กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนสิงหาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-08-2023, 17:29
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,623
ได้ให้อนุโมทนา: 216,924
ได้รับอนุโมทนา 747,610 ครั้ง ใน 36,404 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-08-2023, 23:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,123 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยยังคงมีอยู่เป็นปกติ เหมือนดั่งคำภาษิตจีนที่ว่า "ยามไข้มาเร็วเหมือนภูเขาถล่ม ยามไข้หายช้าเหมือนกับสาวไหม" ก็คือ เวลามาก็มาชนิดฟ้าถล่มดินทลาย เวลาหายก็เชื่องช้าเสียเหลือเกิน..!

ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าบุคคลที่แก่ชราแล้ว ธาตุต่าง ๆ ในร่างกายบกพร่องไปมาก เมื่อพร่องมากจนอยู่ในระดับที่ทนไม่ไหว ก็แสดงอาการออกให้รู้ด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วจะให้สามารถส่งคืนไปจนกว่าจะพอเพียง ทำให้เราหายป่วยโดยเร็วนั้นก็เป็นเรื่องที่ยาก

โดยเฉพาะบุคคลที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะปากคอจืดหมด ไม่ค่อยจะรับประทานอาหารอะไร หรือว่าไม่รู้สึกอยากอาหารอะไร แต่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้น ฝึกฝนตนเองจนมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ตาม จะพยายามยัดเยียดอาหารแล้วกลืนลงไป ลักษณะคล้าย ๆ กับการฝึกอาหาเรปฏิกูลสัญญาเช่นกัน แต่ไม่ใช่พิจารณาอาหารว่าเป็นของสกปรก แล้วต้องฝืนใจกินลงไปเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ หากแต่ว่าต้องฝืนใจกินลงไป ทั้ง ๆ ที่ร่างกายไม่ได้อยากอาหาร เพราะว่าถ้าไม่มีธาตุอาหารให้ ร่างกายก็ยิ่งจะเจ็บไข้ได้ป่วยและฟื้นตัวได้ช้ายิ่งขึ้น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะเอามาเลียนแบบกันได้ เพราะว่ากำลังใจของเรานั้น จะต้องเห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่ดูแลรักษาก็กระทำไปอย่างเต็มที่ เมื่อดูแลรักษาเต็มที่แล้ว ถ้าไม่สามารถที่จะแก้ไขให้คืนดีได้ เราก็ยอมรับว่านั่นเป็นกฎของกรรม

เรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะยึดถือเอาไว้เป็นบทเรียน ว่าถ้าหากจะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ โดยไม่ให้ลำบากยากแค้นเกินไปนัก อันดับแรกเลย..ต้องเห็นให้ชัดเจนว่าร่างกายนี้ประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติ ในเมื่อมีความทุกข์เป็นปกติ ก็จงมีของเจ้าไปเถิด ถ้าเราสามารถที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เราก็จะช่วยผ่อนให้ แต่ถ้าเราผ่อนจนถึงที่สุดแล้ว ยังไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ เจ้าจะพังก็จงพังไปเถิด..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราควรที่จะสังวรเอาไว้ และพยายามที่จะมองให้เห็นเป็นปกติ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเผลอสติ หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อไร เราก็พลอยที่จะอยากอยู่ต่อไปอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น "เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว" พอร่างกายดีขึ้นมา มีอาการฟื้นคืนเรี่ยวแรงนิดหน่อย ก็รู้สึกอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป นั่นเป็นความกลับกลอกของกำลังใจ ซึ่งหาความเที่ยงแท้แน่นอนอย่างแท้จริงไม่ได้เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2023 เมื่อ 00:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-08-2023, 23:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,123 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับวันนี้ กระผม/อาตมภาพได้เดินทางไปยังวัดใหญ่ หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เพื่อที่จะไปตรวจประเมิน โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบ ถ้าหากว่าผ่านการประเมิน ก็จะได้รับการยกขึ้นเป็นต้นแบบ แต่เมื่อไปแล้ว ปรากฏว่าทางด้านเจ้าหน้าที่คงไม่ได้เข้าไปช่วยทางวัดทำเอกสาร ข้อมูลต่าง ๆ จึงมีน้อยมาก

โดยเฉพาะในหมวดที่ ๓ เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมนั้น หนังสือที่หนาอยู่ร้อยกว่าหน้า มีข้อมูลให้กระผม/อาตมภาพแค่ ๓ หน้า และส่วนใหญ่เป็นรูป มีข้อมูลอธิบายอยู่แค่ ๗ บรรทัดครึ่งเท่านั้น..! จึงต้องใช้วิธีพยายามที่จะอ่านข้อมูลทั้งหมดแล้วสรุปรวมลงมาว่า เรื่องไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะทางด้านวัดใหญ่นั้น ไม่ได้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดชัยนาท แต่ว่าเป็นศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งกระผม/อาตมภาพถือว่าสามารถที่จะทดแทนกันได้

และส่วนที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ หมู่บ้านนี้มีการแสดงศิลปะโขนสด และมีการครอบครูสืบ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ตัวผู้ใหญ่บ้านก็คือนายนุกูล ปิ่นแก้ว ก็แต่งตัวเป็นหนุมาน ออกมาร้องโขนและแสดงให้ทุกคนได้เห็น ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่มองเห็นอย่างชัดเจนว่า ทางหมู่บ้านนั้นมีศักยภาพแฝงที่เป็น Soft Power สามารถที่จะแปลงเป็นมูลค่า ช่วยยกงานอาชีพต่าง ๆ ของชาวบ้านขึ้นมาได้อีกมาก

แล้วที่หมู่บ้านนี้มีทั้งหมอนวด มีทั้งช่างจักสาน มีทั้งนักเล่นโขนสด เหล่านี้เป็นต้น และแปรรูปอาหารที่มาจากปลาสดทั้งหลาย เพราะว่าอยู่ข้างแม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้การที่พวกเราตรวจประเมินนั้นเป็นไปโดยง่าย

โดยเฉพาะการกล่าวรายงานของท่านผู้ใหญ่บ้านหนุมานของเรานั้น ฉะฉาน ชัดเจน แจ่มแจ้ง ถูกใจเป็นอย่างยิ่ง จนได้รับรางวัลพิเศษจากท่านประธาน เป็นทั้งเงินสดและวัตถุมงคล กระผม นาน ๆ จะเห็นพระเดชพระคุณพระธรรมรัตนมงคลยิ้มกว้างขวางเสียทีหนึ่ง ปกติหลวงพ่อเจ้าคุณแววของกระผม/อาตมภาพนั้น ท่านเป็นบุคคลที่สภาพจิตนิ่งมาก นิ่งอยู่ในลักษณะเหมือนกับทรงสมาธิอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ยากที่จะเห็นรอยยิ้มของท่าน แต่คราวนี้หนุมานผู้ใหญ่บ้านน่าจะแสดงได้ถูกอกถูกใจ จึงทำให้ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ

แล้วขณะเดียวกัน ทางด้านคณะสงฆ์ และเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ก็มาโดยพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะหลวงพ่อเจ้าคุณยุวชน ซึ่งปัจจุบันนี้ ท่านได้เลื่อนจากพระสุธีวราภรณ์ขึ้นไปเป็นพระราชวชิรกิจจาทร (ยุวชน เขมปญฺโญ ป.ธ.๖) เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท กระผม/อาตมภาพยังได้ถวายมุทิตาสักการะท่านด้วยพระเหล็กไหลของหลวงป๋า - พระเทพญาณมงคล วิ. (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖) วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ซึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณยุวชน ดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดหยิบวัตถุมงคลให้ทำท่ามอบ แล้วให้ช่างภาพถ่ายรูปกันเป็นการใหญ่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2023 เมื่อ 00:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-08-2023, 23:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,123 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

งานนี้แม้ว่าจะเจอกันในลักษณะของคนหนึ่งเป็นเจ้าของบ้าน คนหนึ่งเป็นกรรมการ ไม่ได้เจอกันในลักษณะพระเกจิอาจารย์ไปปลุกเสกด้วยกันตามปกติ แต่ว่าความคุ้นเคยเก่า ๆ ก็ทำให้งานการทุกอย่างเป็นไปโดยง่ายและสะดวกคล่องตัวทั้งสิ้น

ที่นี่ก็น่าชื่นชมมาก เนื่องเพราะว่าบรรดาหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นสุภาพสตรี แล้วก็ยังมีบุคคลที่โยกย้ายมาจากส่วนราชการของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งยังกำหนดจดจำกันได้ มากราบไหว้ทักทายกันเป็นปกติ ซึ่งบางท่านก็เคยรายงานตัวว่าย้ายมาอยู่จังหวัดชัยนาท แต่กระผม/อาตมภาพลืมไปว่า ท่านย้ายมาอยู่ที่นี่ มาเจอกันอีกทียังดีใจว่าไม่ได้พบหน้ากันตั้งนาน เพิ่งจะมาพบกันในวันนี้เอง

หลังจากการตรวจประเมิน ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสะดวกเรียบร้อยแล้ว ทางด้านเจ้าของที่ก็ได้ถวายส้มโอขาวแตงกวาให้แก่คณะกรรมการคนละ ๑ กระเช้า ซึ่งส้มโอขาวแตงกวานี้ ตั้งแต่สมัยที่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพก็แทบจะฉันแทนข้าวมาแล้ว..! เพราะว่าเป็นของที่มีถิ่นกำเนิดเฉพาะอยู่ในจังหวัดชัยนาท เป็นพืชผลที่สามารถระบุเจาะจงถิ่นกำเนิดได้ คล้าย ๆ กับทุเรียนทองผาภูมิ หรือว่าลิ้นจี่เชียงใหม่ เป็นต้น จึงทำให้ทุกคนที่ได้รับรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่กระผม/อาตมภาพก็บอกในฐานะคนที่เคยฉันส้มโอมามากว่า "กรุณาเก็บไว้สัก ๑๐ วันหรือครึ่งเดือน แล้วค่อยปอกฉันนะครับ" โบราณบอกว่า "ให้ลืมต้นเสียก่อน" ไม่เช่นนั้นถ้าฉันตอนนี้ลงไป ความสดใหม่นั้นจะทำให้บางส่วนเหมือนกับยังเป็นกรดแรง จะกัดปากเอาได้ ซึ่งโบราณท่านใช้คำว่า "ปล่อยให้ลืมต้นเสียก่อน" ก็คือปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการบ่มเพาะจนอยู่ในลักษณะพอเหมาะพอดี เราถึงจะเลือกที่มากินกัน นี่เป็นความฉลาดในความเป็นมนุษย์ของพวกเรา

แบบที่หลวงตาปรีชา (พระปรีชา อกิญฺจโน) ลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของกระผม/อาตมภาพตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ถามว่า "พระอาจารย์ครับ กระผมสามารถพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาได้ทุกอย่าง ยกเว้นในเรื่องของผลไม้ เพราะว่าสุกหอมงอมอร่อยเห็นอยู่คาตา ไม่สามารถจะพิจารณาได้ว่าเป็นของสกปรกครับ"

กระผม/อาตมภาพจึงตอบไปว่า "หลวงตาครับ ผลไม้ที่สุกหอมงอมอร่อยของหลวงตานั้น ความจริงแล้วกำลังเน่าอยู่นะครับ เพียงแต่ว่าเราเป็นคนแล้วเราฉลาด ปล่อยให้เน่ากำลังดี แล้วเราก็รีบเอามากินเสียก่อน ถ้าปล่อยให้เลยดีไปสักนิดเดียว คราวนี้ก็จะทนดูไม่ได้ เพราะว่าจะเขียวช้ำดำเหลือง แล้วก็หมดรสชาติ มีแต่กลิ่นเน่าขึ้นมาแทน" จึงทำให้หลวงตาท่านสามารถพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาในส่วนนี้ต่อไปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2023 เมื่อ 00:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 23-08-2023, 23:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,123 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเสร็จจากพิธีและถ่ายรูปหมู่รวมกันหมดแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้สนทนากับท่านเจ้าคุณกิติชัย - พระราชกิตติมงคล วิ. (กิตติชัย อภิชโย ป.ธ.๕) ซึ่งเป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต ก็คือวัดโสมนัสวรวิหาร ที่ท่านมาแอบจับแขนถามว่า "หลวงพ่อเล็กปฏิบัติธรรมมากี่ปี ?" กระผม/อาตมภาพถามว่า "เจ้าคุณดูจากอะไรครับ ?" ท่านบอกว่า "ดูจากคำถาม"

"คำถามของหลวงพ่อส่วนใหญ่จี้ไปในจุดที่เขาผิดพลาดและบกพร่อง ต้องการที่จะให้แก้ไขจากร้ายให้กลายเป็นดี ลักษณะของการปฏิบัติธรรมก็จะเป็นเช่นนี้ เพราะว่าจะชี้ผิดชี้ถูกให้อย่างชัดเจน จะได้เปลี่ยนจากผิดมาเป็นถูก นักปฏิบัติธรรมมักจะเอาจริงเอาจังในลักษณะนี้เสมอ กระผมจึงฟันธงเลยว่า หลวงพ่อเล็กต้องเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ทำมาอย่างเนิ่นนานแล้วเป็นแน่แท้" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่หัวเราะ ท่านเจ้าคุณก็ช่างสังเกตจนเกินไป..!

หลังจากนั้นก็ได้แยกย้ายกันไปที่พักของใครของมัน บางท่านก็ตรงไปพักที่วัดหนองหลวง อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งจะตรวจประเมินในวันพรุ่งนี้ บางท่านก็พักอยู่กับพรรคพวกเพื่อนฝูงในจังหวัดชัยนาทนี้เอง

ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้น ได้รับความเมตตาจากลูกศิษย์ คือ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. ได้วิ่งมาจองรีสอร์ตเอาไว้ให้ล่วงหน้า เปิดเครื่องปรับอากาศไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าถึงที่พัก จึงได้รีบบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ไว้ก่อน เสร็จสรรพเรียบร้อยจะได้สรงน้ำสรงท่า ฉันยา แล้วนอนภาวนากันต่อไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2023 เมื่อ 00:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:25



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว