมือนเดิม ก็คือถ้าเป็นข้าวต้มก็ ๑ ทัพพี ซึ่งถ้าตั้งใจตักจริง ๆ ก็คงตกอยู่ที่ประมาณ ๕ ช้อนโต๊ะ..! ถ้าหากว่าเป็นข้าวสวยก็ครึ่งทัพพี ส่วนกับข้าวก็ตักทุกอย่าง ๆ ละ ๑ ช้อน ซึ่งขอบอกว่ามากมายเพียงพอแก่การอิ่มเลยทีเดียว

หลังจากที่ฉันเช้าแล้วก็ปล่อยให้ทุกท่านไปเก็บข้าวเก็บของให้เข้าที่ เนื่องเพราะว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ท่านใดที่รถอยู่ในศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดนครปฐมศูนย์ที่ ๒ ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ก็ให้นำเอาข้าวของขึ้นรถไปเลย

หลังจากนั้นเมื่อ ๘ โมงตรง กระผม/อาตมภาพก็ขอให้ทุกท่านมาพร้อมกันที่ศาลาปฏิบัติธรรม ทำการกราบขอขมาพระวิปัสสนาจารย์เสียก่อน ซึ่งในฐานะที่กระผม/อาตมภาพเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่มีอายุกาลพรรษาสูงสุด จึงต้องเป็นผู้รับการกราบขอขมา โดยเป็นผู้รับพานดอกไม้จากตัวแทนเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดทั้งหมด ซึ่งในจำนวนเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั้ง ๑๑๒ รายที่มาอยู่ร่วมกันนั้น มีเพียง ๓ รายที่อายุกาลพรรษามากกว่า นอกนั้นล้วนแล้วแต่อายุกาลพรรษาน้อยกว่าทั้งสิ้น
กระผม/อาตมภาพจึงต้องตีหน้าตาย ๆ รับการขอขมาในฐานะตัวแทนคณะพระวิปัสสนาจารย์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2023 เมื่อ 16:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-03-2023, 00:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,023 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นก็ให้ตัวแทนของแต่ละจังหวัด ก็คือจังหวัดละหนึ่งราย ตั้งแต่จังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และสมุทรสาคร ได้กล่าวเปิดใจ ซึ่งสร้างความสนุกสนานเฮฮาให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าหลายต่อหลายท่าน เวลาอยู่วัดก็เจอแต่ญาติโยมมากวนเช้ายันเย็น เมื่อได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติธรรม ก็รีบเก็บข้าวของเผ่นมาโดยด่วนจี๋ ให้ความร่วมมือกับเจ้าคณะปกครองเป็นอย่างดียิ่ง แต่ความจริงก็คือหนีมาพักผ่อนนั่นเอง..!

ตรงส่วนนี้กระผม/อาตมภาพในสมัยที่เรียนหนังสืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกก็ตาม เวลาแห่งการเรียนหนังสือก็คือเวลาแห่งการพักผ่อน ไม่ต้องไปสนใจเรื่องงานบริหารใด ๆ ทั้งสิ้น ถือว่าการเรียนการสอนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด พ้นจากการเรียนการสอนไปแล้ว ถึงจะไปสนใจในเรื่องงานอื่น ๆ ที่ขำก็เพราะว่า เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมหลายท่านถือว่า การปฏิบัติธรรม ๗ วันนี้เป็นการพักผ่อนบ้าง เป็นการฟื้นฟูกำลังของตนเองบ้าง เป็นการมาหาความรู้เพิ่มเติมบ้าง

ตัวแทนจากสุพรรณบุรีบอกว่า "กระผมพยายามที่จะตื่นให้ทันหลวงพ่อเล็ก แต่ไม่เคยตื่นได้ทันแม้แต่วันเดียว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเวลาอยู่วัดก็ไม่ง่วง แต่พอมาอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรม ทำไมถึงได้ง่วงนักก็ไม่รู้ ?"
กระผม/อาตมภาพจึงได้ชี้แจงไปว่า เวลาอยู่วัดท่านมีเวลาพักผ่อนเป็นการส่วนตัว แต่ว่าเมื่อมาอยู่ในศูนย์ปฏิบัติธรรม เราต้องตื่นตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง กว่าจะได้นอนก็ ๓ ทุ่มบ้าง ๓ ทุ่มครึ่งบ้างทุกวัน เมื่อหลายวันเข้า ร่างกายเหนื่อยล้า ก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้ตื่นได้อย่างใจ

ส่วนกระผม/อาตมภาพเองนั้นไม่ได้ใช้นาฬิกาปลุกมาตั้งแต่พรรษาที่ ๓ หรือพรรษาที่ ๕ แล้ว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในช่วงระหว่างพรรษาที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ นั้นยังต้องมีนาฬิกาปลุกอยู่ "เผื่อเหนียว" แต่ว่าหลังจากนั้นแล้ว มั่นใจว่าสามารถกำหนดจิตให้ตื่นตามเวลาที่ต้องการได้ ก็เป็นอันว่าเลิกใช้นาฬิกาปลุกมาจนบัดนี้

ดังนั้น..การที่ตื่นเช้านั้นไม่ได้ตื่นเพราะว่าเป็นคนแก่ หากแต่ว่าตื่นในระยะเวลานี้มาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ แล้ว เพื่อที่จะเร่งรัดปฏิบัติธรรมของตนเองให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงต้องสละเวลานอนของตนเองให้เหลือน้อยลง เพื่อที่จะได้ปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น

เมื่อเปิดใจเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องรองรับบรรดาญาติโยมทั้งหลาย ที่ไหลมาเทมาเพื่อเป็นเจ้าภาพเลี้ยงส่งในวันนี้ แม้กระทั่งท่านอาจาย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และน้องขวัญ (ขวัญข้าว ธิดารินทร์) นักร้องคู่ใจของท่านอาจาย์ธนิสร์ ก็มาร่วมเป็นเจ้าภาพถวายเพลเป็นวันที่สามแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2023 เมื่อ 16:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 15-03-2023, 00:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,023 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อพวกเราทั้งหมดได้รับบิณฑบาตช่วงเพลและฉันเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมาซักซ้อมในการรับวุฒิบัตร ซึ่งวุฒิบัตรนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก จะเป็นเครื่องประกอบในการพิจารณาว่า ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าคณะปกครองขนาดไหน ถ้าใครไม่มีวุฒิบัตรผ่านการอบรมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรม ก็แปลว่าท่านไม่ให้ความร่วมมือในงานครั้งนี้ ยกเว้นท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ได้รับการพิจารณาแล้วว่าให้สามารถขาดการอบรมได้ แต่คาดว่าคงต้องไปชดเชยในการอบรมครั้งต่อ ๆ ไป

ถ้าท่านไม่มีวุฒิบัตร ก็แปลว่าในเรื่องของตำแหน่งหน้าที่การงานต่าง ๆ ของท่าน ที่จะเจริญก้าวหน้ากว่านี้ก็ไม่มีหวัง เพราะว่าคำสั่งผู้บังคับบัญชา ให้ไปปฏิบัติธรรมแค่นี้ท่านยังทำไม่ได้ แล้วท่านจะไปทำงานอะไรที่ยากกว่านี้อีก ?

ในการซักซ้อมรับวุฒิบัตรนั้น กระผม/อาตมภาพเองขำก็ขำ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ทุกคนนั้นส่วนใหญ่แล้วถึงเวลารับจริงก็ตื่นเต้น สมาธิจึงหลุดเกลี้ยง ดังนั้น..แค่การรับวุฒิบัตรจากผู้บังคับบัญชาหรือองค์ประธาน ซึ่งเป็นเรื่องง่าย ๆ ว่าจะมือซ้าย
ต้องอยู่ตรงไหน มือขวาอยู่ตรงไหน ก็ขวักไขว่พันกันให้มั่วไปหมด..!

กระผม/อาตมภาพนึกถึงตอนที่ได้รับถวายรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ในฐานะผู้สร้างคุณงามความดีให้แก่พระพุทธศาสนา จากพระหัตถ์ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งตอนนั้นพระองค์ท่านยังเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตลอดจนกระทั่งเจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ก็ต่างคนต่างมาซักซ้อม ซ้อมแล้วซ้อมอีก ๓ รอบ ๕ รอบ ซ้อมจนกระทั่งมั่นใจว่าจะไม่มีการผิดพลาด แต่เมื่อพอกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จ ปรากฏว่าทุกคนลืมขั้นตอนกันหมดว่ามือซ้ายควรจะอยู่ที่ไหน มือขวาควรจะอยู่ที่ไหน เมื่อรับแล้ว ควรที่จะประคองไว้ลักษณะอย่างไร

เพียงแต่ว่ากระผม/อาตมภาพยังคงทำถูกต้องตามแบบฝึกอยู่เสมอ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า จิตใจนั้นไม่ได้ตื่นเต้นไปกับอะไรรอบข้าง สนใจอยู่อย่างเดียวว่า ขั้นตอนนี้เราจะทำอะไร ขั้นตอนนี้เราควรทำอะไร เมื่อใจจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า โอกาสที่จะผิดพลาดก็ไม่มี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2023 เมื่อ 16:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 15-03-2023, 00:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,023 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จนกระทั่งเมื่อพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคระใหญ่หนกลาง มาถึง ท่านได้นำบูชาพระรัตนตรัยและเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ กล่าวถวายรายงาน แล้วเป็นการเบิกตัวพระวิปัสสนาจารย์ และเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมผู้ผ่านการอบรมเข้ารับวุฒิบัตร เพื่อที่จะได้เป็นเครื่องยืนยันว่าตนเองได้ผ่านการอบรมมาแล้วอย่างแน่นอน

เมื่อรับวุฒิบัตรเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ยังมีเมตตาให้ถ่ายรูปหมู่รวมกันทีละจังหวัด รวมทั้งบรรดาเจ้าคณะปกครองซึ่งมาร่วมพิธีปิดในครั้งนี้
อีกชุดหนึ่ง ก็แปลว่าต้องถ่ายรูปหมู่กันถึง ๕ ชุด

เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็รีบเดินทางออกมา เพราะเกรงว่าจะไปงานปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดอาวุธวิกสิตารามไม่ทัน เมื่อออกมาจนกระทั่งเกือบจะพ้นหมู่บ้านออมไทยแล้ว เลขาฯ จุก (พระมหาอินทรปกรณ์ ฐิตสุโภ ป.ธ.๔) เลขานุการเจ้าคณะตำบลลิ่นถิ่น เขต ๒ พระวิปัสสนาจารย์ในโครงการครั้งนี้ ก็โทรศัพท์มาว่า พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร.จะถวายของที่ระลึกในฐานะพระวิปัสสนาจารย์ให้ จึงได้ให้เลขาฯ จุกกราบเรียนท่านไปว่า "กระผมมีงานปลุกเสกวัตถุมงคล จึงรีบออกมาแล้ว"

ตรงจุดนี้ วันพรุ่งนี้ที่เป็นพิธีเปิดงานอบรมพัฒนาศักยภาพพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะตำบล เลขานุการเจ้าคณะตำบล และพระวินยาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ คาดว่าอาจจะได้รับประทานมะเหงกจากเจ้านายเป็นแน่แท้ เพราะว่าขนาดมีข้าวของเงินทองให้
กระผม/อาตมภาพยังไม่ยอมอยู่รับ เผ่นแน่บไปทำหน้าที่ของตนเองแล้ว

ถ้าหากว่าดูย้อนหลังไป กี่ชาติกี่ภพ
กระผม/อาตมภาพก็มีนิสัยเช่นนี้ ก็คือเมื่อทำงานเสร็จก็เป็นอันว่าต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ไม่ได้สนใจในเรื่องของบำเหน็จบำนาญรางวัลใด ๆ ทั้งสิ้น ให้ก็ยินดีรับไว้ ไม่ให้ก็ไม่เอา หรือถ้าหากว่าไปแล้ว ใครจะให้ก็ต้องนำไปให้ทีหลัง ดูแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าหมั่นไส้อยู่เหมือนกัน

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2023 เมื่อ 16:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:20



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว