#181
|
|||
|
|||
พระท่านสวดชะยันโตพร้อมสาธุ รับเทียนพร้อมกันเป็นที่ปีติยินดีของทุกคน ได้เวลาเวียนเทียนพวกเราร่วมเวียนเทียน บังเกิดเหตุไม่คาดคิด ประชาชนที่ไปร่วมกันในวันนั้นมีจำนวนมาก
*เหตุการณ์คืนวันนั้น* มีเด็ก ๓ คน ผู้ใหญ่ ๗ คน ขณะที่เวียนเทียนรอบพระอุโบสถอยู่นั้น บุคคลดังกล่าวมีแสงสว่างออกจากตัวเหมือนหลอดไฟ คนอื่น ๆ ไม่มี ทำให้จิตบังเกิดความสงสัยว่าทำไมเป็นเช่นนั้น จึงได้กำหนดจิตดูภายในพระอุโบสถหลังเวียนเทียนเสร็จแล้ว ก็มีคำตอบข้อสงสัยในปริศนาข้อนี้ บุคคลทั้ง ๑๐ คนในชาติก่อนเคยร่วมสร้างอุโบสถ ทั้งพระประธานในอุโบสถหลังนี้ กลับชาติมาเกิดในชาติปัจจุบันได้มาทำพิธีอันเป็นมงคล ผลบุญที่ได้กระทำมาแสดงอานิสงส์ของบุญที่ได้กระทำตั้งแต่อดีตมาปรากฏอานุภาพเข้าสนองบุญแก่บุคคลทั้ง ๑๐ คนนั้น จึงบังเกิดแสงสว่างทำให้เรามองเห็นด้วยจิตบริสุทธิ์ในขณะนั้น *ผลบุญนั้นเมื่อกระทำไว้กับพระพุทธศาสนา ไม่ว่าเป็นการสร้างพระอุโบสถก็ดี ศาลาธรรมก็ดี พระประธานก็ดี เมื่อมีการทำสังฆกรรมบุญมาแสดงผลบุญทุกครั้ง หากสิ่งที่สร้างไว้ยังไม่ถูกทำลาย บุญนั้นจะบังเกิดตลอดเวลา เรื่องนี้น่าคิด น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง น่าจะเป็นข้อคิด เราสมควรจะน้อมรับอานิสงส์ส่วนบุญที่ทำไว้ในอดีตชาติและในปัจจุบันชาติให้มาอุปถัมภ์ค้ำชูชีวิตของเรา จริงหรือเท็จขอให้ทดลองปฏิบัติ ไม่เสียหายอะไร มีแต่ได้ไม่มีเสีย เราทำไว้แล้วเพียงเก็บเกี่ยวผลบุญมาใช้เท่านั้น ไม่ได้ยากเย็นอะไร? เพียงแต่ตั้งจิตอธิษฐานขอให้บุญส่วนใดที่ได้สร้างไว้กับพระพุทธศาสนา ได้ช่วยเหลือ เมื่อตกทุกข์ได้ยากจงมาเกื้อหนุน มาอุดหนุนจุนเจือ มาสำแดงผลบุญช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จในทุกประการ ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีให้พ้นไป สิ่งที่ดีจงมาบังเกิด ให้ได้พบแต่สิ่งที่ดี ที่ประเสริฐตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 20-12-2010 เมื่อ 11:30 |
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#182
|
|||
|
|||
ทั้งขอน้อมรับส่วนบุญที่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ท่านได้แผ่อานิสงส์ผลบุญส่งมาให้เพื่อนสัตว์โลกทั้งหลายที่ร่วมเวียนว่ายตายเกิด ให้มาหนุนนำชีวิตให้พ้นจากอกุศลวิบาก ทั้งเกื้อหนุนชีวิตให้ผ่านอุปสรรคทั้งมวลในการดำรงชีวิตทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่ต้องเวียนว่ายในภูมิภพ อย่าได้พบความลำบากยากจน อย่าได้พบความทุกข์ยาก อย่าได้เวียนว่ายไปสู่อบายภูมิตลอดไป ตราบเท่าที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่เพียงเท่านี้
ทำทุกวัน ตั้งสัจจะเอาไว้ให้ดีแต่ต้องทำด้วยฉันทะ ตั้งมั่นในศรัทธา ละความลังเลสงสัยให้หมดสิ้นไปจากจิต จะบังเกิดผลคุ้มค่าเกินกว่าที่คิด อย่ามัวมีมิจฉาทิฐิอยู่ ปล่อยให้เสียโอกาส โอกาสก็จะไปเป็นของคนอื่น แล้วเราจะโทษดวงชะตาอยู่ทำไม นี่แหละ..วิธีแก้กรรมแก้ดวงชะตาวิธีหนึ่ง ไม่ต้องขอให้ใครช่วย เราช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง อาศัยแค่จิตใจของเราเท่านั้น ที่จะตัดสินชีวิตของเรา เราคือผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้คือ ศรัทธารับเอาส่วนบุญมีให้ใช้ ไม่ใช้ก็ไม่ได้ใช้ สังขารก็ไม่รอเวลา การแตกดับของรูปกายมีเวลาจำกัด มีไม่มากสั้นนิดเดียว อาจไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันได้เตรียมตัว ไม่ทันได้คิด คิดได้ก็สายเกินจะแก้ไข ไปไม่มีอะไรติดตัวไป ไม่มีทุนทรัพย์ไปสร้างภูมิใหม่ ไม่มีบุญนำทาง ไปอย่างไร้จุดหมายที่เรียกไปตามยถากรรมนั่นเอง คนฉลาดคงไม่คิดเลือกทางเดินอย่างนี้ ต้องเลือกทางที่ดีกว่า ผู้รับคือ รับเอาส่วนบุญ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 09:05 |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#183
|
|||
|
|||
ขึ้นเขาคิชฌกูฎกราบรอยพระพุทธบาท
ขึ้นเขาคิชฌกูฏกราบรอยพระพุทธบาท กฎแห่งกรรมเป็นกฎเหล็ก ทั้งดุดันและนิ่มนวลตามกระแสกรรมดีกรรมชั่ว สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาเริ่มก่อตัวบังเกิดกับตัวข้าพเจ้า อาการเจ็บป่วยจากกระดูกทับเส้นประสาททำให้เสียวชาตามตัว อันเป็นผลมาจากการที่ไปรักษาโรคต่าง ๆ ให้ผู้อื่นด้วยการใช้พลังอำนาจจิต เราไปขวางทางกรรมของคนที่กำลังเสวยผลกรรมอยู่ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเตือนสติไว้ว่า “บุคคลใดทำกรรมนั้นไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์ บุคคลนั้นต้องชดใช้กรรมนั้น” ถึงแม้การกระทำนั้นกระทำด้วยความเมตตากรุณาก็ตาม ก็ต้องชดใช้ อย่างเราไปช่วยให้ที่หลบซ่อนโจรจากการตามจับของเจ้าหน้าที่ ก็จะมีความผิดในการให้ที่หลบซ่อนพักพิงกับผู้ร้าย เจ้าหน้าที่ก็จะจับตัวไปลงโทษได้เช่นกัน ได้เขียนไว้ในตอนต้นแล้วว่า การขวางกรรมทำการรักษาโรคร้ายต่าง ๆ ด้วยความอยากช่วย อยากทดลองพลังอำนาจจิตของเรา *ไปกระทำให้กระแสกรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอำนาจตามกฎของกรรม ตัดรอนความศักดิ์สิทธิ์ เหตุที่ว่าเช่นนี้เริ่มมาบอกความจริงกับเรา เพราะไปหาหมอรักษาโรคหนึ่งจะได้แถมโรคอื่นกลับมาด้วยทุกครั้ง* จึงรู้ว่าโรคที่เป็นอยู่เป็นกระแสแห่งกรรม ต้องหาวิธีแก้กรรมตัวนี้ด้วยการทำความดี แผ่อานิสงส์ให้เจ้ากรรมนายเวรและชดใช้วิบากกรรมด้วยการเจริญกรรมฐานตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ เป็นการฝึกซ้อมขันติ วิริยบารมีไปพร้อมกัน ได้ชวนพรรคพวก ๔ คนขึ้นไปบำเพ็ญบารมีบนเขาคิชฌกูฏอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ชีวิตจะไม่ลำบากและมีโชคลาภ เราไปด้วยกัน ๕ คน ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าอยู่สูงแค่ไหน ? ขึ้นกันอย่างไร ? แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2010 เมื่อ 03:32 |
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#184
|
|||
|
|||
ความจริงแล้วในฤดูกาลไหว้รอยพระพุทธบาท จะมีรถวิ่งขึ้นไปส่งช่วงหนึ่ง แล้วเดินทางเท้าขึ้นไปอีกช่วงหนึ่ง ด้วยความไม่รู้ คิดว่าไม่ไกล ไม่สูงมาก เพราะนอกฤดูกาลไม่มีคนขึ้นไป เขาห้ามขึ้น
เราได้นำเอารถไปจอดไว้ที่ทำการชลประทานตีนเขา แล้วเดินแบกสัมภาระขึ้นเนินเขา ช่วงแรกก็มหาโหดอยู่แล้ว เหนื่อยแทบขาดใจ เส้นทางที่เดินไปขึ้นเนินลงเนิน แต่ละเนินมีระยะทางยาวสูงชันสลับกัน ไกลแค่ไหนไม่รู้ ? เดินไปพักไป ได้ทิ้งข้าวของบางส่วนไว้ข้างทาง เพราะแบกต่อไปไม่ไหว ขึ้นจากเที่ยงวันถึงยอดเขาเที่ยงคืนพอดี เดินกันเกือบไม่ถึงจะถอดใจก็หลายครั้ง ต้องอาศัยกำลังใจจากที่เรา เป็นผู้นำจะท้อไม่ได้ คิดอยู่อย่างนี้ตลอดทาง เดินจนถึงลานพระสีวลีสามทุ่ม ทำอาหารกินกันแล้วเดินต่ออย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง คืนนั้นนอนกันในถ้ำพระฤๅษี ได้บอกกล่าวแล้วเตรียมที่นอน ข้าพเจ้าบอกกับพระแม่ธรณีให้คุ้มครอง ขณะที่กำลังนอนกันอยู่ ทุกคนเห็นปากถ้ำปิดลงมา เหมือนมีคนมาก่ออิฐปิดเอาไว้ เห็นเช่นนั้นทุกคนก็คลายความหวาดระแวงในอันตราย นึกขอบคุณพระแม่ธรณี ท่านปิดปากถ้ำด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ ป้องกันอันตรายให้กับพวกเรา จึงหลับกันสบาย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2010 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#185
|
|||
|
|||
รุ่งขึ้นออกสำรวจพื้นที่ ด้านบนเป็นลานคอนกรีต สภาพรอบ ๆ ร่มรื่น ธรรมชาติสวยงาม อากาศสดชื่น ไม่ร้อนค่อนข้างเย็น มีศาลา ที่พัก เครื่องครัวพร้อม
ด้านขวามือของลานหินเป็นที่สถิตรอยพระพุทธบาท เป็นรอยธรรมชาติเหยียบอยู่ บนหินข้าง ๆ มีหินก้อนโตรูปร่างคล้ายบาตรพระวางคว่ำอยู่ เขาเรียกว่า "บาตรพระพุทธเจ้า" ได้ไปกราบรอยพระพุทธบาท สวดมนต์ เตรียมที่พัก ทำอาหารกินกัน จึงไปตรวจดูบริเวณตามป้ายที่บอกทาง ไปดูลานพระอินทร์ ไปสักการะหินลูกบาตรพระอานนท์ หินลูกบาตรพระโมคคัลลาน์ หินลูกบาตรพระสารีบุตร บนยอดเขาอีกลูกใกล้ ๆ กัน อยู่บนนั้นเหมือนอยู่บนทิพย์วิมาน ลืมเรื่องต่าง ๆ ข้างล่างหมดสิ้น มีการปฏิบัติธรรมเจริญภาวนากันอย่างเคร่งครัด ขณะนั่งอยู่ก้อนเมฆจะผ่านตัวเรา อากาศชื้น อยู่ปฏิบัติธรรมกัน ๕ คืน นับว่าสมเจตนาที่ได้ขึ้นไปปฏิบัติเพื่อตัดอกุศลวิบากกรรมตามที่ตั้งใจไว้ ใช้รูปกายเป็นเครื่องสำนึกผิด ใช้ความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องทรมานเดินขึ้นเขาเป็นการเปลื้องหนี้กรรม ใช้การบำเพ็ญกรรมฐานเป็นเครื่องต่อรองขออโหสิกรรม ใช้สัจจะ ขันติ วิริยบารมีเป็นฐานรองรับ บนเขาลูกนี้มีอะไรมากมาย มีความศักดิ์สิทธิ์สมตามคำร่ำลือ เป็นที่สถิตของเหล่าเทวดาที่มาบำเพ็ญ มารักษา มากราบไหว้รอยพระพุทธบาทเป็นมิติซ้อนมิติอยู่ มิติปกติเป็นป่า มิติเร้นลับเป็นทิพย์วิมานของเหล่าเทวดา เป็นที่บำเพ็ญของพระฤๅษี ของคนบังบดแห่งเมืองลับแล ตอนกลางคืน เราจะสวดพระพุทธมนต์บนลานรอยพระบาทปฏิบัติกันบริเวณนี้ เช้าและกลางคืนอากาศหนาว ขณะปฏิบัติธรรมกันอยู่จะมีพลังอำนาจเร้นลับ เวลาอากาศหนาวจะมีพลังความร้อนพุ่งมาจากหินก้อนใหญ่ ตรงข้ามกับหินลูกบาตร ทำให้อบอุ่นเหมือนมีดวงอาทิตย์ส่องอยู่เราจะไม่หนาว หากออกจากบริเวณตรงนั้นก็จะหนาวจนตัวสั่น เป็นสิ่งที่ได้พบเห็นประการหนึ่ง |
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#186
|
|||
|
|||
ดูภาพพระเวสสันดรชาดก อีกประการหนึ่ง *มีผู้บอกว่าถ้าเราเป็นผู้มีบุญให้ส่องไฟฉายไปที่หินลูกบาตรในตอนกลางคืน จะปรากฏภาพต่าง ๆ อย่างน่าทึ่ง !!! จึงได้จุดธูปเทียนขออนุญาต ได้ตั้งจิตบริสุทธิ์ขอเป็นอธิษฐานบารมี หากพวกข้าพเจ้านี้จะมีบุญได้เห็นภาพไม่เกินวิสัยจะให้ดูได้ ขอโปรดให้บังเกิดภาพตามแต่เห็นสมควร จะได้รู้ จะได้เห็นให้เป็นบุญตากับทุกคน ได้ส่องไฟฉายอยู่พักหนึ่ง คิดในใจว่าคงไม่มีบุญได้ดู เห็นแต่ผนังหินลูกบาตรสีดำไม่มีภาพอะไรเลย คิดแค่นั้นก็บังเกิดอัศจรรย์ปรากฏขึ้นบนผนังหิน เป็นรูปพระเวสสันดรกำลังมอบช้างคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พราหมณ์สี่คน!!! เป็นภาพเหมือนภาพวาดที่ผนังวัดพระแก้วไม่มีผิดเพี้ยน สีสันสวยงาม ลงรักปิดทอง ภาพจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากนั้นเป็นภาพนั่งบนรถม้าสี่คน มีองค์พระเวสสันดร พระแม่มัทรี กัณหา ชาลี มีพราหมณ์มาขอรถม้าก็ประทานให้อีก กลับเป็นภาพทั้งสองพระองค์ทรงอุ้มกุมาร กุมารีทั้งสองเดินเข้าป่า ภาพที่ทั้งสี่พระองค์ทรงแต่งเป็นฤๅษีนั่งบนศาลาในป่า ภาพชูชกไปขอกัณหาและชาลี ภาพเสือ สิงโตขวางทางนางมัทรี ภาพทรงช้างกลับเมือง* ต่อจากนั้นเป็นภาพพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินนำหน้า พระอรหันต์เดินตามเป็นแถว แต่ละภาพสวยสดงดงาม เหมือนมีคนเอาเครื่องฉายภาพนิ่งฉายขึ้นไปบนผนังหิน พวกเราดูกันจนเพลิดเพลินใจ ก้มลงกราบแล้วแยกกันไปปฏิบัติธรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2010 เมื่อ 16:23 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#187
|
|||
|
|||
เหนือคำบรรยายใด ๆ ถ้าใครได้พบก็จะเข้าใจด้วยตนเอง ถ้าจะตอบตามหลักวิทยาศาสตร์ ยากจะตอบได้ นอกจากจะหาคำตอบได้จากหลักของเดชเดชา กฤษฎานุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่นั้นเป็นผู้กำหนดเหตุการณ์ เพื่อสอนธรรม อบรมจิตของพวกเราให้เป็นผู้เสียสละ รู้จักบำเพ็ญมหาทานบารมีอย่างองค์พระโพธิสัตว์ พระเวสสันดรที่ได้บำเพ็ญมาจากอดีต ให้ดูว่าพระองค์ท่านเสียสละอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นหนทางแห่งอนาคต
พวกเราที่ขึ้นไปก็เสียสละกายเป็นบารมีทานให้กับชีวิต ภูมิ ภพ ให้บำเพ็ญความเพียรเป็นบารมีเช่นกัน ได้รับความเมตตาให้ได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด หากท่านผู้อ่านยังมีความสงสัยติดอยู่ในอารมณ์ มีคำตอบอยู่อย่างเดียวคือ ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร? แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว เห็นกันแล้ว ทุกคนมีความสงสัยไม่ต่างกัน แต่จะหาคำตอบอย่างตรงไปตรงมานั้น ไม่มี !!! มีแต่ปีติในจิตของพวกเราที่ได้เห็นภาพพิสดารที่บังเกิดให้เห็น นี่แหละโลกใบนี้ ได้ซ่อนความเร้นลับไว้มากมายให้ผู้อยากรู้ อยากเห็นได้ไปพบ เข้าไปค้นหา เข้าไปดู เข้าไปศึกษาเรียนรู้ เข้าไปอยู่กับธรรมชาติ ท่านทั้งหลายอาจพบอย่างที่พวกข้าพเจ้าพบ ขอได้จงพิจารณาเถิดว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า เหตุเกิดที่ไหนให้ดับที่นั่น อะไรทั้งมวลเกิดที่ใจของเรา ความสงสัยก็ใจของเรา ละความสงสัยที่ใจของเรา ละไม่ได้ก็ไปพิสูจน์เอา อย่ามัวมานั่งมานอนคิดสงสัยให้เปลืองสมอง เสื่อมเสียคุณภาพทางความคิดกับสิ่งที่เราไม่รู้อยู่ทำไม ทำไมไม่ทำให้รู้ จิตจะละความสงสัยไปได้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 24-12-2010 เมื่อ 08:34 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#188
|
|||
|
|||
ข้อเขียนนี้ไม่มีเจตนาให้ผู้อ่าน *ได้อ่านแล้วมีความทุกข์* แต่ต้องการเปิดโอกาสให้ได้รับรู้ในสิ่งที่มีอยู่ ในชีวิตของคนเรายังมีเรื่องต่าง ๆ จะต้องแก้ไขอยู่มากมาย หากไม่แก้ไขก็จะกลายเป็นปัญหาชีวิต ปัญหาทางด้านวัตถุแก้ไม่ยาก ที่แก้ยากเป็นปัญหาของจิตใจ แก้ยากที่สุดคือปัญหาในกระแสกรรม จากการได้เห็นภาพเรื่องราวในชาดก เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของการบำเพ็ญบารมีทานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการเสียสละเพียงส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
อีกประการหนึ่ง ทางด้านทิศตะวันตกของหินเป็นทางลานหินลาดลง มีอยู่จุดหนึ่งถ้าเราไปนั่งหรือนอนตรงนั้นจะมีพลังจักรวาล เป็นกระแสไหลมารอบทิศมาสัมผัสกับพลังในกายของเรา พลังนี้จะวิ่งเข้าประสานกับพลังจิต เป็นพลังเพิ่มพูนกำลังของธาตุสี่คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ให้ปรับประสานธาตุในธาตุ ธาตุต่างธาตุให้กลมกลืนกันกับวิญญาณธาตุ ทำให้จิตมีพลัง ทำให้รักษาสุขภาพกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ช่วยเสริมพลังทางความคิด รักษาโรคต่าง ๆ ต้องพึงเข้าใจว่า การเจ็บป่วยมีเหตุอยู่ ๒ ประการ ประการแรก เจ็บป่วยปกติโดยธรรมชาติมี ๓ ลักษณะ
ประการที่สอง เจ็บป่วยที่เกิดจากกระแสกรรม การรักษาต้องแก้ที่กระบวนของกรรมเสียก่อนจึงจะรักษา ไม่เช่นนั้นจะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต้องรู้ว่าผลที่บังเกิดมาจากอะไร กระทำกับใครในชาติใด ใครจะช่วยแก้กรรมของแต่ละคน ในกรณีนี้แต่ละคนย่อมมีวิธีแก้ไขแตกต่างกันไป ทำอย่างไรเจ้ากรรมนายเวรจึงจะอโหสิกรรม เขาขออะไรต้องรู้ จงอย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร ให้ถูกหลอกให้เสียทรัพย์ เสียเวลาหรือสูญเสียอื่น ๆ อีกมาก ถ้าหมอที่ชำนาญการรักษาต้องหาสมมติฐานให้พบเสียก่อน จึงจะจ่ายยา ไม่ใช่เห็นคนป่วยแล้วฉีดยาให้ทันที ถ้ากระทำอย่างนี้เรียกว่าเป็นหมอไม่จริง เอาแต่เงินค่ารักษา เช่นเดียวกับการสำรวจกระแสกรรม ตัดทอนกรรมได้ โรคเกิดจากผลของกรรมก็จะหายได้ พลังงานที่เกิดในจุดนั้นมีคุณค่าอย่างที่กล่าวมา ถ้าใครได้ขึ้นไปสมควรไปรับพลังงานนี้ จะมีประโยชน์ที่ได้ขึ้นไป การสะเดาะเคราะห์ใช่จะแก้กรรมได้ทั้งหมด เป็นแต่เพียงวิธีหนึ่งในร้อยในพันวิธีการแก้กระแสกรรมเท่านั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 27-12-2010 เมื่อ 12:37 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#189
|
|||
|
|||
หลวงปู่ให้สืบชะตาต่ออายุ เพื่อให้เรื่องของกระแสกรรมที่มาบอกกล่าวมาปรากฏตัวมีความต่อเนื่อง ทั้งแก้ความสงสัยต่าง ๆ ในข้อเขียนข้างต้น ถึงพลังอำนาจบนเขาคิชฌกูฏที่ว่ารักษาโรคได้ ข้าพเจ้าไปรับพลังงานมาหลายครั้ง ได้ขึ้นไปเกือบทุกปีหลังจากได้ขึ้นไปครั้งแรกแล้ว ในบางปีขึ้นไปสองถึงสามครั้ง ได้ปฏิบัติและรับพลังทิพย์ที่ว่าแต่โรคในตัวของข้าพเจ้าก็ยังไม่หาย เพียงแต่ทุเลาเท่านั้น ขอเรียนให้ทราบว่ากรรมของแต่ละคนเบาบางแตกต่างกัน สำหรับข้าพเจ้าบอกได้ว่าหนักจนถึงขั้นต้องพลัดพรากจากโลกนี้ไป คนเรามีกรรมดี กรรมชั่วสั่งสมอยู่มากเหมือนเมล็ดพันธุ์พืช เอาเมล็ดพันธุ์ไหนไปปลูกก็จะได้พืชผลพันธุ์นั้น ในการเวียนว่ายแต่ละชาติได้เก็บสะสมไว้มากมาย แม้ในชาติปัจจุบันจะไม่ได้ทำกรรมชั่ว แต่ในชาติอื่น ๆ ได้สร้างไว้ จึงได้ปรากฏตัวแสดงธรรมให้เจ็บป่วย แม้แต่เศษกรรมก็มีผลต่อชีวิตของเราทั้งในชาติปัจจุบันและในอนาคต หากต้องการให้ได้ภูมิภพชาติที่ต้องเกิดใหม่ หมดจดสะอาดบริสุทธิ์ก็ต้องชดใช้หนี้เสียก่อน ถ้าจะเลือกเส้นทางนี้ในการสำนึกผิดยอมชดใช้ ใช้แบบผ่อนส่งจะได้ไม่รุนแรง อย่างอดีตกาลแม้แต่พระอรหันต์ พระโมคคัลลาน์เคยได้ทำมหาวิบากกรรมเป็นอนันตริยกรรมจนโจรมาทุบท่านดับขันธ์ อันเป็นเหตุมาจากท่านเคยกระทำกับพระบิดาและพระมารดาในชาติก่อน แต่ด้วยญาณทัสนะ ท่านหยั่งรู้วาระกรรมจึงยอมชดใช้หนี้เพื่อไม่ให้ติดหนี้กรรมสืบต่อไป ที่จะเป็นหนามขวางกั้นทางแห่งพระนิพพาน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 31-12-2010 เมื่อ 05:26 |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#190
|
|||
|
|||
พุทธศักราช ๒๕๔๒ กลางปี ขณะเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วปอ. รุ่น ๔๒ อาการกระดูกทับเส้นประสาทกำเริบ จะด้วยแรงกรรมอันใดก็ตามเป็นเหตุปัจจัยให้พบวิบาก พรรคพวกแนะนำหมอจีนรักษา ก่อนเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศไปคุนหมิง ประเทศจีน หมอจีนได้ให้กินยาเม็ดสีดำ ๒ เม็ด ไปถึงคุนหมิงยาออกฤทธิ์ทำให้อาเจียน ถ่ายท้องตลอด ๕ วันที่ดูงาน กินอะไรไม่ได้ ในปาก ลำคอ ลำไส้และกระเพาะเป็นแผล ภายใน ๔ วันน้ำหนักลดลง ๑๒ กิโลกรัม แม้แต่น้ำยังดื่มไม่ได้ มีกลิ่นเหม็นเหมือนน้ำแช่ของเน่า
เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลศิริราช ๑๕ วัน ในลำคอมีเชื้อแบคทีเรีย กินอาหารที่เป็นพวกแป้งเคี้ยวแล้ว จะแข็งเป็นหิน แม้แต่หมอเองก็ไม่เข้าใจว่าเป็นโรคอะไร? เป็นอาการที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ได้โรคใหม่มาอีกโรคได้แก่ โรคเบาหวาน หมอบอกว่าตับถูกทำลาย ๓๐% หากเข้าโรงพยาบาลช้า ๑๕ นาทีคงตายไปแล้ว น้ำที่ดื่มได้ในตอนนั้นเป็นน้ำโซดาสิงห์ นอกนั้นจะเหม็นเน่า ตับถูกทำลายจากยาจีน ๒ เม็ดที่กินเข้าไป ที่บอกไว้ตอนนั้นว่ารักษาโรคหนึ่งแถมอีกโรคหนึ่งเรียกว่า กรรมกำหนด ในช่วงแรกหมอคิดว่าเป็นเอดส์ พยาบาลใส่ถุงมือกันหมด ได้เจาะเลือดไปตรวจแล้วไม่ใช่ พยาบาลจึงถอดถุงมือ ยังได้ถามว่า ทำไมไม่ใส่ถุงมือ พยาบาลตอบว่า ปลอดภัย ไม่ใช่โรคเอดส์ ตอนต้นคิดว่าใช่ อาการเหมือนกัน ข้าพเจ้ายังคิดตลก หากเป็นก็แย่แล้วไม่เคยเที่ยวสำส่อน |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#191
|
|||
|
|||
คืนหนึ่งข้าพเจ้าคิดว่า คืนนี้น่าจะจากเรือนร่างที่เหมือนเรือผุ ๆ นี้ได้แล้ว จิตมันอ่อน หัวใจเต้นช้า หายใจไม่ค่อยจะมีกำลัง คิดว่าคงไม่พ้นคืนนี้แน่ ๆ จึงกำหนดสติไม่ให้กลัวพร้อมจะจากร่างกายนี้ไป ไม่ได้บอกใคร ๆ กลัวจะตกใจ หลับตาลงเจริญจตุตถฌานเพื่อถอดจิต
หลวงปู่เทพโลกอุดรมายืนข้าง ๆ เตียงพร้อมเอามือลูบศีรษะ แล้วท่านก็ถามว่า “จะกลับแล้วหรือ?” ได้ตอบท่านว่า “จะกลับแล้ว” ท่านบอกว่า “ยังกลับไม่ได้หรอกนะ อดทนไปก่อน ยังมีงานให้ทำอีกอย่าง แต่ให้ไปทำการสืบชะตาต่ออายุเพื่ออโหสิกรรม หนักจะได้เป็นเบา ให้เอาผ้าสีเหลืองไปห่มพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๙ องค์” ถามท่านว่า “จะไปห่มที่ไหน เดินก็ไม่ไหวอยู่แล้ว” ท่านบอกว่า “เตรียมผ้าไว้จะได้ไปห่ม เตรียมให้พอก็แล้วกัน” หลวงปู่พูดจบก็หายไป วันรุ่งขึ้นรู้สึกมีความแข็งแรงขึ้น กินข้าวได้ กินน้ำธรรมดาได้ อีก ๕ วันหมอก็ให้ออกจากโรงพยาบาล เจ็ดวันต่อมาทางวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรพานักศึกษาไปดูงานในภาคเหนือ จึงได้ซื้อผ้าไปห่มเจดีย์ ห่มได้ ๑๒ องค์เกินไป ๓ องค์ โชคดีที่เพื่อน ๆ นักศึกษา ทั้งนายพล อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด รองอธิบดี ได้ช่วยกันปีนขึ้นไปห่มกัน อาการป่วยจึงค่อย ๆ ฟื้นตัว ที่ยังตกค้างอยู่คือ โรคเบาหวาน ที่ต้องรักษาเพิ่มอีกโรคหนึ่งก็เหมาะสมแล้ว กรรมเราสร้างมาเอง มาขอให้เราชดใช้ เราก็ชดใช้กันไปไม่ต้องร้องอุทธรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น นับว่าโชคดีที่เรายังมีโอกาสได้ใช้ จะได้ไม่ต้องไปใช้ในภพชาติหน้าที่รอเราอยู่ อย่าลืมว่าอกุศลกรรมจ้องมองเราอยู่ หาช่องทางจะเข้ามาหาเราตลอดเวลา มีช่องว่างก็จะเข้ามาให้เราได้เสวยทันที ขอเตือนอย่าประมาทในกรรมโดยเด็ดขาด ต้องระวังปิดประตูให้ดี สร้างสติมั่นคง คอยแก้ไข หมั่นสวดพระพุทธมนต์ พระพุทโธช่วยเราได้ หนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย ถ้าทำได้ก็ไม่ประมาทในกรรม สร้างคุณภาพจิตให้อยู่ในกุศล มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ธรรมทั้งสี่ประการนี้เหมือนยาแก้กรรมเรียกว่า อิทธิบาท ๔ ต้องเจริญให้สมบูรณ์ในจิต จะคิดทำอะไรก็จะสำเร็จ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2010 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#192
|
|||
|
|||
การได้ห่มผ้าพระเจดีย์เป็นวิธีแก้กรรมวิธีหนึ่งเฉพาะบุคคล แต่ใครได้กระทำด้วยจิตศรัทธาก็จะมีความเจริญด้วยกุศล กรรมจะมีพลังส่งผลกับบุคคลที่ได้กระทำ รวมทั้งการถวายผ้าห่มพระพุทธรูปจะปกป้องสิ่งที่ไม่ดี ไม่ให้เข้ามาในชีวิต อาการเจ็บป่วยในกายข้าพเจ้าจึงค่อยดีวันดีคืน
เรื่องของกฎแห่งกรรมขอเตือนสติให้ระลึก ให้ทุกท่านพึงสังวรตระหนักไว้เสมอ แม้แต่บุญวาสนายังเป็นดาบสองคม กระแสบุญนั้นถ้าอยู่กับคนดีมีปัญญา ก็จะส่งเสริมให้ตระกูลมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นมีฐานะมั่นคง แม้บุคคลนั้นจะเกิดในตระกูลที่ยากจน ก็จะสร้างฐานะของตระกูลให้มีความร่ำรวย พัฒนาตนเองให้อยู่แนวหน้าพ้นความยากจน ถ้าอยู่ในตระกูลที่มั่งมีอยู่แล้วก็จะเพิ่มพูนให้มั่งมียิ่งขึ้น หากแต่บุญวาสนานั้นมาอยู่กับคนโง่ ก็เสมือนกับให้อาวุธกับโจรมีแต่ทำลาย แก่งแย่ง ฆ่าฟัน กอบโกยเอาเป็นของตนเอง ไม่คำนึงถึงผู้อื่น ใช้แต่อารมณ์เป็นเครื่องตัดสินปัญหาชีวิต มีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตถูกฝึกให้ติดอยู่กับความต้องการ ไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ใช้แต่สามัญปัญญาหรือโลกียปัญญา มูลเหตุเกิดจากพ่อแม่ได้เสี้ยมสอนโดยไม่รู้ตัว ความรักเข้าสิงสู่จิต ตามใจในสิ่งที่ผิดตั้งแต่เล็กจนโต เขาเติบโตมาด้วยการถูกเอาใจ จึงซึมซับรับเอาไว้อยู่ตลอด โลกียปัญญาเข้าครอง เข้าเป็นเจ้าเรือนในจิต เจริญมาด้วยการปรนเปรอวิสัยโลกอย่างสุดเหวี่ยง ทำอะไรจึงเอาแต่ใจ *ยึดถือโลกธรรมเป็นแก่นของชีวิตจนมัวเมาปักแน่นอยู่* ถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้ายจะทำลายตระกูลจากมั่งมีก็จะยากจน จากจนมากก็จะจนมากขึ้น รบราฆ่าฟัน แย่งสมบัติที่ไม่ได้เอามากันภายในหมู่พี่น้อง ในหมู่ญาติ ดังมีบทเรียนให้เห็นอยู่ทั่วไป บุญวาสนาหากอยู่กับคนดีมีปัญญาก็เหมือนบุคคลนั้น มากับความสว่างไปกับความสว่าง มากับความมืดไปกับความสว่าง ในทางกลับกัน ถ้าวาสนานั้นมาอยู่กับคนโง่เหมือนหนึ่งบุคคลนั้น มากับความสว่างไปกับความมืด มากับความมืดไปกับความมืด เราจะเลี้ยงลูกอันเป็นแก้วตาดวงใจของเราแบบไหน? จะให้มากับความสว่างไปมืด หรือมากับความมืดไปสว่าง มากับความมืดไปมืด พ่อแม่เป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำหนดมูลเหตุปัจจุบันกรรม ส่วนอดีตกรรมเป็นเรื่องยากจะเดาแต่ป้องกันได้ หากเราไม่ละเลย หลงผิดติดอยู่แต่วัตถุธรรม ขอเน้นพระพุทธพจน์อีกครั้ง กรรมใดใครก่อ บุคคลนั้นต้องเป็นผู้รับกรรมนั้น จะแบ่งกรรมให้ผู้อื่นไม่ได้ ทั้งกุศลและอกุศล ยกเว้นผู้อื่นมาแบ่งไปดังข้อเขียนในเบื้องต้น บุคคลใดมารับก็จะกลับเป็นกรรมของคนนั้น ขอให้แยกออกให้เป็นตามกฎแห่งกรรม กุศลที่ได้กระทำนั้นสามารถแผ่เป็นอานิสงส์ให้ผู้อื่นได้ อกุศลที่ได้กระทำย่อมไม่สามารถแผ่ให้ผู้อื่นได้ |
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#193
|
|||
|
|||
ได้พระเขี้ยวแก้ว *จะจริงหรือเท็จก็เหลือจะคาดเดา* ขอท่านจงพินิจวิเคราะห์ดูเอาเอง เป็นเรื่องน่ารู้ว่าอะไรเกิดขึ้น! เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมจึงเกิด เกิดขึ้นเพื่ออะไร? จึงเขียนบอกเล่าเพื่อให้ท่านผู้รู้ได้ช่วยพิจารณาสถานการณ์ที่บังเกิด ในคืนวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าอยู่บนบ้านที่จังหวัดชลบุรี ได้สวดมนต์เจริญกรรมฐานตามปกติ ได้ยินเสียงบอกว่า “พรุ่งนี้ให้ไปที่ชายทะเลที่เขาสามมุก จะมีหอยมือเสือนำพระเขี้ยวแก้วมามอบให้ ให้ไปนั่งอยู่ที่โขดหิน ได้มาแล้วให้เก็บไว้ มีโอกาสให้ไปบรรจุไว้ในเจดีย์ ไม่เชื่อให้ไปพิสูจน์” จะจริงก็พรุ่งนี้ จะไม่จริงก็พรุ่งนี้คือ คำตอบ หากไม่ไปมันก็ไม่จริงตลอดไป หากไปความจริงจะถูกเปิดเผย อย่ามัวลังเลสงสัยจะได้ไม่โง่ ไม่เช่นนั้นจะโง่ตลอดชีวิต เป็นคำตอบที่มีการท้าทายให้เราสนใจอยู่ในตัว อย่างกับรู้ใจเรา ทั้งบอกให้ใส่ชุดขาวไป ในวันรุ่งขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นบังคับให้ข้าพเจ้าไป ณ จุดที่บอกกล่าว ไปนั่งรออยู่เกือบค่อนวัน ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว เฝ้ามองดูท่ามกลางกระแสคลื่นที่เข้ามากระทบโขดหิน นั่งคอยจนเกือบล้มเลิก จิตมันตะคอกให้กลุ้ม มันเริ่มออกอาการกระวนกระวายใจ กะไว้ว่าจะทนนั่งอยู่ไม่เกิน ๓๐ นาทีก็จะกลับ ถูกหลอกเหนื่อยเปล่า จิตคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานา ร้อนรุ่ม นั่งไม่ติด นึกโกรธตัวเอง เชื่ออะไรง่าย ๆ แดดเผาแสบไปทั้งตัว เสียงานและเวลา ขณะว้าวุ่นอยู่นั้น ในน้ำเป็นแสงสว่างอย่างกับมีหลอดไฟกำลังเคลื่อนมาแต่ไกล มองดูด้วยความขนลุกขนพอง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเพราะยังอยู่ระยะไกล ได้ลงไปยืนอยู่บนหินติดกับชายน้ำ ที่ตรงนั้นติดหน้าผา ไม่มีหาดทราย เมื่อแสงนั้นเข้ามาใกล้จึงมองเห็นเป็นหอยมือเสือขนาดใหญ่ กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาอยู่ตรงหน้า มันอ้าปากออกกว้างมองเห็นเม็ดสีขาว ๆ อยู่ในปาก ๕ *องค์ ในใจคิดว่า นี่กระมังเม็ดพระเขี้ยวแก้ว จะเอามือหยิบก็กลัวมันจะงับมือ ยืนดูอยู่พักหนึ่งมันอ้าปากไม่ไปไหน จึงตัดสินใจเป็นอย่างไรก็เป็นกัน* เอามือไปหยิบทั้ง ๕ องค์ออกจากปาก ยกมือไหว้กล่าวขอบพระคุณ มันจึงถอยกลับหายไปในทะเล องค์ขาว ๆ ที่หยิบขึ้นมานั้นเมื่อถูกมือก็เกิดอาการเสียวซ่านไปทั้งกาย เป็นเม็ดสีขาวส่องประกาย จึงกลับขึ้นมา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2011 เมื่อ 12:53 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#194
|
|||
|
|||
ขณะนี้องค์พระเขี้ยวแก้วได้นำไปบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ทางเหนือ ที่ได้ร่วมกันสร้างเจดีย์ไว้ที่วัดม่วงคำ อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งสร้างพระอุโบสถ พระประธานในพระอุโบสถ นับเป็นการสร้างมหาทานบารมีชั่วนิจนิรันดร์ไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา พระเจดีย์ พระประธานสร้างเสร็จแล้ว เหลือแต่พระอุโบสถที่ยังตกค้างที่จะต้องทำต่อ (ปัจจุบันพระอุโบสถเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว)
นี่เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่ถือว่าแปลกเหนือเหตุ เหนือผล !!! หอยตัวนั้นมาได้อย่างไร? ใครเป็นผู้กำหนดเหลือที่จะเข้าใจได้ แต่เป็นเครื่องยืนยันว่า คำบอกกล่าวนั้นเป็นจริง มีเงื่อนไขให้ได้ค้นคว้าหาต่อว่า ทำไมต้องเป็นเรา ผู้อื่นอาจมีประสบการณ์เช่นนี้ เรารู้ไม่ได้เพราะเขาเหล่านั้นไม่เปิดเผย แม้เราเองก็ไม่เปิดเผย เพิ่งเขียนเปิดเผยครั้งนี้เพื่ออาจมีประโยชน์กับผู้สนใจใคร่ได้ทดลองปฏิบัติ ทำให้มีประโยชน์ต่อการอบรมจิตใจให้เรืองปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ อย่างน้อยตัวเอง คนใกล้ชิดได้พบความสุข ทำให้เรารู้ตัวอยู่เสมอ มีความระมัดระวัง มีความไม่เผลอตัว มีการไตร่ตรอง มีการพิจารณาอยู่ตลอดเวลา ตามรู้ตามทันอารมณ์ของตนเอง สามารถกำกับให้สงบอยู่ได้ รู้สภาวะอารมณ์ตนแล้วจึงไปรู้อารมณ์ผู้อื่น ก็จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ รู้ที่เกิด รู้ที่ดับ แค่นี้ก็วิเศษแล้ว ถ้าทุกคนทำได้อย่างนี้ สันติสุขของโลกก็จะบังเกิด ความสงบสุขก็ปรากฏ ไม่รบราฆ่าฟันเพื่อแก่งแย่งผลประโยชน์ หากทุกคนกำกับจิตของตนได้ โลกก็จะไม่เปรอะเปื้อนด้วยจริตอารมณ์ การดำรงชีวิตจะไม่เปราะบางไปตามกระแสของกามคุณ อันเป็นสาเหตุให้เกิดตัณหาเข้าไปอยู่ในเวทนาจิต ไม่พ้นจากทุกข์เวทนาภายใน เพราะการเกิดสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เพราะการดับของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับ เป็นกระแสวิ่งเข้าไปในชีวิต จะเกิดจะดับ ย่อมมีกรรมเป็นปัจจัยรองรับ เรารู้อยู่อย่างไร เราเห็นอยู่อย่างไร เราจะแก้อย่างไร จะดำเนินอย่างไร ก็ตัวเราทั้งสิ้น |
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#195
|
|||
|
|||
เข้านครคำชะโนด คำชะโนดเป็นมิติมหัศจรรย์อันเร้นลับ เป็นดินแดนที่ท้าทายต้องการให้ทุกคนเข้าไปพิสูจน์ความจริง มีตำนานเรื่องเล่ากันมากมาย ที่บุคคลได้พบเห็นความแปลกในดินแดนแห่งนี้ ท่านผู้สนใจคงต้องไปสอบถามกันเอง ข้าพเจ้าจะเขียนเฉพาะที่ได้พบเห็นด้วยตนเอง ตอนที่ได้เข้าไปบำเพ็ญอยู่ในนั้น บริเวณนั้นเป็นป่าเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ไร่ อยู่กลางทุ่งนา เป็นที่ลุ่ม ต้นไม้ในป่าแห่งนี้มีลักษณะเหมือนต้นตาล ลำต้นสูงเสียดฟ้า แต่ไม่ใช่ต้นตาล มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย เอาไปปลูกที่อื่นก็ไม่ขึ้น ตายหมด ชาวบ้านเรียกต้นชะโนด จนกลายเป็นชื่อของสถานที่แห่งนี้ รอบ ๆ ป่าชะโนดเป็นทุ่งนา ใครไปตัดต้นชะโนดจะมีเหตุอันเป็นไป เป็นสถานที่เคารพของชาวบ้านบริเวณนั้น และจังหวัดใกล้เคียงได้มาสักการะไม่ได้ขาด ในแต่ละวันทั้งชาวบ้าน พ่อค้า ข้าราชการ ประชาชนต่างไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล บนเนินห่างจากป่าประมาณ ๓๐๐ เมตรเป็นที่ตั้งของวัดศรีสุทโธ จากวัดมีสะพานทอดเข้าไปยังป่าคำชะโนด สะพานที่ทอดข้ามไปนั้นสูงประมาณ ๑.๗๐ เมตร เวลามีน้ำหลาก น้ำจะล้อมรอบป่าทั้งสี่ด้าน ในบริเวณป่าคำชะโนดมีบ่อน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า บ่อน้ำทิพย์ น้ำใสจืดสนิท มีน้ำตลอดทั้งปี ไม่มีแห้งจากขอบบ่อที่ได้ก่ออิฐล้อมรอบ สามารถยื่นมือตักน้ำมาดื่ม ล้างหน้าได้ ป่าคำชะโนดอยู่ที่อำเภอบ้านดุง *จังหวัดอุดรธานี* สถานที่แห่งนี้ตามตำนานจะเกี่ยวข้องกับหนองหาญ จากการที่ได้เข้าไปปฏิบัติธรรมในป่าคำชะโนด จึงได้รู้เห็นว่านั่นคือ เมืองพญานาคเป็นมิติเมือง *ก่อนเข้าไปในบริเวณจะมีประตูเมือง เมืองเขาเป็นแก้วทั้งเมือง* มีคนอาศัยอยู่ในรูปทิพย์ จะมองไม่เห็นด้วยตาสามัญธรรมดา หากเขาไม่ให้รู้เห็น เข้าไปภายในเมืองแห่งนี้จะเห็นแต่ต้นชะโนดกับต้นนาคราชเท่านั้น อันที่จริงมีผู้ชายผู้หญิงอาศัยอยู่ พวกเขาอยู่บริเวณนั้นมีรูปร่างเป็นคนเหมือนอย่างเรา ทุกคนจะถือศีลบำเพ็ญบารมีกันอยู่ หากออกจากบริเวณก็จะมีรูปร่างเป็นงูใหญ่ ได้บอกกล่าวขอเข้าไปอาศัยบำเพ็ญบารมีธรรม พวกเขาอนุญาตให้การต้อนรับอย่างดี ภายในบริเวณเมืองคำชะโนดนั้นเมื่ออากาศหนาวจะอุ่น เมื่ออากาศร้อนจะเย็น เวลากลางคืนน่ากลัว เงียบวังเวง จะไม่มีคนเข้าไป เหมาะสำหรับการเจริญภาวนา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 10-01-2011 เมื่อ 08:05 |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#196
|
|||
|
|||
พวกเราประมาณ ๑๒ คน (จำไม่ค่อยได้) *ขอเข้าไปปักกลดเจริญภาวนาทางจิตในเมืองนาคราชแห่งนี้ ๒ คืน แต่ขอไม่เขียนไว้ตามคำขอร้อง พวกเขาขอร้องอย่าแพร่งพรายเรื่องราวในเมืองแห่งนี้ ให้รู้กันเท่าที่รู้ ข้าพเจ้าได้รับสัจจะจึงไม่อาจเขียนบอกเล่าได้
ในคืนวันที่สอง ตอนกลางคืนมีแสงสว่างอย่างดอกไม้ไฟ ลอยอยู่เหนือบ่อน้ำทิพย์ เป็นเช่นเดิมทุกคนหลับหมด ได้ออกจากกลดเข้าไปดูเห็นเป็นลูกแก้วสีเหลือง สีเขียวมรกตใสมีประกายอยู่รอบ ๆ ได้กำหนดจิตอยู่พักหนึ่ง จึงกล่าวว่า “จะให้ดูหรือจะให้ ถ้าจะให้ก็เคลื่อนตัวมาใกล้ ๆ หากจะให้ดูก็ให้อยู่ที่เดิม” ลูกแก้วก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ จึงคว้าเอาไว้ เป็นลูกแก้วสองลูกจริง ๆ อยู่ในมือ ได้เก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบันนี้ ณ ที่บริเวณป่าคำชะโนดมีเรื่องแปลกอยู่อีกอย่างหนึ่ง เมื่อมีน้ำหลากหรือฝนตกหนักจนน้ำท่วมภายในบริเวณวัด แต่น้ำจะไม่ท่วมในเมืองคำชะโนดทั้ง ๆ ที่อยู่ต่ำกว่าเกือบ ๒ เมตรแม้น้ำจะมากแค่ไหนก็ตาม เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น เหมือนแผ่นดินตรงนั้นลอยตัวได้อย่างกับมีอะไรมาหนุน ยกให้ลอยตัว * ไม่ได้เป็นความลับหน้าน้ำหลากให้เดินทางไปดู ไปพิสูจน์กันได้ทุกคน ถ้าจะถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็หาคำตอบแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ว่าทำไม!!! ถ้าไม่เป็นอย่างนี้จะเรียกว่า มิติเร้นลับหรือ!!! ต้องเหนือเหตุผล เหนือคำวิจารณ์ เหนือคาดคิด เหนือคำอธิบายใด ๆ เหนือคำทำนาย เหนือสามัญจิตจะหยั่งรู้ได้ อยากได้คำตอบต้องไปดูด้วยตนเอง ถ้าเห็นแล้วตอบตัวเองไม่ได้ ก็พึงนึกให้ได้ว่า เราจะไม่ประมาทในทุกสถานการณ์ จะดำรงสติสัมปชัญญะให้มั่นตลอดเวลา ไม่สร้างความเสื่อมให้เกิดกับตัว ทำให้หมดโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้อย่างที่มีคำกล่าวของผู้รู้ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่พูดไม่มีใครรู้ว่าเราโง่ พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 13-01-2011 เมื่อ 14:07 |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#197
|
|||
|
|||
ได้พระพุทธรูปสมบัติในอดีตชาติ เพื่อเป็นการยืนยันสัจธรรมในการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกตามกฎแห่งกรรม ทั้งบอกกล่าวถึงสิ่งที่ไม่ได้เอามาและสิ่งที่ไม่ได้เอาไป เอาไปได้เฉพาะความดี ความชั่วเท่านั้น จะมัวเมาลุ่มหลง เข่นฆ่า ทำร้ายกัน ทำลายกันอยู่ทำไม ให้ผูกกันเป็นเจ้ากรรมนายเวรคอยติดตามกัน ทำลายกันในทุกภพทุกชาติ ความไม่รู้จึงทำให้เสียการ เสียคุณค่าของชีวิต สร้างความทุกข์ให้กับภูมิของตนเอง รู้แล้วสมควรแก้ไข คนเราถ้าเป็นคนดีจิตใจงาม จะทำความดีไม่ยาก แต่จะทำความชั่วแสนยาก ถ้าเป็นคนชั่วจิตใจชั่ว จะทำชั่วไม่ยาก แต่จะทำความดีแสนยาก ดังนั้น จงทำความดีเพื่อตัดทุกขภพให้หลุดจากวิถีโคจรของชีวิต ในการเวียนว่ายท่องไปในภพต่าง ๆ เราสร้างกันได้ทำไมไม่สร้าง อะไรที่เป็นตัวขวางกั้น ไม่ใช่อื่นใด จิตของเรานั่นเอง จะทำได้ต้องฝืน ต้องอดทน ต้องขยันหมั่นเพียร ต้องตั้งสัจจะ ต้องมีความพึงพอใจที่จะกระทำ ต้องยอมรับ ต้องยอมเหนื่อย ต้องยอมแก้ไข ต้องยอมปรับปรุง ต้องยอมรับรู้ในความจริงในกรรมของตนเอง การแก้ไขนั้นมันจะขัดกับความต้องการ ขัดต่อความรู้สึก จิตมันต่อต้าน ทำให้คิดผิดตลอดเวลาที่เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัวอยู่ร่ำไป ยอมรับมันไม่ได้ ทนต่อเหตุการณ์ไม่ได้ ทนต่อสถานการณ์ที่ต้องเสียไปไม่ได้ กิเลสมันเป็นเจ้าเรือนในดวงจิต มันจะต้องสู้ดิ้นรนเพราะมันจะสูญเสียบ้านที่มันอยู่อาศัย มีผู้มาแย่งความเป็นใหญ่จากมัน มีผู้มาสั่งการแทนมัน มันสูญเสียอำนาจ มันผูกติดอยู่กับเรือนของมัน มันจะขาดความสนุกรื่นเริง มันจึงเริ่มทุกข์ทรมาน ขัดขืนต่อสู้ทุกวิถีทาง มันจะร้องขอ มันจะร้องคำว่า ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอมอยู่ตลอด มันจะหาพวกมาประสานกิเลส จนจิตนั้นยอมแพ้มัน ให้มันอยู่อาศัยให้เป็นใหญ่ มีอำนาจเช่นเดิม มันจึงสงบ อย่าลืมว่าการเปลี่ยนแปลงจิตนั้นมันยุ่งยาก ต้องต่อสู้กัน เหมือนเข้าอยู่ในสมรภูมิ เป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่ การต่อสู้ของจิตในจิต มีการต่อสู้กันด้วยกลยุทธ์จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพ่ายแพ้ กรรมก็จะสวมรอยตามกุศลและอกุศลนั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2011 เมื่อ 15:43 |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#198
|
|||
|
|||
พุทธศักราช ๒๕๒๑ ได้เดินทางไปจังหวัดมหาสารคาม นำคณะของสำนักงบประมาณไปดูงานเพื่อจัดสรรงบประมาณ เดินทางไปถึงอำเภอบรบือได้แวะไปที่วัดขวัญเมืองระบือธรรม ไปกราบท่านพระครูเจ้าอาวาส ท่านได้พาข้าพเจ้าไปกราบพระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นพระยืนแกะด้วยหินเขียวสูงประมาณ ๑.๒๐ เมตร พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นอยู่ในท่าประทานพรเรียกว่าปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์อิ่ม พระโอษฐ์ยิ้มได้พุทธลักษณะมองแล้วอิ่มใจ อีกองค์หนึ่งเป็นพระมารวิชัยหน้าตักกว้าง ๙ นิ้ว แกะด้วยหินเขียวเช่นเดียวกัน
ท่านพระครูท่านบอกมีคนนำมาถวายไว้มี ๒ องค์ กราบเสร็จไม่ได้คิดอะไรมาก นึกอย่างเดียวเป็นบุญที่ได้กราบพระพุทธรูปเก่าแก่ เป็นพระพุทธรูปสมัยปาละอายุราว ๑,๖๐๐ ปี ไม่ได้ติดใจอะไร ตกกลางคืนเวลาสามทุ่มได้เข้านอนที่บ้านพักรับรอง ขณะกำลังนอนหลับมีชายผู้สูงอายุ นุ่งขาวห่มขาว ไว้ผมมวยด้านหลัง รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางใจดี มานั่งข้างเตียงนอนบอกให้ไปเอาพระพุทธรูปที่ไปกราบเมื่อตอนเย็น ไปขอเก็บรักษาไว้ มันเป็นสมบัติของเราแต่อดีตชาติเมื่อ ๑,๖๐๐ ปี เราเคยเป็นเจ้าของ ให้ไปขอท่านพระครู อย่าลืมไปเอานะ ข้าพเจ้าบอก “ไม่เอาหรอก ของมีค่า ใครจะกล้าไปขอ” ชายผู้นั้นกล่าวว่า “ไปขอท่านพระครูก็ยกให้ อย่าดื้อ บอกให้ไปเอาก็ให้ไปเอาเสีย ของ ๆ เรา ให้กราบเรียนท่านว่า อย่าจำหน่ายให้มอบให้กับเราไป พระพุทธรูปองค์นี้เคยจำหน่ายมาแล้ว ๓ ครั้ง ผู้จำหน่ายมีเหตุเป็นไปทุกคนจนเอาไว้ไม่ได้ จึงนำมาถวายไว้ หากทางวัดจำหน่ายก็จะมีเหตุอีก” ยังคุยไม่ทันจบ *คณะที่ไปด้วยกันก็มาเรียกให้ไปนอนกันที่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อเข้าที่พักของโรงแรมแล้ว ชายผู้นั้นก็ไปหาอีกแล้วก็บอกอย่างเดิม ให้ไปเอาพระพุทธรูปกลับไปด้วย แล้วเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังขอร้องให้ไปเอาพระพุทธรูป ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกขัดเคืองใจ จะนอนก็ไม่ได้นอน ต้องขับรถไปอีกทั้งวัน เลยไปช่วยพรรคพวกทำเวทีมวยที่บึงพลาญชัย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 11-01-2011 เมื่อ 10:02 |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#199
|
|||
|
|||
กลับเข้าห้องพักประมาณตีสาม ชายผู้นั้นก็มาหาอีก บอกให้ไปเอาพระพุทธรูปเช่นเดิม จึงได้บอกว่า ไปเอาไม่ได้ พรุ่งนี้คณะจะออกจากโรงแรมที่พักตอนเช้า จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ชายผู้นั้นตอบว่า ไม่ออกเช้า จะออกตอนเที่ยง ความอยากลองจึงรับปาก หากออกเที่ยงจริง ๆ ก็จะไปลองขอท่านพระครู หากท่านมอบให้ก็จะนำไปเก็บรักษาไว้
เช้าลงมากินข้าว จึงถามหัวหน้าคณะจะกลับตอนไหน ได้รับคำตอบว่ากลับตอนเที่ยง มีงานต้องทำอีก ตรงตามที่ชายคนนั้นบอก จึงขอรถไปที่วัดขวัญเมืองระบือธรรม ได้บอกคณะว่าทางวัดจะขอฝากพระพุทธรูปเข้ากรุงเทพฯ ด้วย ทุกคนไม่ขัดข้อง เป็นรถตู้มีที่ว่างพอ * ไปถึงวัดได้คุยกับท่านพระครู ท่านบอกว่าจะมีคนไปดูเพื่อขอเช่าต่อ จึงได้เล่าความตามที่ชายผู้นั้นบอกกล่าว ให้ท่านพระครูได้พิจารณา ท่านบอกว่า จริงทุกอย่าง" จึงได้ตัดสินใจยกให้ ได้ให้พระและสามเณรช่วยกันยกพระพุทธรูปขึ้นรถ พร้อมทั้งได้มอบพระพุทธรูปปางมารวิชัยอีกองค์หนึ่ง ต่อมาชายผู้นั้นได้มาบอกให้มอบพระพุทธรูปปางมารวิชัยให้กับเจ้าของ เขารออยู่ หากใครมาขอให้ยกให้กับคนนั้น รออยู่ ๒ ปีก็ไม่มีผู้ใดมาขอ ชายผู้นั้นมาบอกอีก ได้ตอบไปว่า ไม่รู้จะให้ใคร ก็ปฏิบัติตามที่บอกไว้ทุกประการ ไม่มีผู้ขอจึงไม่ให้ ชายผู้นั้นจึงได้เนรมิตรูปหน้าของบุคคลที่เป็นเจ้าของ เมื่อเห็นหน้าก็เกิดปีติยินดีเพราะเป็นรูปหน้าของครูที่สอน เมื่อตอนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยพลศึกษา ในสนามกีฬาแห่งชาติ จึงได้นำไปมอบให้และได้บอกกล่าวท่านให้รับทราบ ปรากฏว่าเมื่อท่านได้พระพุทธรูปไป ท่านได้เลื่อนตำแหน่งในปีเดียวกันถึงสองครั้ง ครั้งแรกได้เป็นรองอธิบดีกรมพลศึกษา อีกแปดเดือนต่อมาได้เป็นอธิบดีกรมพลศึกษา นี่คือสิ่งที่บังเกิดเพื่อยืนยันการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะตามแรงแห่งกรรม มีจริงเป็นจริง อย่าคิดประมาท ให้ทำดีเอาไว้เมื่อมีโอกาสเพื่อผลแห่งความสุขในอนาคตภพ เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ยาก เกิดมาเพื่อแก้ตัว มาทำภูมิสร้างภพ สร้างชาติที่ประเสริฐ มาชำระล้างอกุศลกรรมด้วยการทำแต่ความดี เราสร้างเองได้ ไม่ต้องไปขอใคร ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าว เพียงแต่สร้างพลังอำนาจจิตให้เข้มแข็ง ไม่ให้ตกอยู่ในอบายภูมิ ไม่ให้ขันธมารมาครอบครองจิต ไม่คิดชั่ว คิดแต่ดี คิดอยู่ในศีล คิดเดินไปสู่หนทางสงบสะอาดในจิต เดินตามหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนอบรมเวไนยสัตว์ ให้พ้นทุกข์ มีแต่เกษมสุขจนเข้าพระนิพพานในที่สุด |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#200
|
|||
|
|||
กฎของกรรมจากพระโอษฐ์ *กรรมใดอันผู้กระทำเห็นอยู่ว่า เกิดจากโลภะ เกิดจากโมหะก็ตาม กระทำแล้วจะน้อยก็ตาม จะมากก็ตาม กรรมนั้นอันบุคคลผู้นั้นพึงเสวยในอัตตภาพนั่นเทียว พื้นที่อื่นหามีไม่ เพราะฉะนั้น ผู้รู้จักกรรมฉะนี้ย่อมละ ไม่เสวยผลกรรมนั้นได้ * บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด ก็หาไม่ได้ จะมิใช่พราหมณ์เพราะชาติกำเนิดก็หาไม่ได้ บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะกรรม ไม่เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม บุคคลเป็นชาวนาเพราะกรรม ไม่เป็นชาวนาก็เพราะกรรม บุคคลเป็นพ่อค้าเพราะกรรม ไม่เป็นพ่อค้าก็เพราะกรรม บุคคลเป็นศิลปินเพราะกรรม ไม่เป็นศิลปินก็เพราะกรรม บุคคลเป็นคนรับใช้เพราะกรรม ไม่เป็นคนรับใช้ก็เพราะกรรม บุคคลเป็นโจรเพราะกรรม ไม่เป็นโจรก็เพราะกรรม บุคคลเป็นนักรบเพราะกรรม ไม่เป็นนักรบก็เพราะกรรม บุคคลเป็นปุโรหิตเพราะกรรม ไม่เป็นปุโรหิตก็เพราะกรรม บุคคลเป็นพระราชาก็เพราะกรรม ไม่เป็นพระราชาก็เพราะกรรม ฯลฯ บัณฑิตทั้งหลายย่อมมองเห็นซึ่งกรรมนั้นตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในเรื่องวิบากแห่งกรรม โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม สัตว์ทั้งหลายย่อมมีกรรมเป็นเครื่องขึงรัด เหมือนลิ่มสลักขันให้รถหยุด (เบรกรถม้า) รถที่กำลังแล่นอยู่เพราะการบำเพ็ญตบะ การประพฤติพรหมจรรย์ การสำรวมเพราะการฝึกตนนั่นแหละ บุคคลจึงเป็นพระพรหม กรรมจึงเป็นเครื่องร้อยรัดชีวิตให้ตกอยู่ในวิบากกรรมเหล่านั้นเที่ยงแท้ ไม่ผันแปร อยากได้ภพ ได้ชาติกำเนิดอย่างไร? ก็ให้กระทำอย่างนั้น อย่าอยากได้อย่างหนึ่งไปกระทำอีกอย่างหนึ่ง ผลที่ออกมาย่อมไม่สมเจตนา กฎของกระบวนกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเสมอกันทุกคน ไม่ได้รับในชาตินี้ก็ต้องไปรับในชาติหน้า ในชาตินี้เราเสวยผลของอดีตกันอยู่ ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งสมหวัง ทั้งผิดหวัง ทั้งมั่งมี ทั้งยากจน ล้วนแต่มีผลมาจากกรรม ผู้รู้ย่อมเกรงกลัว ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ขยาดเกรงกลัว ส่วนตัวข้าพเจ้าได้พบแล้ว ได้เห็นแล้ว ได้เข้าใจแล้ว ได้พิสูจน์แล้ว ย่อมต้องมีความขยาด เกรงกลัว พรั่นพรึงต่อกรรมแน่นอน ทั้งจะไม่ประมาทในกรรม อยู่อย่างสำรวมอินทรีย์ทั้งภายในและภายนอก ข้อเขียนตอนใดกระทบอารมณ์ของผู้ใด ข้าพเจ้าขอขมากรรมไว้ในโอกาสนี้ด้วย กรรมเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ เป็นสิ่งที่น่าเกรง เป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง เป็นสิ่งที่น่าขยาด เมื่อยังมีเวลาให้คิด ทำไมไม่คิด? มันคิดได้ทำได้ เมื่อหมดเวลาก็หมดโอกาสจะคิด อุปสรรคที่อยู่รอบตัวเรา เราเป็นผู้สร้าง ผู้ให้โอกาสกับตัวเรา ทั้งสร้าง ทั้งทำลาย อยู่ภายใต้อำนาจจิตของเรา ไม่ใช่จิตของคนอื่น จิตดีกรรมดี จิตชั่วกรรมชั่ว มีผลตามกรรม กฎแห่งกรรมมีผลกับทุกคน ทุกเหล่า ทุกคนมีความหวังในชีวิตที่ดี ก็ต้องป้องกันสิ่งที่ไม่ดี อย่าให้เข้ามา ต้องป้องกันไว้ก่อน มาถึงแล้วแก้ไม่ทัน เด็กเกิดมายังต้องฉีดยาให้เป็นภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ไม่ให้เกิด เกิดแล้วรักษายาก ต้องค้นหายา ค้นหาหมอที่เก่งมาช่วย ทำดีเป็นการสร้างแนวต้านกระแสอกุศลวิบากกรรม ทั้งช่วยส่งเสริมกุศลวิบากกรรมให้มีพลังมาเป็นพลังชีวิต แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2011 เมื่อ 11:33 |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|