#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเพิ่งกลับมาจากการร่วมเจริญพระพุทธมนต์กับคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ในโอกาสคล้ายวันประสูติ
ในเรื่องของการเจริญพระพุทธมนต์ ซึ่งทางคณะสงฆ์กำหนดไว้ทุกวันจันทร์ ทางวัดท่าขนุนของเราก็เจริญพุทธมนต์ถวายพระราชกุศลทุกเย็นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้ทางคณะสงฆ์กำชับมาว่า ให้ทำโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะว่าเป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมารด้วย ต้องไปทำร่วมกันที่วัดปรังกาสีเป็นกรณีพิเศษ ส่วนในช่วงเช้าวันนี้ กระผม/อาตมภาพได้ทำการติดตามงานบูรณปฏิสังขรณ์วัดราษฎร์ประชุมชนาราม หรือว่าวัดท่ามะขาม แล้วก็ได้อยู่ร่วมฉันเพลกับพระครูบ่าว - พระครูกาญจนปริยัติคุณ (ชุมพร ปิยธมฺโม ป.ธ.๓) เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประชุมชนาราม ซึ่งท่านปรารภเรื่องที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสลาไปท่องโลกกว้าง โดยไม่มีกำหนดกลับ กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ปล่อยท่านไปเถอะ เพราะว่าคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ใครที่พรรษาครบ ๕ แล้ว ถ้าจะออกจากวัด แค่แจ้งผมคำเดียว จะไปไหนก็ไป..!" ส่วนตัวกระผม/อาตมภาพเอง สมัยที่อยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนั้น กลัวอยู่อย่างเดียวว่าจะอยู่กับหลวงพ่อท่านน้อยเกินไป เนื่องเพราะว่าความรู้ความสามารถที่ศึกษาจากครูบาอาจารย์ ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอแก่การใช้งาน ดังนั้น..ต่อให้ครูบาอาจารย์จะดุด่าว่ากล่าวอย่างไร กระผม/อาตมภาพก็หน้าด้านหน้าทน อยู่ศึกษาหาความรู้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่รู้สึกอยู่อย่างเดียวว่า ครูบาอาจารย์ท่านจะจากไปวันไหนก็ไม่รู้ ? ถ้าหากว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ เราต้องกอบโกยความรู้มาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในเมื่อความคิดคนไม่เหมือนกัน รุ่นหลัง ๆ กลัวว่าจะอยู่กับครูบาอาจารย์มากเกินไป เดี๋ยวจะเก่งเกิน..! บางทีเพิ่งจะบวช ไม่ทันจะออกพรรษา ก็หนีออกจากวัดไปแล้ว หลายรายก็รอแล้วรออีกว่าเมื่อไรจะได้ ๕ พรรษาตามระเบียบของวัด พอครบ ๕ พรรษาเมื่อไรก็ถลกก้นไปทันที ในเมื่อความคิดไม่เหมือนกัน ความตั้งใจที่จะศึกษาหาความรู้ใส่ตัวไม่เหมือนกัน เราจะไปบังคับเขาให้ทำแบบเดียวกับเรา ย่อมเป็นไปไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2024 เมื่อ 01:16 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายจะต้องตระหนักว่า ถ้าตราบใดที่ความรู้ของเรายังไม่เพียงพอที่จะระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ในใจลงไปได้ ไม่ว่าท่านไปอยู่ที่ไหนก็หาความสงบไม่ได้ ในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนกันสุนัขจิ้งจอกขี้เรื้อน นอนอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็ไม่นาน ถึงเวลาคันขึ้นมา ก็คิดว่าเป็นเพราะแผ่นดินตรงที่ตนเองนอนอยู่ ก็วิ่งหาที่นอนใหม่ ซึ่งก็นอนได้ไม่นานอีก พอคันก็วิ่งหาที่ใหม่ต่อไป
จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้กับท่านทั้งหลาย เนื่องเพราะว่าขนาดพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งกระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่เลิศที่สุดแล้ว ในยุคสมัยนั้นมีพระอยู่กับท่าน ๔๐ กว่ารูป ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ออกมาเป็นหลักให้กับญาติโยมเขาได้กี่รูป ? ในเมื่ออยู่กับครูบาอาจารย์ระดับนั้นแล้ว ถ้ายังไม่เอาดี ไปอยู่ที่ไหนก็เหมือน ๆ กัน ครูบาอาจารย์ยังอยู่แล้วเอาดีไม่ได้ จะไปหวังว่าสิ้นครูบาอาจารย์แล้วจะเอาดีให้ได้ ก็คงจะเหมือนกับพระฉันนะ ก็คือไปได้ดีตอนตายนั่นแหละ..! ถ้าว่ากันตามพระไตรปิฎก มีอยู่ท่านหนึ่งที่อยากจะยกเป็นตัวอย่างเลยก็คือพระอานนทเถระ ซึ่งเป็นพุทธอนุชาออกบวช แล้วคณะสงฆ์มอบหมายให้ท่านทำหน้าที่อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอานนท์เป็นแค่พระโสดาบันเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่านอกจากไม่ละเมิดศีลแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง อื่น ๆ เท่าปุถุชนธรรมดาทั้งหมด..! แต่จากที่พระอานนท์ท่านเล่ามาหลังจากที่บรรลุอรหัตผลแล้วว่า ตลอดระยะเวลาที่ถวายการรับใช้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยาวนานนั้น แม้แต่กามสัญญาสักน้อยหนึ่งก็ไม่เคยเกิดขึ้นในจิตเลย เราต้องเข้าใจว่าบุคคลที่จะละกามสัญญาได้ ต้องเป็นพระอนาคามีขึ้นไป แม้แต่พระสกาทาคามีนาน ๆ ยังมีประหวัดถึง แต่พระอานนท์ที่เป็นแค่พระโสดาบัน ท่านยืนยันว่าแม้แต่กามสัญญาก็ไม่เคยปรากฏขึ้นในจิตของท่านเลย เนื่องเพราะว่าท่านทำงานเป็นกรรมฐาน ถ้าท่านทั้งหลายอ่านในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า ในยามต้น ท่านมีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอว่าพระองค์ท่านจะเรียกใช้หรือไม่ ? ถ้าหากว่าไม่เรียกใช้ก็เข้าสู่ที่พัก นั่งภาวนา พอยามสอง มีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสเรียกใช้ ก็เข้าสู่ที่ภาวนา ในยามสาม มีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เรียกใช้ ก็จะจัดการปูอาสนะ เตรียมน้ำใช้น้ำฉัน เตรียมไม้สีฟัน เตรียมบาตรไว้ เพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตื่นจากบรรทมแล้ว จะได้ใช้งาน สรุปก็คือไม่ได้นอนทั้งคืน ยกเว้นนั่งกรรมฐาน ในเมื่อท่านเองทำงานเป็นกรรมฐาน แล้วทำไมพวกเราถึงทำไม่ได้ ? ก็เพราะว่ากำลังใจของเราไม่ได้จดจ่อปักมั่นอยู่กับงานตรงหน้า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2024 เมื่อ 01:19 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
กระผม/อาตมภาพเองบวชใหม่ ๆ ต้องหางานให้ตัวเองทำ งานแรกเลยก็คือทำความสะอาดศาลานวราชบพิตร ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านลงรับแขกที่นั่นทุกวัน ไปทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูทุกวัน โดยเอาอิริยาบถและสัมปชัญญะ ในมหาสติปัฏฐานสูตรเข้าไปจับ ไม้กวาดจะไปข้างซ้าย จะไปข้างขวา จะไปข้างหน้า จะไปข้างหลัง กำหนดรู้ตามไป ไม้ถูจะไปข้างซ้าย จะไปข้างขวา จะไปข้างหน้า จะไปข้างหลัง กำหนดรู้ตามไป ทำงานแบบมีความสุขมาก ไม่รู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองเหนื่อย ทั้ง ๆ ที่ศาลาหลังใหญ่มาก
นี่คือสิ่งที่จะบอกกับพวกเราบางคน ที่มีความรู้สึกว่าตั้งใจมาอยู่ที่นี่ เพื่อที่จะได้ปฏิบัติธรรม แล้วทำไมกลายเป็นต้องทำงานวัดมากมายมหาศาลแทน ? อยากจะบอกว่า ถ้าใครคิดแบบนั้นก็โง่เต็มที เนื่องเพราะว่าการทำงานทุกอย่าง ถ้าเอาสติจดจ่ออยู่เบื้องหน้า ก็เท่ากับเป็นกรรมฐานทั้งสิ้น ท่านที่ต้องการไปนั่งนิ่ง ๆ เจริญกรรมฐานอย่างเดียว กระผม/อาตมภาพให้เต็มที่แค่ ๓ ชั่วโมง ก็จะบ้าแล้ว..! เนื่องเพราะว่าสภาพจิตของเราต้องมีการเสวยอารมณ์ต่าง ๆ ถ้าเราไม่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่รู้จักหางานอื่นทำ เมื่อสภาพจิตเครียดก็ไปต่อไม่ได้ ท้ายที่สุดก็จะไปคิดว่า ออกไปท่องโลก ดูท่าว่าจะช่วยได้ ก็คงจะกลายเป็นหมาจิ้งจอกขี้เรื้อนไปเท่านั้นเอง..! ก็ได้แต่หวังว่า ท่านทั้งหลายเมื่อฟังตรงนี้แล้ว น่าจะไม่ปล่อยให้ "เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา" เพราะกระผม/อาตมภาพมั่นใจว่าพูดมาหลายครั้งแล้ว แต่เราท่านทั้งหลายก็คงโดนกิเลสตีแทบตายอยู่ทุกวัน ไม่ใช่ว่าไม่เคยปรากฏกามสัญญาเลยอย่างพระอานนท์ แต่ของเราปรากฏวันละหลายสิบรอบ..! ในลักษณะนั้นก็แปลว่าเราทำผิด ปัจจุบันนี้ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมไปนาน ๆ แล้วไม่เกิดผล ให้รู้ด้วยว่าเราทำผิดวิธี แล้ววิธีการของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เราต้องรู้จักปรับให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะว่าครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น เราต้องใช้ปัญญาในการพลิกแพลงให้เหมาะสมกับตัวเรา แต่อย่าให้หลุดไปจากกองกรรมฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2024 เมื่อ 01:22 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|