กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 18-01-2012, 21:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,127 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของเรา ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา

หายใจเข้า..ลมหายใจผ่านปลายจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก..ลมหายใจออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามอัธยาศัย ตามความเคยชินของเราที่เคยปฏิบัติมา

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นวันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงเรื่องของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยและความรู้สึกที่ว่า ความตายอยู่กับเราแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติ จำเป็นต้องสังวรระวังและสำนึกเอาไว้อยู่เสมอว่า ความตายอยู่กับเราแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้า..ถ้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออก..ถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน เมื่อความตายอยู่ใกล้ชิดติดตัวเราขนาดนี้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งสั่งสมบุญกุศลใน ทาน ศีล ภาวนา ของเราให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อที่จะอาศัยบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ เป็นบันไดพาเราก้าวไปสู่ความหลุดพ้น ก็คือเข้าสู่พระนิพพาน

การสั่งสมบุญกุศลนั้น ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็กบุญใหญ่อย่างไรก็ตาม เราควรที่จะทำทั้งหมด โดยที่ตั้งเป้าเอาไว้ว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำนี้ จงเป็นปัจจัยให้เราเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด ถ้าอย่างนั้นการสั่งสมบุญของท่านก็จะมีเป้าหมายที่ชัดเจน และไม่หลงผิดไปจากหนทางที่เหมาะที่สม

ถ้าหากว่าจะยกตัวอย่างบุคคลที่ใคร่ในการสั่งสมบุญ อาตมภาพขอยกตัวอย่างของครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ก็คือ พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ หรือที่รู้จักกันในนามของหลวงปู่มหาอำพัน แห่งวัดเทพศิรินทราวาส

หลวงปู่ท่านจะใส่บาตรทุกเช้า ถึงเวลาก็จะนิมนต์พระภิกษุสามเณรว่า "ท่านใดที่ออกบิณบาต ไม่ว่าจะขาไปหรือขากลับ กรุณาผ่านกุฏิของกระผมด้วย ขอให้กระผมได้มีโอกาสทำบุญกับเนื้อนาบุญอย่างท่านทั้งหลายด้วยเถิดขอรับ"

อาตมาเองเวลาที่ไปพักอยู่หลวงปู่ท่าน ก็ต้องช่วยเตรียมข้าวปลาอาหาร ทั้งของสดของแห้งเพื่อให้หลวงปู่มีไว้ใส่บาตร จึงเกิดความกังขาขึ้นมาว่า บุคคลที่เข้าถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริงแล้วอย่างหลวงปู่ ยังต้องทำบุญอยู่ทุกวันอีกหรือ ? เพราะใจของท่านพ้นไปแล้วจากการส่งผลของบุญบาปทั้งปวง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2012 เมื่อ 02:22
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-01-2012, 18:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,127 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันหนึ่งจึงได้ปรารภกราบเรียนกับหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ขอรับ บุญของหลวงปู่ก็กินไม่ไหวใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ทำไมยังต้องลำบากลำบนตื่นแต่มืดแต่ดึกขึ้นมาเพื่อใส่บาตรทุกเช้าด้วย ?”

หลวงปู่ท่านว่า “ไฮ้...คุณก็...คนเราถ้าปีนพ้นเหวขึ้นมาได้ก็มีแต่ต้องตะเกียกตะกายไปให้พ้นจากขอบเหวให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ มัวแต่ไปนั่งเพลินอยู่ตรงนั้น ถ้าหากว่ากลิ้งตุ้บไปอีกแล้วจะว่าอย่างไร ?” นี่คือความไม่ประมาท

แม้ว่าหลวงปู่ท่านจะชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลสได้อย่างวิเศษยิ่งแล้ว แต่ยังคงสั่งสมบุญเป็นปกติ เป็นปุญฺญกาโม บุคคลผู้ใคร่ในบุญจริง ๆ นี่คือตัวอย่างที่อยากจะบอกว่า ในเมื่อความตายมาจ่ออยู่กับเราแค่ลมหายใจเข้าออกแล้ว เราควรที่จะเร่งสั่งสมบุญใน ทาน ศีล ภาวนา ให้มากเข้าไว้

ในเรื่องของทาน เราจะเห็นแล้วว่าหลวงปู่ท่านทำทานเป็นปกติ โดยเฉพาะทุกวันศุกร์จะมีการนิมนต์พระมารับสังฆทาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ หลวงปู่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก ที่เป็นทั้งสหธรรมิกและเป็นทั้งครูบาอาจารย์ของท่าน ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่หลวงปู่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโกมรณภาพ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตของหลวงปู่ท่าน โดยไม่ได้เว้นแม้แต่วันศุกร์เดียว

ในส่วนของศีลนั้น แม้ว่าหลวงปู่จะเป็นพระภิกษุ รักษาศีล ๒๒๗ ข้อพร้อมกับอภิสมาจารต่าง ๆ ก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาไปเจริญกรรมฐานที่บ้านสายลม ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือที่เรารู้จักกันในนามหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง นำญาติโยมทั้งหลายสมาทานจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ตาม หลวงปู่ท่านจะพนมมือสมาทานศีลตามไปด้วย สมาทานเสียงดังเป็นตัวอย่างให้แก่ทุกคน

พอถึงเวลาจบการสมาทานศีล พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสรุปว่า สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา เป็นต้น ท่านก็กอบรับเอาพรนั้นใส่เศียรเกล้าของตนเป็นตัวอย่าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2012 เมื่อ 17:59
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 21-01-2012, 10:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,127 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเห็นญาติโยมหลายท่านที่ถือศีล ๘ เมื่อได้ยินพระให้ศีล ๕ ก็ไม่รับ แต่หลวงปู่ถือศีล ๒๒๗ และอภิสมาจารอีก ไม่ว่าจะศีล ๕ ศีล ๘ หลวงปู่รับทั้งหมด อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนคุณมีเงินอยู่ ๒๒๗ บาท ถึงเวลาเขาให้มา ๕ บาท ถ้าเรารับไว้เราก็ได้เพิ่ม ๕ บาท ให้มา ๘ บาทเรารับไว้ก็ได้เพิ่มมา ๘ บาท ถ้าหากว่าไม่รับก็ถือว่าขาดปัญญา

หลวงปู่รับศีลโดยที่ไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗ ก็เพราะว่ามีความเคารพในศีลจริง ๆ เห็นคุณของศีลจริง ๆ ว่าศีลรักษาผู้ที่ปฏิบัติไม่ให้ตกลงสู่ที่ต่ำ ศีลเป็นปัจจัยพื้นฐานของความดีทั้งปวง ศีลเป็นบันไดนำเราทั้งหลายก้าวไปสู่พระนิพพาน

ดังนั้น..ถ้าหากว่าความตายจ่อชิดติดตัวเรามาจนขนาดนี้แล้ว เราก็ควรจะเร่งรัดในศีลของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นกระทำการละเมิดศีลนั้น ๆ

สำหรับในส่วนของการภาวนานั้น ไม่ว่าจะมีงานข้างนอกข้างในดึกดื่นขนาดไหนก็ตาม บางทีถึงขนาดตี ๑ ตี ๒ หลวงปู่ท่านก็ต้องทำการสวดมนต์ไหว้พระก่อน จุดธูปจุดเทียนไหว้พระ หลังจากนั้นกราบพระ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตร เมื่อสวดมนต์ทำวัตรเสร็จก็สมาทานพระกรรมฐาน นั่งภาวนาประมาณ ๕ นาที ๑๐ นาทีทุกครั้งไป หลวงปู่ตอนนั้นอายุได้ ๘๐ เศษแล้ว แต่ว่ายังคงทำแบบนั้นอยู่ทุกวัน ไม่เบื่อไม่หน่าย

อาตมาเองช่วงนั้นอายุเพิ่งจะ ๓๐ ต้น ๆ บางวันเหนื่อยมาจากการตะลอน ๆ ไปกับหลวงปู่ข้ามหลายจังหวัด กลับมาก็คอพับคออ่อนไปไหนไม่รอดแล้ว แต่หลวงปู่ท่านอายุมากกว่าเป็นเท่า ๆ ตัว ถึงเวลายังสวดมนต์ทำวัตร ยังปฏิบัติกรรมฐานเป็นปกติ ก็เพราะว่าความที่จิตของหลวงปู่ท่านปักมั่น จดจ่อแน่วแน่อยู่กับความดีใน ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2012 เมื่อ 21:06
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 22-01-2012, 14:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,127 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเห็นอยู่ว่าความตายมาจ่ออยู่ในทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว ถ้าไม่เร่งสั่งสมความดีเอาไว้ เกิดความดีไม่พอทำให้ตายไปแล้วต้องเกิดใหม่ ก็ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดทนทุกข์ไม่รู้จบเช่นนี้อีก ดังนั้นไม่ว่าจะกลับมาดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหนก็ตาม จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าขนาดไหนก็ตาม หลวงปู่ต้องสร้างสมความดีที่เคยทำเป็นปกติให้ครบถ้วนสมบูรณ์เสียก่อน แล้วถึงจะยอมเข้าจำวัดหลับนอนเช่นคนปกติทั่วไป

จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่า หลวงปู่ท่านสั่งสมบุญกุศลให้ ทาน ศีล ภาวนา มาวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า โดยไม่มีการเบื่อหน่าย เราทั้งหลายซึ่งมีความดีไม่เท่ากับหลวงปู่ ก็ควรจะเลียนแบบปฏิปทานี้ ในการไขว่คว้าหาความดีทุกอย่างใส่ตัวของเรา เพราะไม่แน่ว่าความตายนั้นจะมาถึงเราเมื่อไร

ถ้าท่านทั้งหลายทำตามปฏิปทา ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่มหาอำพันได้กระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ก็แปลว่าท่านทั้งหลายได้เดินตามรอยของพระสุปฏิปันโน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลสได้ เราเองเมื่อเดินตามรอยของท่าน ในที่สุดเราก็สามารถที่จะชำระจิตใจของเราจากกิเลสได้เช่นเดียวกับท่าน

สำหรับตอนนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลาย กำหนดดู กำหนดรู้ ลมหายใจเข้าออกของตนพร้อมกับคำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2012 เมื่อ 15:05
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-02-2012, 14:51
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 258
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,388 ครั้ง ใน 1,282 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-01-08

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:56



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว