กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-09-2023, 18:07
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,659
ได้ให้อนุโมทนา: 216,974
ได้รับอนุโมทนา 748,313 ครั้ง ใน 36,459 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-09-2023, 23:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,106 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ช่วงเช้า การรับบิณฑบาตตามโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าไทย นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" ถือว่าอยู่รอดปลอดภัย เนื่องจากว่าฟ้าเปิด ไม่มีฝน ญาติโยมทั้งนักท่องเที่ยวและประชาชนในชุมชน ได้ใส่บาตรกันอย่างมีความสุข

สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพอยากจะพูดถึงหลายเรื่อง แล้วแต่ว่าเวลาจะอำนวยให้ได้สักกี่เรื่อง เรื่องแรกก็คือ คลิปภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบของกระผม/อาตมภาพ มีผู้ติดตามครบ ๑ ล้านวิวแล้ว ต้องบอกว่าระยะเวลาประมาณ ๑ ปีที่ผ่านมา มีญาติโยมจำนวนหนึ่งที่ติดตามการภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบจากยูทูบ โดยเปิดเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าจะภาวนาตามได้บ้าง ลืมไปบ้าง หรือว่าฟังแต่เสียงบ้างก็ยังดี

เนื่องเพราะว่าสภาพจิตของเราเมื่อได้สติขึ้นมา ก็จะจดจ่ออยู่กับตัวบทพระคาถาที่เปิดอยู่ อย่างน้อย ๆ ในช่วงนั้นจิตของเราก็มีสมาธิ ถ้าทำบ่อย ๆ จนเคยชิน ผลของพระคาถาเงินล้านก็จะเกิดขึ้น อำนวยให้หลายต่อหลายท่านได้รับความสะดวกคล่องตัว ทั้งในเรื่องของการงานและการเงิน

เพียงแต่ว่าพระคาถาเงินล้านนั้น มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง ก็คืออันดับแรก ต้องไม่คิดภาวนาโดยหวังจะรวย เนื่องเพราะว่าถ้าคิดแบบนั้น ตัวอยากที่นำหน้าจะตัดผลไปเกือบหมด

ประการที่สองก็คือ ต้องทำอย่างจริงจังและสม่ำเสมอทุกวัน ถ้าหากว่าใครทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง สม่ำเสมอ ประมาณ ๒ เดือนก็เห็นผลแล้ว

และข้อต่อไปก็คือต้องมีการให้ทานเป็นปกติ ถ้าไม่มีเวลาใส่บาตร ก็ให้ภาวนาพระคาถาเงินล้าน แล้วนำเงินจำนวนหนึ่งหยอดกระปุกเอาไว้ ตั้งใจว่าถวายเป็นภัตตาหารพระภิกษุสามเณร เมื่อได้จำนวนหนึ่งที่พอสมควร เราก็เปิดกระปุก นำไปถวายวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ เท่ากับว่าเรามีการให้ทานอยู่ทุกวัน เนื่องเพราะว่าผลของทานนั้น ย่อมทำให้เกิดโภคทรัพย์ต่าง ๆ ในเมื่อเรามีการกระทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องไประยะหนึ่ง ผลของทานก็จะส่งผลให้ได้อย่างที่เราต้องการ เป็นต้น

อีกประการหนึ่งก็คือ พระคาถาเงินล้านนั้นต้องภาวนาด้วยความเคารพเลื่อมใสจริง ๆ ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า "ท่านปู่ - ท่านย่า" ซึ่งทางลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงทราบดีว่าเป็นใคร ได้บอกกล่าวเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าเป็นลูกหลานนอกสาย ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่เลื่อมใสศรัทธา และไม่ทำตาม แต่ถึงจะเป็นลูกหลานนอกสาย ถ้ามีความเลื่อมใส ศรัทธา และทำตามอย่างจริงจังสม่ำเสมอ ผลดีก็ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2023 เมื่อ 02:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-09-2023, 23:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,106 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้หลายท่านทำพระคาถาเงินล้านแล้ว "ไม่ขึ้น" คำว่า ไม่ขึ้น ในที่นี้ก็คือ ไม่บังเกิดผล ความจริงแล้วถ้าเรารู้จักสังเกตอารมณ์ใจตนเอง จังหวะไหน การวางอารมณ์ใจเท่าไร สมาธิอยู่ในขั้นใด ที่เราทำแล้วเกิดผลต่อพระคาถาบทใดบทหนึ่ง พระคาถาบทอื่น ๆ ก็ทำแล้วจะได้ผลเช่นกัน วางกำลังใจให้เท่ากัน ตั้งใจภาวนาในลักษณะเดียวกัน เท่านี้ทุกคาถาเราก็สามารถทำขึ้นได้

เหมือนอย่างที่วันนี้มีญาติโยมมารายงานว่า ตนเองนั้นโดนมีดบาดมือ แต่เนื่องจากว่าอยู่ในจุดที่ต้องใช้งานอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้บาดแผลไม่หายเสียที กระผม/อาตมภาพจึงบอกว่า "เดี๋ยวจะเป่าให้" ว่าแล้วก็ใช้คาถามหาประสานเป่าไปให้

ปรากฏว่าหลังจากนั้นหลายวันผ่านไป ญาติโยมมารายงานในวันนี้ว่า "บาดแผลหายสนิทตั้งแต่วันนั้นแล้ว" ก็คือการที่เราวางกำลังใจเท่ากันในการใช้พระคาถานั่นเอง ถ้าทำขึ้นบทหนึ่ง ก็แปลว่าอีกกี่สิบกี่ร้อยบท ท่านทั้งหลายก็จะทำขึ้นไปด้วย เนื่องเพราะว่าใช้กำลังใจเท่ากัน ใช้วิธีการเดียวกัน ใช้ระดับสมาธิเท่ากัน

กระผม/อาตมภาพนั้น โดนพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฝึกมาตั้งแต่วัยรุ่น เนื่องเพราะท่านรู้ว่ากระผม/อาตมภาพชอบฤทธิ์เดชเวทมนตร์คาถา จึงมอบพระคาถามาให้ บอกว่า "พระคาถาบทนี้ดีอย่างนี้ ให้เอาไปภาวนาอย่างน้อยต่อเนื่องให้ได้สัก ๓๐ นาทีต่อครั้ง และที่แน่ ๆ ก็คือต้องรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ให้เวลาไปลองทำดู ๓ เดือน ถ้าได้ผลแล้วให้มารายงานด้วย"

กระผม/อาตมภาพส่วนใหญ่แล้วไปทำแค่ไม่กี่วันก็เห็นผลแล้ว เมื่อมารายงาน ท่านก็บอกว่า "ดีแล้วลูก ต่อไปเอาบทนี้ไปลองทำดู จะมีผลแบบนี้ ๆ" ซึ่งบางบทนั้น กระผม/อาตมภาพภาวนาตรงนั้นก็ได้ผลอย่างนั้นแล้ว..!

เมื่อโดนฝึกฝนในลักษณะอย่างนี้บ่อย ๆ ไม่ทราบว่าด้วยความที่เป็นคนขี้เกียจ หรือว่าเป็นคนที่ชอบทำของยากให้เป็นของง่าย จึงพยายามสังเกตว่า ตอนที่เราทำพระคาถาได้ผลนั้น เราวางกำลังใจอย่างไร เราตั้งสมาธิในระดับไหน เมื่อจับจุดได้ก็ใช้วิธีนั้นแล้วก็เกิดผล ไม่ต้องเสียเวลา ๓ เดือนหรือ ๑ เดือน ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกำหนดเอาไว้ บางอย่างทำตรงนั้นก็สามารถที่จะเห็นผลตรงนั้นเลย

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงขอให้ญาติโยมทั้งหลายที่จะใช้พระคาถาเงินล้านนั้น ลองสังเกตอารมณ์ใจของเราดู ว่าเมื่อเราทำได้ผลนั้น วางกำลังใจลักษณะไหน เมื่อตนเองไปใช้พระคาถาบทอื่น ๆ ก็วางกำลังใจลักษณะเดียวกัน สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ต้องมีใจเป็นอุเบกขา ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่อยากให้เกิดผล แต่ก็ไม่ใช่ไม่ต้องการให้เกิดผล คือตั้งใจว่าจะให้เป็นอย่างไร แล้วลืมความตั้งใจนั้นเสีย มีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว ถ้าวางกำลังใจแบบนี้ได้ ก็จะได้ผลเร็ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2023 เมื่อ 02:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 04-09-2023, 00:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,106 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องต่อไปที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ "ดราม่า" ที่พระภิกษุสงฆ์ขึ้นรถไฟฟ้า ปรากฏว่าที่นั่งพิเศษสำหรับพระภิกษุสงฆ์ คนแก่ ผู้หญิงท้อง หรือว่าเด็ก โดนคนหนุ่มคนสาวแย่งกันนั่งจนเต็ม แล้วก็มีการเมิน ไม่สนใจว่าพระยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อมีเรื่อง "ดราม่า" ขึ้นในสื่อโซเชียล ก็ยังมีคนเข้าไปเถียงว่า "พระก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมถึงยืนไม่ได้ ? ในเมื่อพระยังหนุ่มแน่นแข็งแรง..ก็ยืนไปสิ..!" ผู้ที่พูดอย่างนี้แสดงว่าสภาพจิตใจหยาบมาก และไม่รู้เลยว่ากฎเกณฑ์กติกาในสังคมเป็นอย่างไร หรือถึงแม้ว่ารู้ก็ไม่สนใจ เอาแต่ตัวเองสบายเท่านั้น

กฎเกณฑ์กติกาในสังคมก็ระบุเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า การที่พระภิกษุ ผู้หญิงท้อง หรือว่าคนแก่ ตลอดจนกระทั่งเด็กเล็ก จะมีที่นั่งพิเศษไว้ให้ ในช่วงที่ว่างอยู่พวกคุณสามารถที่จะนั่งได้ แต่ถ้ามีบุคคลที่ระบุเอาไว้ขึ้นมา โดยกฎเกณฑ์ของสังคมก็คือ คุณจะต้องลุกให้เขาเหล่านั้นนั่ง ไม่ใช่หน้าด้าน ทำไม่รู้ไม่ชี้ นั่งเล่นโทรศัพท์ของเราต่อไป..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ที่ปรากฏขึ้นในสังคมไทยของเรา เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก
สมัยที่กระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ อยู่นั้น พระขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟรีทุกรูป เข้าร้านอาหารร้านไหน เขาก็ถวายฟรี แต่ว่ามาในระยะหลังก็เริ่มมีการเก็บสตางค์พระ จนกระทั่งท้ายที่สุด พระภิกษุสงฆ์ก็ต้องจ่ายสตางค์ตามปกติ ไม่มีการลดหย่อนอะไรให้อีก

แล้วขณะเดียวกัน
สมัยก่อนนั้นเมื่อเวลาเราเดินสวนกับพระ ผู้ใหญ่จะสอนให้เราหลีกลงข้างทาง พนมมือไหว้ ให้ทางพระไปก่อน เมื่อท่านเดินผ่านเลยไปแล้ว เราถึงได้เดินต่อ ซึ่งปัจจุบันนี้ทางทองผาภูมิ พี่น้องมอญพม่าที่ค่อนข้างจะมีอายุ ยังคงปฏิบัติแบบนี้อยู่ เมื่อเดินสวนกับพระ ผู้ชายจะหลีกลงข้างทาง ยืนตรงให้พระผ่านไปก่อน ส่วนผู้หญิงนั้น นอกจากหลีกลงข้างทางแล้ว ยังนั่งลงกับพื้นอีกด้วย

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นความงดงามในวัฒนธรรมประเพณี ที่เราทำต่อเนื่องกันมา ก็คือ แสดงออกซึ่งความเคารพ ๑ ใน ๓ ของพระรัตนตรัยจากจิตจากใจของตนเอง บุคคลที่สามารถทำได้ โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะเข้าถึงธรรมก็มีมาก แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายกิเลสหนา บดบังจนดวงตาและจิตใจมืดบอด ไม่เห็นความสำคัญของพระรัตนตรัย ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าท่านเองนั้น นอกจากจะทำตัวให้ห่างไกลมรรคไกลผล จนต้องเวียนว่ายตายเกิดมาทุกข์ทรมานไม่รู้จบแล้ว ยังเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มให้แก่ตนเองด้วย เนื่องจากไปเห็น
ว่า ผู้ที่เป็นปูชนียบุคคลมีราคาเท่ากับตนเอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2023 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-09-2023, 00:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,106 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ในเมือง ระยะหลังนี้อย่าว่าแต่หลีกให้พระเลย ถ้าพระไม่หลีก บางทีก็เดินชนไปเลยก็มี..! เมื่อกระผม/อาตมภาพไปทำธุระ ก็ต้องคอยหลบ คอยระวังจนตัวลีบ ไม่มีความจำเป็นเรื่องใดก็มักจะไม่เข้าไปในที่ชุมชน เนื่องเพราะรู้ดีว่า คนสมัยนี้นั้นสภาพจิตหยาบกระด้างขึ้นมาก ไม่ได้ใส่ใจว่าพระภิกษุสามเณรเป็นบุคคลที่ควรเคารพแต่อย่างใด

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายก็ย่อมจะห่างจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ย่อมเป็นมงคลอันสูงสุด แม้กระทั่งสะมะณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การได้เห็นพระภิกษุสงฆ์ก็ถือว่าเป็นมงคลสูงสุด เนื่องเพราะว่าทำให้ใจของเราเกาะในอนุสติ ก็คือสังฆานุสติ ถ้าใครสามารถระลึกเลยไปถึงธัมมานุสติ และพุทธานุสติ ก็ยิ่งเป็นกำไรใหญ่ของตนเอง

ดังนั้น..สิ่งที่สังคมในช่วงนี้กำลัง "ดราม่า" กันอยู่นั้น จะว่าไปแล้วก็
เป็นการสร้างความแตกแยกขึ้นในสังคมของเราอีกด้วย เนื่องเพราะว่าบุคคลที่มีจิตสำนึก มีความเคารพในกฎเกณฑ์ของสังคม ก็ไปตำหนิบุคคลที่ไร้จิตสำนึก ไร้ความเคารพในกฎเกณฑ์ของสังคม จนเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกัน สร้างให้เกิดประเด็นขึ้นมา ตรงกับคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวว่า เราไม่ควรกล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกัน เนื่องเพราะว่าวาจาอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกัน ย่อมทำให้ต้องพูดมาก บุคคลผู้พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่าน จิตย่อมห่างจากสมาธิ

เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สอนสิ่งหนึ่งประการใด ก็หวังประโยชน์สุขในปัจจุบัน ประโยชน์สุขในอนาคต และประโยชน์สุขสูงสุด คือหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน ผู้ใดรู้ตัวสามารถกระทำตามได้ ก็บังเกิดคุณประโยชน์แก่ตนเองและคนรอบข้าง ผู้ใดไม่รู้ตัว ก็คงต้องปล่อยไปตามยถากรรม ถ้ามีโอกาส เราค่อยไปช่วยแนะนำเขาทีหลัง ถ้าไม่มีโอกาส จะก่อให้เกิดการถกเถียงกัน เราก็นิ่งเสียดีกว่า

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2023 เมื่อ 02:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:24



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว