กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-01-2024, 18:51
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,659
ได้ให้อนุโมทนา: 216,968
ได้รับอนุโมทนา 748,265 ครั้ง ใน 36,459 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 26-01-2024, 00:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,972 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อที่จะไปทำการวางศิลาฤกษ์ที่วัดศิลาวาส ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ จึงไม่ได้อยู่ลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ ทั้งที่วันนี้ตรงกับวันพระใหญ่ คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ (๒) จำเป็นต้องมอบฉันทะให้กับพระภิกษุวัดท่าขนุน ๓๗ รูป ลงอุโบสถเพื่อทบทวนพระปาฏิโมกข์แทน

คำว่า มอบฉันทะ ในที่นี้ก็คือ มอบความไว้วางใจให้กับทางคณะสงฆ์ว่า ถ้ามีสิ่งหนึ่งประการใดที่จะลงมติในที่ประชุมสงฆ์นั้น ๆ กระผม/อาตมภาพขอมอบความไว้วางใจให้กับคณะสงฆ์เสียงข้างมาก เพื่อให้ท่านตัดสินใจในการนั้น ๆ แทนตัวกระผม/อาตมภาพเอง ส่วนตนเองนั้น ก็ยังต้องมา "อธิษฐานอุโบสถ" อีกต่างหาก

เรื่องนี้อย่าว่าแต่ญาติโยมที่จะต้องงุนงงสงสัยกับการกระทำเช่นนี้เลย แม้แต่พระภิกษุ ถ้าหากว่ายังเป็นผู้ใหม่อยู่ บางทีก็อาจจะงุนงงสงสัยเช่นกัน เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติการลงอุโบสถเอาไว้ เพื่อที่ให้คณะสงฆ์ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ก็คือถ้าหากว่าจำพรรษาอยู่แต่ผู้เดียว เมื่อถึงวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ - แรม ๑๕ ค่ำ หรือว่าแรม ๑๔ ค่ำในวันเดือนขาด ให้บุคคลนั้นอธิษฐานอุโบสถเพียงผู้เดียว เรียกว่า "ปุคคลอุโบสถ" โดยที่ตั้ง นะโม ฯ ๓ จบ แล้วตั้งใจรำลึกว่า "อชฺช เม อุโปสโถ" วันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา

ถ้าหากว่าอยู่กัน ๒ รูป ให้บอกบริสุทธิ์ต่อกัน แล้วค่อยอธิษฐานอุโบสถ การบอกบริสุทธิ์นั้น อย่างเช่นว่า กระผม/อาตมภาพเป็นผู้อาวุโสกว่า ด้วยอายุพรรษา ก็จะบอกกับผู้น้อยพรรษากว่าว่า "ปริสุทฺโธ อหํ อาวุโส ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรหิ" ถ้าหากว่าเป็นผู้น้อยกว่า ก็จะบอกว่า "ปริสุทฺโธ อหํ ภนฺเต ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรถ" แล้วก็ไปอธิษฐานอุโบสถของใครของมัน

แต่ถ้าหากว่าอยู่กัน ๓ รูป จำต้องตั้งญัตติก่อน ก็คือภิกษุทั้ง ๓ รูปมาอยู่รวมกัน แล้วมีภิกษุผู้หนึ่งตั้งญัตติว่า "สุณาตุ เม ภนฺเต อายสฺมนฺตา อชฺชุโปสโถ ปณฺณรโส" ถ้าหากว่าเป็นวันแรม ๑๔ ค่ำก็ใช้ จาตุทฺทโส "สุณาตุ เม ภนฺเต อายสฺมนฺตา อชฺชุโปสโถ ปณฺณรโส ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ มยํ อญฺญมญฺญํ ปาริสุทฺธิ อุโปสถํ กเรยฺยาม" เมื่อตั้งญัตติแล้วก็ค่อยบอกความบริสุทธิ์กันตามลำดับพรรษา อย่างที่เมื่อครู่นี้ได้กล่าวมา

การที่อยู่ ๒ หรือ ๓ รูป แล้วทำอุโบสถนั้น เรียกกันว่า "คณะอุโบสถ" แต่ถ้าหากว่าอยู่ ๔ รูปขึ้นไป ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นพึงแสดงอาบัติเสียก่อน ถ้าหากว่ามีภิกษุรูปใดรูปหนึ่งต้องอาบัติสังฆาทิเสส จำเป็นต้องสารภาพในท่ามกลางสงฆ์ก่อนว่า ข้าพเจ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสข้อนั้น ๆ แล้วขอคณะสงฆ์เพื่ออยู่ทบทวนพระปาฏิโมกข์ได้ แต่ตามที่กระผม/อาตมภาพปฏิบัติมานั้น บุคคลผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส จะให้ท่านแยกออกไป โดยที่ให้ไปอธิษฐานอุโบสถอยู่เพียงผู้เดียวไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2024 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-01-2024, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,972 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่ทำ "สังฆอุโบสถ" ในลักษณะ ๔ รูปขึ้นไปนั้น ก็จะต้องมีวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง อย่างเช่นว่า ถ้ากำลังสวดปาฏิโมกข์ค้างอยู่ มีภิกษุอื่นเข้ามา ถ้าหากว่าจำนวนเท่ากันหรือน้อยกว่า องค์แสดงพระปาฏิโมกข์ก็ว่าต่อไปจนจบได้เลย แต่ถ้าหากว่าภิกษุอื่นที่เข้ามาร่วมลงพระอุโบสถนั้นมีมากกว่า ก็ให้ทำการขึ้นต้นในการแสดงพระปาฏิโมกข์เสียใหม่

ในการกระทำลักษณะอย่างนี้ ในพระวินัยมีบัญญัติไว้ว่า เมื่อพระอาทิตย์คล้อยไปทางตะวันตก ค่อนบ่ายแล้ว ก็คือเข้าไปในช่วงบ่าย จึงให้ทบทวนพระปาฏิโมกข์ได้ เผื่อว่าผู้ที่ร่วมเข้าทบทวนพระปาฏิโมกข์ด้วยกันนั้น ท่านมาจากที่อื่น วัดอื่น ซึ่งอยู่ไกล ไม่ได้ใกล้เคียงซึ่งสามารถเดินทางไปทันเวลา ก็จะได้ลงฟังพระปาฏิโมกข์เพื่อทบทวนศีลกันได้ทันท่วงที เท่าที่กระผม/อาตมภาพเจอมา หลายต่อหลายวัด ท่านก็แสดงพระปาฏิโมกข์กันในเวลาค่ำไปเลย หมดเรื่องหมดราวกันไป แต่ถ้าหากว่าเป็นอย่างของวัดท่าขนุน ก็จะนัดกันลงอุโบสถที่เวลาบ่ายโมงครึ่ง เพื่อที่จะดำเนินการได้ถูกต้องตามพระวินัย

คราวนี้ในส่วนของวัดท่าขนุนนั้น ถ้าหากว่าผู้ทรงพระปาฏิโมกข์กำลังแสดงปาฏิโมกข์ โดยที่การจบแต่ละอุทเทสนั้นจะมีการถามว่า ตตฺถายสฺมนฺเต ปจฺฉามิ กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา ? ทุติยมฺปิ ฯ ตติยมฺปิ ฯ ก็คือท่านทั้งหลายมั่นใจแล้วหรือว่าสิกขาบทเหล่านี้บริสุทธิ์ ? ถ้าเราระลึกได้ว่าเราล่วงสิกขาบทข้อใดข้อหนึ่ง ก็พึงสารภาพในท่ามกลางสงฆ์แล้วแสดงอาบัติ หลังจากนั้นก็จะมีการสวดพระปาฏิโมกข์ เพื่อทบทวนศีลกันต่อไป แต่ว่าในสมัยนี้พวกเรามักจะทำการแสดงคืนอาบัติเสียตั้งแต่ก่อนเริ่มแสดงพระปาฏิโมกข์ เพื่อที่จะได้หมดเรื่องหมดราวไปเลย

การแสดงพระปาฏิโมกข์นั้น ในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ก็ตั้ง นะโมฯ ๓ จบ แล้วก็ประกาศในท่ามกลางสงฆ์เพื่อขอแสดงพระปาฏิโมกข์ แต่ว่ากระผม/อาตมภาพได้อยู่ทั้งพระอารามหลวง และวัดที่เป็นธรรมยุติกนิกาย ท่านจะมีการถามตอบกันระหว่างผู้แสดงพระปาฏิโมกข์ ซึ่งขอโอกาสแสดงพระปาฏิโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์

ในเมื่อถึงเวลาก็จะประกาศว่า "โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ ปาฏิโมกฺขํ อุทฺเทสิตุํ ฯ" เหล่านี้เป็นต้น จะมีการถามตอบกันเป็นระยะไป อย่างเช่นว่าตามประทีปไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่ ? ตั้งน้ำใช้น้ำฉันเรียบร้อยแล้วหรือไม่ ? จัดอาสนะไว้พร้อมแล้วหรือไม่ ? ซึ่งในปัจจุบันนี้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทำไว้เรียบร้อยแล้ว จึงมักที่จะประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ขอโอกาสแสดงพระปาฏิโมกข์ไปเลยทีเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2024 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 26-01-2024, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,972 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของพระปาฏิโมกข์นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อที่ให้สงฆ์ทั้งหลาย มีโอกาสที่จะได้ทบทวนศีลของตนทุกครึ่งเดือน ถ้าภาษาบาลีเก่าใช้คำว่า ทุกกึ่งเดือน คือ อัฑฒมาสัง เพื่อที่เราจะได้แสดงอาบัติ ไม่ให้เผลอติดตัวไปจนสิ้นชีวิต

อย่างในธรรมบทเรื่องเอรกปัตนาคราช ซึ่งในชาติก่อนท่านเป็นพระภิกษุ ได้ไปดึงต้นตะไคร้น้ำ จนกระทั่งขาดติดมือมา ตรงนี้ขอยืนยันคำว่าต้นตะไคร้น้ำ ไม่ใช่ตะไคร่น้ำ เนื่องเพราะว่าตะไคร่น้ำนั้น ก็คือวัตถุสีเขียว ที่เป็นเส้นเล็กละเอียดยาว ๆ เหมือนอย่างกับเส้นผมหรือหนวด แต่ว่าต้นตะไคร้น้ำนั้น เป็นพืชในตระกูลต้นอ้อกอแขม เป็นคนละประเภทกัน

เอรกปัตนาคราชในช่วงที่เป็นพระภิกษุนั้น ท่านไปทำใบต้นตะไคร้น้ำขาด แล้วท่านไม่มีโอกาสแสดงอาบัติ เพราะว่าอยู่เพียงผู้เดียว จึงทำให้ผลของการจำพรรษาอยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ในยุคนั้นของท่าน ไม่สามารถที่จะมีสุคติเป็นที่ไป เพราะว่าศีลไม่บริสุทธิ์ จนกระทั่งต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน คือเป็นเอรกปัตตนาคราช ท่านจึงพยายามที่จะเสาะหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตลอดระยะเวลาอันยาวนานนับพุทธันดร เพื่อที่จะตนเองจะได้เข้าไปฟังธรรม เพื่อสร้างบุญกุศลให้เพียงพอที่จะหลุดพ้นจากสภาวะของสัตว์เดรัจฉาน

จนกระทั้งในยุคปัจจุบันนี้มาพบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมะ ซึ่งได้แนะนำให้อุตรมาณพไปร้องเพลงแก้กับนางนาควิกา ซึ่งเป็นธิดาของเอรกปัตนาคราช ซึ่งเอรกปัตนาคราช ด้วยความที่บวชมานาน ท่านจึงผูกโคลงกลอนขึ้นมาในลักษณะปริศนาธรรม ถ้าไม่ใช่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ย่อมไม่มีใครที่สามารถจะแก้บทเพลงนี้ได้

เมื่อท่านได้ฟังอุตรมาณพร้องเพลงแก้ได้ ก็ดีอกดีใจว่ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว จึงได้ขอให้อุตรมาณพพาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ครั้นได้ฟังธรรมแล้ว อุตรมาณพบรรลุพระโสดาบัน เอรกปัตนาคราช ก็มอบนางนาควิกาให้กับอุตรมาณพเป็นเนื้อคู่ ส่วนตนเองก็กลับไปจำศีลภาวนาในสถานที่ของตน ซึ่งอานิสงส์ในการฟังธรรม นอกจากทิพยสมบัติจะดีขึ้นแล้ว เมื่อละจากอัตภาพสัตว์เดรัจฉาน ได้แก่การเป็นพญานาค ก็จะสามารถที่จะไปเป็นเทวดา หรือว่าไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2024 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 26-01-2024, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,972 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงจุดนี้ญาติโยมทั้งหลายที่เคารพบูชาพญานาคอยู่ อย่าลืมรำลึกถึงองค์สมเด็จพระบรมครู ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย หาไม่แล้ว กำลังใจของท่านไปยึดเหนี่ยวอยู่กับพญานาคอย่างเดียว มีโอกาสที่จะไปเกิดในเขตของพญานาค กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานไปโดยใช่เหตุ..!

เรื่องนี้อาจจะทำให้ท่านทั้งหลายต้องเสียเวลาเป็นหมื่นเป็นแสนปี กว่าที่จะได้กลับมาเป็นคนอีก ดังนั้น..เราจะเคารพบูชาพญานาค ก็เคารพบูชาไป แต่ให้รำลึกเป็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปางนาคปรกก็ได้ อย่างน้อยการที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า จะได้เป็นเครื่องยึดโยงใจ ให้เราท่านทั้งหลายมีสุคติเป็นที่ไป

วันนี้ต้องขออภัยต่อญาติโยมทั้งหลาย ที่ได้ประโยชน์จากเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนน้อยไปหน่อย เพราะว่าไปกล่าวถึงหลักปฏิบัติของพระภิกษุ ซึ่งท่านทั้งหลายที่ดำเนินชีวิตต่างจากพระภิกษุ ก็อาจจะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ซ้ำยังมีบทพระบาลีเข้ามาแทรกเสียเยอะแยะไปหมด

กระผม/อาตมภาพเมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ก็ยังจะต้องทำการต้อนรับ
พระภิกษุและญาติโยมทั้งหลาย ที่จะมากราบไหว้และทำบุญด้วยอีกต่างหาก

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2024 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว