กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-10-2011, 03:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,384 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔

ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของตนจ้ะ ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติอยู่เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้าผ่านจมูก..ผ่านกึ่งกลางอก..ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง..ผ่านกึ่งกลางอก..ไปสุดที่ปลายจมูก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ตามอัธยาศัยของเรา

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานประจำเดือนตุลาคมวันที่สองของพวกเรา
เมื่อวานนี้มีโยมท่านหนึ่งมาถามปัญหาการปฏิบัติ ปรากฏว่าโยมท่านนี้เป็นอิสลาม ปฏิบัติในมโนมยิทธิจนเกิดผล มาถามปัญหาหลายข้อซึ่งเป็นปัญหาของนักปฏิบัติที่เข้าถึงจริง ๆ จึงจะถามได้ แสดงว่าเป็นของแท้ ไม่ใช่มาหลอกลวงกัน

ตรงจุดนี้เราจะเห็นได้ว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นสากล ไม่ว่าจะชาติใดภาษาใด นับถือศาสนาไหนก็ตาม ถ้าหากว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ท่านแล้ว ก็ย่อมจะได้รับผลเช่นเดียวกันทุกคน เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องมาพิจารณาดูว่า ตัวเราที่เป็นคนไทยแท้ ๆ นับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ถ้าเราปฏิบัติไม่ได้อย่างเขา เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าหรือไม่ ?

ในขณะเดียวกันก็ต้องดูด้วยว่า ทำไมเขาถึงปฏิบัติได้ผล แล้วเราปฏิบัติไม่ได้ผล ? จะว่าไปแล้วศาสนาอิสลามนั้นมีความดีอยู่ตรงที่ว่า มีการบังคับให้ทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง การทำละหมาดมีลักษณะเหมือนกับการสวดมนต์ของพวกเรา ก็แปลว่ากว่าจะสวดมนต์จบต้องได้สมาธิแน่นอน แล้วนำสมาธิทรงตัวใช้ไปในระหว่างช่วงที่ทำการทำงานอื่น พอสมาธิเริ่มคลายตัวก็พอดีเป็นเวลาละหมาดรอบใหม่ เมื่อเป็นดังนี้ อิสลามิกชนทั้งหลายจึงมีการสั่งสมในส่วนของสมาธิค่อนข้างจะต่อเนื่อง

เมื่อมาเปรียบเทียบกับพวกเราแล้วจะเห็นได้ว่าอันดับแรก สัจจะ คือความจริงจังจริงใจในการปฏิบัติของเราสู้เขาไม่ได้แน่ เพราะของเขาทุ่มเท อย่างไม่มี ๆ ก็วันละ ๕ รอบ แต่เราเองจะนั่งกรรมฐานเช้าสักครึ่งชั่วโมง เย็นสักครึ่งชั่วโมงก็ยากแล้ว ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราจะทำให้ได้อย่างเขา ก็ต้องเน้นในเรื่องของสัจจะ ก็คือความจริงจังจริงใจนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-10-2011 เมื่อ 03:49
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 13-10-2011, 03:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,384 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประการที่สองก็คือ การที่ได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ละทิ้งซึ่งความเพียร แม้จะเป็นความเพียรที่เกิดจากการโดนบังคับก็ตาม แต่ว่าเมื่อปฏิบัติต่อเนื่องไม่ลดละ ความดีก็จะทรงตัว ทำให้รองรับความดีในระดับสูงขึ้นไปได้ง่าย เมื่อเราเห็นชัดแล้วว่า เราบกพร่องในตัวสัจจะบารมี บกพร่องในตัววิริยะบารมี เพราะขาดความเพียรที่ต่อเนื่อง เราก็ต้องมาเน้นในตรงจุดที่เราขาดและบกพร่อง

สำหรับข้อต่อไปที่ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติของพวกเรา โดยเฉพาะในสายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือ ขาดปัญญาบารมี เหตุที่ขาดปัญญาบารมีก็เพราะว่าพวกเราถ้าไม่ได้ไปเน้นในมโนมยิทธิ ก็จะไปเน้นในสมาธิภาวนา ทำให้เรารักษาศีลได้ เจริญสมาธิได้ แต่ขาดปัญญาในการพิจารณาห้ำหั่นตัดกิเลส ส่วนใหญ่แล้วจะพิจารณาไม่เป็น แม้ว่าพิจารณาเป็นก็ขาดความละเอียด ทำให้สภาพจิตไม่อาจจะยอมรับสภาพความเป็นจริงได้

อย่างเช่นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงอย่างไร ในเมื่อพิจารณาไม่ละเอียด เห็นไม่ชัดเจนก็เป็นความรู้สึกแค่ผิวเผิน กำลังใจก็ไม่ตัดไม่ละ ยังรักยังห่วงร่างกายอยู่เหมือนเดิม ร่างกายนี้เป็นทุกข์อย่างไร ก็สักแต่รู้ว่าทุกข์ แต่ไม่ได้เห็นถึงความทุกข์นั้นอย่างชัดเจน จนจิตเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดหมดความต้องการในร่างกายนี้ หมดความต้องการในร่างกายคนอื่น

เมื่อเป็นดังนี้ก็แปลว่าเรายังบกพร่อง จึงจำเป็นต้องใช้ปัญญาบารมีในการพิจารณาเพื่อให้สภาพจิตนั้นยอมรับ ในเมื่อศีลของเราดีแล้ว สมาธิของเราทรงตัว ก็แปลว่ากำลังที่จะใช้ปัญญานั้นมีเหลือเฟือเกินพอ เพียงแต่เราต้องมาซักซ้อมการพิจารณากัน

ดูให้ละเอียดว่า เราเกิดมาอาศัยอยู่ในอัตภาพร่างกายนี้ มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ถ้าหากว่ามีความเที่ยงก็จะต้องทรงตัวอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

แต่นี่เราเกิดจากเด็กเล็ก ก็เป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นคนหนุ่มสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่แล้วตายไป หรือบางทีอาจจะตายตั้งแต่เด็ก ตายตั้งแต่หนุ่มสาว ตายตั้งแต่กลางคนก็ได้ เราต้องพิจารณาแยกแยะให้เห็นชัดเจน

แรก ๆ ต้องทำให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากซักซ้อมพิจารณาบ่อย ๆ ปัญญาที่แท้จริงเกิดขึ้น สภาพจิตยอมรับว่าสิ่งที่เรารู้เห็นนั้นเป็นความจริงแท้ เราก็จะเข้าถึงตัวปัญญาที่แท้จริง เพราะสภาพจิตยอมรับ และปล่อยวางร่างกายนี้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2011 เมื่อ 06:19
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 14-10-2011, 02:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,384 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หรือพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้มีความทุกข์อย่างไร ? ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ หรือความทุกข์ที่เป็นสภาวะของร่างกาย เช่น ความหิว ความกระหาย ความร้อน ความหนาว ความเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น

มองให้ละเอียดที่สุดจนกระทั่งเห็นว่า การเกิดมานั้น ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมานั้นจนกระทั่งการหลับตาลงไปในแต่ละวัน ไม่มีวินาทีใดเลยที่เราไม่ทุกข์ ถ้าสภาพจิตยอมรับอย่างนี้ ก็จะมีสภาพเช่นเดียวกัน คือเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด หมดความอยากได้ในร่างกายนี้ หมดความอยากได้ในร่างกายคนอื่น ต้องการจะหลุดพ้นไปพระนิพพาน

หรือพิจารณาให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร ? เป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราว ตลอดระยะเวลาก็เจ็บ ก็ป่วย หิวกระหาย ร้อนหนาว ปวดอุจจาระปวดปัสสาวะ มีแต่ความทุกข์มาก่อกวนอยู่ตลอดเวลา นอกจากทุกข์แล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราอีกต่างหาก ขึ้นชื่อว่าร่างกายนี้เรายังพึงปรารถนาอยู่อีกหรือไม่ ?

ถ้าเราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงจริง ๆ เราไม่ต้องการอีกแล้ว เป็นทุกข์จริง ๆ เราไม่ต้องการอีกแล้ว ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราจริง ๆ เราไม่ต้องการอีกแล้ว ก็เอาจิตสุดท้ายจับที่หมายของเราคือพระนิพพานไว้

จะจับเป็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรารักเราชอบ อย่างเช่นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมก็ได้ พระวิสุทธิเทพก็ได้ หรือท่านใดจะจับภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระวิมานก็ได้ หรือบางท่านเอาจิตจดจ่ออยู่กับพระนิพพานทั้งหมดไปเลยก็ได้

ให้กำหนดใจว่า ถ้าหากว่าเราสิ้นชีวิตลงไปในวันนี้ ไม่ว่าจะด้วยเพราะอุบัติเหตุอันตรายอื่น ๆ หรือว่าเพราะหมดอายุขัยก็ตาม เราขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนนิพพานเท่านั้น ให้เอาจิตสุดท้ายจดจ่อไว้ดังนี้

ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปตามปกติ ถ้ายังมีคำภาวนาก็ให้กำหนดรู้คำภาวนาไป ถ้าไม่มีลมหายใจไม่มีคำภาวนา ก็สักแต่กำหนดรู้ว่าสภาวะตอนนี้เป็นเช่นนั้น ให้รักษาอารมณ์ปฏิบัติอย่างนี้เอาไว้จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2011 เมื่อ 04:00
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-03-2012, 18:41
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,424 ครั้ง ใน 1,284 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2554-10-01

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว