กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-06-2023, 17:23
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 346
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,899 ครั้ง ใน 824 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-07-2023, 00:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,016 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันศุกร์สิ้นเดือนที่คนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกลัวกันมาก เพราะว่ารถจะติดอย่างชนิดที่เรียกว่าแทบจะไม่กระดิก

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าจำนวนรถยนต์ในกรุงเทพมหานครนั้นมีมากกว่าพื้นที่ถนน พื้นที่ถนนในกรุงเทพมหานครสามารถรองรับรถยนต์ได้ประมาณ ๔ ล้าน ๔ แสนคันเท่านั้น แต่ว่ารถยนต์ทุกประเภทที่จดทะเบียนรวมกันในกรุงเทพมหานครมีประมาณ ๙ ล้านคันเข้าไปแล้ว มากกว่าพื้นที่ถนนถึงเท่าตัวกว่า..!

ถ้ารถทุกคันออกสู่ท้องถนนพร้อมกัน กรุงเทพมหานครจะกลายเป็นอัมพาตทันที แต่เหตุที่ทุกวันนี้ยังวิ่งได้อยู่ ก็เพราะว่าบางบ้านมีรถหลายคัน แล้วเวลาการทำงานก็เหลื่อมล้ำกัน จึงทำให้ยังสามารถที่จะใช้รถใช้ถนนกันในลักษณะ "ทนติดเอา" ไปได้จนทุกวันนี้

ถ้าจะแก้ไขปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ ก็เกรงว่าบรรดานักการเมืองของเราจะไม่ยินดีช่วยเหลือประชาชน เนื่องเพราะว่าบริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้อุปถัมภ์พรรคการเมืองทั้งนั้น เมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงมักจะต้องหาทางให้บริษัทเหล่านี้จำหน่ายรถได้มาก ๆ

ถ้าต้องการที่จะแก้ไขการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างแท้จริงนั้น อันดับแรกเลยก็คือต้องจำกัดจำนวนรถยนต์ อันดับที่สองก็คือต้องสนับสนุนขนส่งสาธารณะให้มีจำนวนมากและคล่องตัว ตรงเวลากว่านี้

ส่วนใหญ่แล้วเราทั้งหลายที่ไปต่างประเทศก็จะเห็นกันอยู่ อย่างเช่นว่าประเทศญี่ปุ่นนั้น ถ้าหากว่าใครจะซื้อรถยนต์ต้องมีที่จอดรถยนต์เสียก่อน เมื่อไปแจ้งแล้ว ทางบริษัทจำหน่ายรถยนต์ก็จะมาตรวจสอบสถานที่ เมื่อมั่นใจว่าท่านมีที่จอดอย่างแท้จริงแล้วถึงจะจำหน่ายรถยนต์ให้ ไม่เช่นนั้นแล้วบริษัทจะโดนลงโทษหนักมาก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 01-07-2023, 00:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,016 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพไปดูแล้วก็ยังกลัวอยู่ว่า ถ้าเป็นบ้านเรา ค่าจอดรถยนต์แพงขนาดประเทศญี่ปุ่น หลายคนคงได้ล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัวเป็นแน่..! เนื่องเพราะว่าในชั่วโมงปกติ ค่าจอดรถตกชั่วโมงละ ๘๐๐ เยน ก็ราว ๆ ๒๐๐ กว่าบาท ถ้าหากว่าในช่วงดึก อย่างเช่นว่าตี ๑ ตี ๒ ก็ประมาณชั่วโมงละ ๖๐๐ เยน หรือว่าเกือบ ๒๐๐ บาท..!

ในเมื่อมีการควบคุมกันในลักษณะนี้แล้ว เขายังมีการจัดการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะรถไฟ ซึ่งตรงเวลามาก ผิดเวลาเต็มที่ไม่เกิน ๓ วินาทีเท่านั้น ทุกคนจะรู้ว่าถ้าท่านขึ้นรถไฟขบวนนี้ จะไปถึงที่ทำงานเวลาไหน แล้วส่วนที่น่าทึ่งมากก็คือญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เล็กมาก แต่ว่าสถานนีรถไฟแต่ละแห่งนั้นกว้างขวางชนิดที่เราจ้ำเต็มฝีเท้าแล้วยังเหนื่อย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้ประเทศญี่ปุ่นนั้นมีสโลแกนว่า "
อยากไปถึงเร็วให้ใช้ขนส่งสาธารณะ อยากไปถึงช้าให้ใช้รถยนต์ส่วนตัว" เขาจึงสามารถที่จะแก้ไขปัญหารถยนต์ได้

โดยเฉพาะบริษัทห้างร้านของญี่ปุ่นถึงจะมีรถยนต์ ส่วนใหญ่แล้วบุคคลทั่วไปจะไม่นิยมใช้รถยนต์ แต่ใช้การขนส่งสาธารณะ เนื่องเพราะว่าการซื้อรถยนต์นั้น ปีแรกถือว่าจ่ายภาษีตามปกติ ปีที่สอง ภาษีเพิ่มขึ้นมาเกือบครึ่งราคาของรถยนต์คันนั้น ปีที่สามภาษีเกือบจะซื้อรถยนต์คันใหม่ได้เลย จึงไม่มีใครที่คิดอยากจะมีรถยนต์ส่วนตัว นอกจากบุคคลที่เงินถุงเงินถัง จนไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรแล้ว

อีกประเทศหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพอยากจะยกตัวอย่างก็คือประเทศออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลียนั้น ถ้าท่านจะซื้อรถยนต์คันใหม่ ต้องนำรถยนต์คันเก่าไปให้เขายุบเป็นเศษเหล็กเสียก่อน แล้วถอดเอาทะเบียนของคันเก่านั้น มาใส่ข้อมูลของรถยนต์คันใหม่เข้าไปแทน

การเสียภาษีก็เสียเฉพาะเวลาที่ท่านใช้งาน อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่าเดินทางไปต่างประเทศ ๑ เดือน ท่านสามารถถอดทะเบียนรถยนต์ไปฝากไว้กับสถานีตำรวจ แจ้งงดใช้รถยนต์ แล้วปีนั้นท่านก็เสียภาษีแค่ ๑๑ เดือน อีก ๑ เดือนที่ท่านฝากทะเบียนไว้ เพราะว่าไม่ได้อยู่ใช้รถยนต์ ท่านก็ไม่ต้องเสียภาษี เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 01-07-2023, 00:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,016 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วประเทศออสเตรเลียนั้น ยังมีการควบคุมรถยนต์ใหม่อย่างเคร่งครัดมาก ก็คือในแต่ละปีจะให้เพิ่มได้กี่เปอร์เซ็นต์ อย่างเช่นว่าปีนี้ให้มีรถใหม่เพิ่มได้ ๒ เปอร์เซ็นต์ ปีโน้นให้มีรถใหม่เพิ่มได้ ๓ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในลักษณะอย่างนี้ แทบจะไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์ใหม่กันเลยทีเดียว เพราะว่ารถยนต์ร้อยคันให้เพิ่มได้แค่ ๒ คัน หรือว่า ๓ คันเท่านั้นเอง..!

ถ้าบ้านเราเอาระบบนี้มาใช้งาน เชื่อมั่นว่าเราสามารถที่จะควบคุมจำนวนรถยนต์ได้ และเมื่อสนับสนุนขนส่งสาธารณะให้มีความคล่องตัว ถึงเวลาขึ้นแล้วสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ตรงเวลา ก็เชื่อว่าไม่มีใครอยากที่จะมีรถยนต์เอาไว้ให้เกะกะ เนื่องเพราะว่าเสียภาษีก็แพง ค่าที่จอดก็แพง แถมยังใช้งานไม่ได้อย่างใจเหมือนอย่างกับรถสาธารณะอีกด้วย

อีกสักครู่หนึ่ง กระผม/อาตมภาพต้องออกไปร่วมงานเทศกาลผลไม้ของดีทองผาภูมิและงานลานบ้านลานวัฒนธรรม ซึ่งไปในสองฐานะ ฐานะแรกก็คือเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาในการจัดงานเทศกาลฯ อีกฐานะหนึ่งก็คือประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ที่ต้องลงไปดูแลเรื่องของงานลานบ้านลานวัฒนธรรม

แต่เนื่องจากว่าเขากำหนดเวลาพิธีเปิดเอาไว้ที่ทุ่มครึ่ง กระผม/อาตมภาพจึงไม่สามารถที่จะเดินทางไปได้แต่เช้า เพราะว่าในช่วงบ่ายนี้มีการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ แล้วเมื่อประชุมเสร็จ
กระผม/อาตมภาพต้องมาบันทึกเสียงให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะได้เดินทางไป จะต้องพยายามที่จะให้พิธีเปิดงานนั้นจบสิ้นลงไม่เกิน ๒ ทุ่มครึ่ง ไม่เช่นนั้นกระผม/อาตมภาพก็คงจะมาลาเรียกำเริบ สั่นอยู่ในงานให้ขายหน้าชาวบ้านเขาอย่างแน่นอน..!

งานเทศกาลผลไม้ของดีทองผาภูมิที่ผ่านมาไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เนื่องเพราะว่ามีปัญหาหลายอย่างด้วยกัน ปัญหาที่หนึ่งก็คือ ผลไม้ชื่อดัง เช่น เงาะทองผาภูมิ หรือว่าทุเรียนทองผาภูมิ
มีไม่เพียงพอที่จะรองรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดงานทั้ง ๕ วัน

ประการที่สองก็คือราคาผลไม้นั้นแพงมาก อย่างเช่นว่าปีนี้ ทุเรียนทองผาภูมิราคากิโลกรัมละ ๑๗๐ - ๑๘๐ บาททีเดียว ซึ่งราคานี้ ท่านทั้งหลายที่อยู่กรุงเทพมหานคร สามารถซื้อทุเรียนดี ๆ ในราคารับประกันนี้ได้เลย ก็คือถ้าคุณภาพไม่ดีก็ไม่ต้องเอาไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 01-07-2023, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,016 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สาเหตุที่สามก็คือมีบุคคลนำเอาผลไม้ที่อื่นมาจำหน่าย หรือว่านำเอาผลไม้อ่อนที่อายุยังไม่ถึงเข้ามาจำหน่าย ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงของเทศกาลผลไม้ของดีทองผาภูมิ

แต่ว่าคณะกรรมการเมื่อประชุมกันแล้วกลับแก้ไขปัญหาผิดจุด อย่างเช่นว่าคนมาน้อย แทนที่จะดูว่าเกิดจากสาเหตุอะไรทั้งหลายที่กระผม/อาตมภาพกล่าวมา ก็กลายเป็นว่าไปเพิ่มสิ่งที่คิดว่าจะเรียกคนได้ อย่างเช่นว่า จัดการประกวดธิดาชาติพันธุ์ หรือว่าการจ้างวงดนตรีมาแสดงตลอดทั้ง ๕ วัน ซึ่งเป็นรายจ่ายที่แพงขึ้นโดยใช่เหตุ แล้วบุคคลที่จะมาดูดนตรี ฟังดนตรี หรือว่ามาเต้นเอามัน
นั้น ก็เป็นคนละกลุ่มกันกับบุคคลที่ตั้งใจมาชิมผลไม้ของดีของเรา

แต่ว่าในช่วงการประชุมหลายวาระที่ผ่านมาของคณะกรรมการจัดงาน กระผม/อาตมภาพก็ติดงานสำคัญทางคณะสงฆ์บ้าง ติดงานพุทธาภิเษกที่ให้คนอื่นไปแทนไม่ได้บ้าง จึงไม่ได้เข้าร่วมประชุมแม้แต่ครั้งเดียว..! ทำให้ไม่มีใครทักท้วงว่างานของเรานั้นแก้ไขปัญหาผิดจุดไปแล้ว เนื่องเพราะว่าคนเราส่วนใหญ่ก็มักจะรักตัวเอง ทักท้วงไปแล้วก็เกรงว่าคนอื่นจะเกลียดขี้หน้าของเรา..!

คราวนี้ท่านทั้งหลายทำงานโดยไม่ได้เห็นแก่ส่วนรวม หากแต่ว่าทำโดยเห็นแก่ส่วนตัวในลักษณะอย่างนี้ นอกจากจะผิดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแล้ว ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง เนื่องเพราะว่าเข้าไม่ถึงตัวปัญหา ในเมื่อเราไม่เข้าใจในตัวปัญหา เข้าไม่ถึงตัวปัญหา ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือว่าปรับปรุงงานนั้นให้ดีขึ้นมาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 01-07-2023, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,016 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากว่า ถ้าการที่เราลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แล้วมีผลไม้ไม่พอจำหน่ายทั้ง ๕ วัน หรือว่าที่จำหน่ายอยู่ก็ราคาแพงเกินไป ตลอดจนกระทั่งเป็นผลไม้ที่อื่นแทรกเข้ามาบ้าง เป็นผลไม้อ่อนที่ไม่ได้อายุในการจำหน่ายบ้าง ก็ย่อมทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยมาแล้วเข็ดหลาบ ต่อไปก็ไม่มาในงานนี้อีก

นักท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่หลงเข้ามา เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ อย่างเช่นว่าซื้อทุเรียนไปแล้ว อาทิตย์หนึ่งก็ยังไม่สามารถที่จะกินได้ เพราะว่าเป็นทุเรียนอ่อน ไม่สุกเสียที เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็คงจะเข็ดและบอกต่อ ๆ กันไปว่า "ไปถึงนอกจากจะเจอของแพงแล้ว ยังเจอผลไม้อ่อนอีกต่างหาก" เขาทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่ตัวคนเดียว เดี๋ยวนี้สื่อโซเชียลต่าง ๆ ไปเร็วมาก ย่อมทำให้ข่าวคราวทั้งหลายเหล่านี้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วงานผลไม้ของเราก็อาจจะย่ำแย่ จนกระทั่งล้มละลาย ไม่สามารถที่จะจัดงานต่อ ๆ ไปได้

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรักที่จะทำงานเพื่อส่วนรวม ต้องประกอบไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่เห็นแก่หน้าใคร ส่วนท่านที่เข้ามาค้าขาย ก็อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากนัก ท่านเอากำไรแต่น้อย ขายสินค้าได้มาก ก็เท่ากับได้กำไรมาก แต่ถ้าหากว่าท่านโลภมาก ก็จะเกิดอาการลาภหาย เหมือนอย่างกับสุภาษิตคำพังเพยไทย อย่างในปีที่ผ่าน ๆ มาก็เป็นได้

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:28



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว