กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 14-04-2012, 11:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงมีดสั้นว่า "พวกมีดที่ทำจาก Cold Steel จะอยู่ในลักษณะขึ้นรูปด้วยเครื่องมือ ไม่ใช่เหล็กที่ใช้วิธีอบความร้อนแล้วตีขึ้นมา ก็เลยเป็น Cold Steel เทคโนโลยีของฝรั่งด้านนี้เหนือชั้นกว่า แต่ว่าความประณีตและความคิดของเขาสู้เราไม่ได้ มีดของคนไทยเราทำทีละเล่ม มีเครื่องขึ้นคม ตั้งองศาได้เลยว่าจะเอาความคมขนาดไหน เวลาจะเก็บควรเช็ดให้สะอาดก่อน เพราะเวลาที่มือเราจับจะมีเหงื่อเค็ม ๆ ถึงเป็นเหล็กสเตนเลสก็จะขึ้นสนิม

วิธีการใช้มีดสั้นหลัก ๆ ก็มี แทง เชือด ปาด ฟัน ถ้าไม่ใช่ระดับสุดยอดจริง ๆ ประเภทที่ใช้ เกี่ยว ดึง กด ดัน เรายังทำไม่เป็นหรอก"


ถาม : มีดสั้นฟันอย่างไร?
ตอบ : ใช้ฟันตรง ๆ ขึ้นอยู่กับจังหวะ อย่างพวกเราเวลาจะใช้ต้องชักมีดออกมาก่อนแล้วค่อยใช้ ส่วนคนที่เป็นเขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก พอชักออกมาเขาปาดใส่ขึ้นเลย เอากำไร ๑ ทีก่อน ลักษณะกึ่งปาดกึ่งฟัน ดึงพรวดขึ้นมาก็ไปแล้ว ๑ ที ชักปาดขึ้น ถ้าหากว่าพลาดก็ก้าวตามฟันลงซ้ำอีกที ถ้าหากว่า ๒ ทีแล้วยังพลาดก็ก้าวตาม ครั้งที่ ๓ แทง หัดแค่ ๓ ท่าพอ เอาให้ชินเท่านั้นแหละ

อย่าลืมสืบเท้าตามไปนะ ถ้าไม่สืบเท้าตามไปเป้าจะออกห่าง ปาดขึ้น ฟันลง แล้วก็แทง เอาแค่ ๓ ท่าก่อน ถ้าใครหลบได้ทั้ง ๓ ท่านั่นต้องระดับสุดยอดแล้ว

การสู้กับมีดสั้นถ้าไม่ใช่คนชำนาญจริง ๆ มักจะต้องถอยห่างซึ่งเป็นจังหวะให้เราโจมตีซ้ำได้ ถ้าพวกชำนาญจริง ๆ จะประชิดตัวเข้ามา ทำให้ยิ่งใช้ยากขึ้น เราต้องหัดหักข้อมือพับแขนตัวเองให้ได้จังหวะ ไม่อย่างนั้นจะทำอันตรายเขาไม่ได้เพราะเขาอยู่ใกล้ อย่างเช่นเราปาดขึ้น ถ้าเขาประชิดเข้ามาเราต้องพลิกข้อมือให้เป็น ถ้าพลิกข้อมือเป็น คมอาวุธจะพลิกเข้าหาเขา เขาต้องถอยออก หรือไม่ก็ต้องพลิกตัวเปลี่ยนเป็นมุมอื่นเหลี่ยมอื่น

ต้องซ้อมบ่อย ๆ เหมือนกับตีเทนนิส ใครตีเทนนิสบ่อย ๆ นี่ตบใครเข้าไปทีหนึ่งก็เสร็จแล้ว ตบเสร็จเราอาจจะเจ็บมือ แต่อีกฝ่ายร่วงลงไปกองกับพื้นแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-04-2012 เมื่อ 12:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 14-04-2012, 12:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปลายเดือนมีนาคมไปกราบหลวงพ่อมณฑล (พระครูสุชาติกาญจนโกศล) ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่สายรุ่นแรก ๆ เลย อยู่วัดท่าขนุนจนสอบได้นักธรรมเอกแล้วท่านถึงออกธุดงค์ ปัจจุบันที่อยู่ของท่านถือว่าอยู่ในป่า

ก่อนหน้านี้ที่อาตมายังไม่ได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับท่าน รู้แต่ว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์คนหนึ่งของทองผาภูมิที่มีคนเคารพนับถือมาก ด้วยความที่ท่านเป็นคนเด็ดขาด ทำอะไรทำจริง ดูแลพื้นที่ป่าอยู่ ๖,๐๐๐ กว่าไร่ คราวนี้ก็มีพวกล่าสัตว์บ้าง พวกตัดไม้บ้าง เข้ามาบุกรุกพื้นที่ท่านบ่อย ท่านก็จัดการพวกนั้นเสียสะบักสะบอมเลย พวกนั้นทำอะไรด้วยอาวุธไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีทำไสยศาสตร์

ท่านบอกว่านั่งอยู่ดี ๆ ก็ปวดท้องมาก หมดแรงนอนแผ่ ท้องก็โตขึ้น ๆ ต่อหน้าต่อตาเลย ท่านก็ทำอะไรไม่ถูก พอดีแม่ชีดาวเคยมารับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน เอาน้ำมันมาเข้าพิธี แม่ชีดาวก็เลยเอาน้ำมันทาให้ ท้องก็ยุบไปต่อหน้าต่อตา ท่านจึงถามแม่ชีดาวว่าน้ำมันของใคร แม่ชีบอกว่าของหลวงพ่อเล็ก ก็เลยเป็นอันว่ารู้จักกันครั้งแรกโดยที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน

พออาตมาขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนปีแรกก็นิมนต์ท่านมาเป็นประธานงานทำบุญหลวงปู่สาย ถือว่าท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ พอปีต่อ ๆ มานิมนต์แล้วไม่ได้ตัว เพราะท่านไปจำพรรษาต่างประเทศ ปีละ ๑ ประเทศ ปีนี้ยังไม่แน่ว่าท่านจะไปไหน พูดง่าย ๆ ว่าออกพรรษาแล้วถึงกลับเมืองไทย

ที่พูดมาถึงตรงนี้คือว่า หลวงพ่อมณฑลตั้งแต่โดนไสยศาสตร์ครั้งนั้นเข้าไป ด้วยความที่รู้ว่าของพวกนี้อันตรายแบบไหน ท่านก็เลยพกวัตถุมงคลรอบตัวเลย ถ้าถามว่ารอบตัวมากแค่ไหน ก็ต้องบอกว่าน่าจะถึงร้อยองค์..! เวลาอาตมาเห็นคนอื่นพกวัตถุมงคลเยอะ ๆ อาตมาก็รู้สึกว่าหนัก ถึงได้บอกกับเต้ยว่ามีเยอะ ๆ ก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าตายก็ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นมาก อะไรที่เผาได้ก็เผาตัวเองไปเลย อะไรที่เผาไม่ได้ก็เอาไว้แจกในงานศพ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2012 เมื่อ 13:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 14-04-2012, 12:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เขาโทรมาบอกยกเลิกการอบรมครู แหม..ดีใจ เพราะเขามีคติกันว่า บุคคลที่อบรมยากที่สุด หนึ่ง..พระ สอง..ครู ยิ่ง "พระครู" นี่ยิ่งอบรมยากเข้าไปใหญ่ เป็นทั้งพระเป็นทั้งครู

ส่วนใหญ่ครูจะชินกับการสอนคนอื่น พอต้องไปเข้ารับการอบรมซึ่งตัวเองโดนสอนก็ไม่เคยชิน ส่วนพระนี่ใหญ่จนเคยตัว ไม่ค่อยจะฟังใครอยู่แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2012 เมื่อ 13:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 16-04-2012, 10:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "กรุงรัตนโกสินทร์อายุครบ ๑๕๐ ปี เมื่อปี ๒๔๗๕ เนื่องจากว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์มาอย่างลึกซึ้ง ตรวจดูดวงเมืองแล้ว ถ้าหากว่าเป็นดวงเมืองเดิมอยู่ จะมีอายุแค่ ๑๕๐ ปีเท่านั้น ก็เลยทรงทำการเปลี่ยนแปลงผูกดวงเมืองเสียใหม่ ปักเสาหลักเมืองใหม่

ดังนั้น..เราจะเห็นว่ามีเสาหลักเมือง ๒ ต้นเคียงกันอยู่ ก็แปลว่าทำให้อายุของราชวงศ์จักรียืนยาวต่อไปได้อีก แต่มีนักโหราศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า เนื่องจากดวงเมืองแบ่งเป็น ๒ เพราะฉะนั้น..จะมีการแตกแยกในบ้านเมืองเป็นปกติ

วันนี้เป็นวันสถาปนาราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนาราชวงศ์จักรี ในวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕ นับมาถึงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ ก็เป็นเวลา ๒๓๐ ปีถ้วน ใครกัดฟันทนอยู่อีก ๒๐ ปี ก็จะได้เห็นงานฉลองใหญ่ ๆ

เสาหลักเมืองหายาก เพราะว่าส่วนใหญ่จะใช้เสาไม้ราชพฤกษ์ ก็คือต้นคูณ ต้นคูณขนาดใหญ่พอจะกลึงเป็นเสาหลักเมืองได้นั้นหายากมาก เสาหลักเมืองนครศรีธรรมราช พ่อปู่ขุนพันธฯ เอาไม้ตะเคียนทองเลย สำหรับไม้ตะเคียนนั้นพอจะหาง่าย ต้นขนาดใหญ่มี แต่เชิญยาก เพราะส่วนใหญ่นางตะเคียนฤทธิ์มาก ไม่ค่อยจะฟังใคร

จริง ๆ น่าจะเอาเสาไม้สักทองไปเลยนะ เอาต้นไหนไม่ได้ก็เอาต้นที่น้ำปาด ต้นสักใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ไหน ๆ ก็ทำลายสถิติโลกแล้ว ตัดมากลึงเสาหลักเมืองไปเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2012 เมื่อ 10:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 16-04-2012, 10:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ก่อนหน้านี้ต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในประเทศพม่า เป็นเพราะความใหญ่ต้นสักต้นนั้นก็เลยโดนฟ้าผ่าตาย ต้นสักของไทยจึงกลายเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน แต่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เห็นอยู่นั่นไม่ใหญ่เท่าของสมัยก่อน ภาษิตจีนโบราณเขาบอกว่า "ยามเมื่อท้องทะเลไร้ปูปลา กุ้งฝอยก็หาญกล้าเป็นราชันย์" เพราะไม่มีใครอีกแล้ว จึงต้องเป็นคนตัวสูงที่สุดในหมู่คนแคระ...

ต้นสักใหญ่ ๆ โดนบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าของอังกฤษตัดเสียเกลี้ยงแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้นเล็ก ๆ ของสมัยก่อนก็เลยกลายเป็นต้นใหญ่แทน

ถ้าพวกเรามีโอกาสก็แวะไปดูต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ พอไปดูต้นสักใหญ่ที่สุดในโลกแล้วก็จะได้แวะดูเขื่อนสิริกิติ์ แวะบ่อเหล็กน้ำพี้ ไปครั้งหนึ่งเอาให้ครบไปเลย ต้นสักอยู่อำเภอน้ำปาด บ่อเหล็กน้ำพี้อยู่อำเภอทองแสนขัน

อุตระ แปลว่า ทิศเหนือ ภาคเหนือ ด้านเหนือ ดิตถะ แปลว่าท่าเรือ แสดงว่าสมัยก่อนเขามีท่าเรืออยู่ทางด้านนั้น เพื่อนอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าพูด ก็เลยเป็นพระครูวรดิตถานุยุต คำว่า วรดิตถะ แปลว่า ท่าเรืออันประเสริฐ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2012 เมื่อ 14:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 16-04-2012, 11:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "พระที่นั่งอภิเษกดุสิต เก็บงานฝีมือระดับสุดยอดของศิลปาชีพเอาไว้ ลองเข้าไปดูได้ จะได้ภูมิใจว่าคนไทยเรามีความประณีตละเอียดอ่อนขนาดไหน

ในพระที่นั่งวิมานเมฆ เก็บเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลกเอาไว้ด้วย เขาทำเป็นคทาถวายในหลวง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นตอนฉลองกาญจนาภิเษก อาตมาเข้าไปแล้วได้แต่ชะโงกดูไกล ๆ มีคนนั่งเฝ้าอยู่ ๒ ข้าง

อาตมาเดินเข้าพระที่นั่งวิมานเมฆนี่ไม่มีความสุขเลย ต้องคอยตะแคงข้างไป เพราะเขาปูพรมแดงแทบทุกห้อง เป็นลาดพระบาท พอเป็นลาดพระบาทแล้วเดินบนลาดพระบาทไม่ได้ ต้องเขย่งข้างไป คนอื่นเขาก็ย่ำกันโครม ๆ

พระที่นั่งวิมานเมฆเป็นพระที่นั่งไม้สักทองใหญ่ที่สุดในโลก ตอนสร้างก็ไม่ได้คิดจะให้ใหญ่ที่สุดในโลกหรอก เอาแค่พออยู่สบาย พอหาไม้สักทองไม่ได้ในปัจจุบัน จึงกลายเป็นใหญ่ที่สุดในโลก เพราะไม่มีใครสร้างแข่งด้วย"

ถาม : สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือคะ ?
ตอบ : สมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อรัชกาลที่ ๖ เพราะช่วงนั้นพระองค์มีโอรสธิดามาก ถึงเวลาก็ต้องสร้างวังตรงนั้นหลังหนึ่ง ตรงนี้หลังหนึ่ง พอสมัยรัชกาลที่ ๖ ต้องบอกว่าเกิดดอกออกผล ก็คือบรรดาพระญาติพระวงศ์ที่ไปเรียนต่างประเทศ จบกลับมารับราชการ ทรงกรมกันเป็นแถว เพื่อให้สมพระเกียรติก็ต้องมีวังให้

ถาม : สมัยก่อนประทับในพระบรมมหาราชวังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ประทับในพระบรมมหาราชวังก็มีอยู่แต่ว่าไม่มาก ส่วนใหญ่จะใช้พระบรมมหาราชวังตอนงานพระราชพิธีเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2012 เมื่อ 14:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 16-04-2012, 12:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่ผ่านมาไปปฏิบัติธรรมของมหาวิทยาลัยรอบสุดท้าย ๑๕ วัน สังเกตได้อย่างหนึ่งว่า คนอื่นมาปฏิบัติแล้วทุกข์ทรมานมากเพราะใจไม่ยอมรับ ส่วนอาตมารู้ว่าต้องทำตามกติกาก็ทำไป แค่นั้นก็จบแล้ว คนอื่นก็ไปนั่งกลุ้มใจ เครียด ไม่เป็นอันเดิน ไม่เป็นอันนั่ง ส่วนอาตมาทำเต็มที่เลย ชาร์จแบ็ตฯ จนกระทั่งหม้อแบ็ตฯ เกือบจะไหม้ วันดีคืนดีก็ไปเดินเหยียบผึ้งหลวงเข้า ผึ้งมาเล่นไฟแล้วตกอยู่บนพื้น พอเหยียบก็โดนต่อยที่ง่ามนิ้วเท้าพอดี ตรงที่เขาเรียกประตูลม จนเท้าบวมอืด

ที่ขำที่สุดก็คือ บวมได้แค่ข้อเท้า ขึ้นสูงกว่านี้ไม่ได้ คนอื่นเห็นก็ขำกันว่าทำไมบวมแปลก ๆ สรุปว่ายันต์เกราะเพชรยังอยู่ เจ็บก็ไม่เจ็บ ได้แต่คันอย่างเดียว เดินไม่ถนัดอยู่ ๒ วัน จึงขออนุญาตพระวิปัสสนาจารย์นั่งภาวนาแทน คราวนี้สบาย เพราะนั่งยาวไปเลย ตั้งแต่ตีสี่ครึ่งจนถึงเจ็ดโมงเช้า

พอฉันเช้าเสร็จ ได้พักผ่อนหน่อยแล้วก็ไปปฏิบัติอีกตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งถึง ๑๐ โมงครึ่ง ที่เขาให้เวลาถึงแค่ ๑๐ โมงครึ่งเพราะว่าตอนเดินไปหอฉัน นักปฏิบัติเขาให้เดินช้า ๆ เดินครึ่งชั่วโมงยังไปไม่ถึงเลย หลังจากฉันเพลพักผ่อนแล้ว เวลาบ่ายโมงยันสี่โมงเย็นก็มาปฏิบัติอีก จากนั้นก็มีเวลาสรงน้ำซักผ้า แล้วก็มาปฏิบัติช่วงหกโมงครึ่งถึงสี่ทุ่มทุกวัน

ระยะหลังพระนิสิตต่อรองขอเวลาทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์จึงให้เลิกสามทุ่ม ตอนแรกผู้อำนวยการขอให้พระนิสิตเลิกทุ่มครึ่ง พระวิปัสสนาจารย์ไม่ยอม ลากไปจนถึงสามทุ่ม ให้เอาเวลาที่เหลือไปถ่างตาทำวิทยานิพนธ์กันเอง

มีแต่พระครูธรรมธรเล็กนั่นแหละ (ในบัญชีเขายังไม่เปลี่ยนชื่อให้) เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก อยู่แต่ในหอกรรมฐาน เพราะทำวิทยานิพนธ์เสร็จนานแล้ว ได้แต่นั่งมองคนอื่นเขาเดือดร้อนกันไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2012 เมื่อ 14:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 16-04-2012, 13:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนตอนเรียนปริญญาตรี เวลาอาตมาทำรายงานจะเขียนบรรทัดท้าย ๆ ไว้ว่า "ผู้ใดเห็นประโยชน์ของรายงานเล่มนี้ สามารถคัดลอกเอาไปใช้ได้ โดยผู้จัดทำไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์แม้แต่ประการใด" ไป ๆ มา ๆ ท่านอาจารย์เอาผลงานของอาตมาไปขอตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ได้ แล้วก็มาชวนไปเลี้ยง ไม่ได้เลี้ยงอาตมาคนเดียว เลี้ยงทั้งห้องเลย

อาตมาช่วยท่านอาจารย์แก้ตำราเรียนไปเล่มหนึ่ง อาจารย์ท่านจะสั่งพิมพ์ แต่ท่านไม่แน่ใจจึงส่งเนื้อหามาให้อาตมาช่วยตรวจให้หน่อย ตรวจไปตรวจมาทนอ่านไปได้ครึ่งบท บอกกับท่านว่า “ท่านอาจารย์ครับ ขออนุญาตล้มข้อมูล แล้วทำใหม่ได้หรือเปล่าครับ ?” ข้อมูลเดิมของท่านอาจารย์นั่นแหละ แต่ขอล้มรูปแบบแล้วทำใหม่ เพราะจัดเรียงแบบอาตมาจะอ่านได้ง่ายกว่า สรุปแล้วเนื้อหาของท่านอาจารย์บทหนึ่งอาตมาย่อเหลือ ๗ บรรทัด เล่นเอาท่านอาจารย์เครียดไปเลย

พอย่อเหลือ ๗ บรรทัดพิมพ์ไปให้ท่านดู บอกว่า “ท่านอาจารย์อ่าน ๗ บรรทัดนี้เท่ากับอ่านเนื้อหาของท่านอาจารย์ทั้งบทไหมครับ ?” อาตมามองว่าไม่จำเป็นต้องน้ำท่วมทุ่งวนไปวนมาเยอะขนาดนั้น คนเรียนจะรำคาญเปล่า ๆ เนื้อหาทั้งหมดเท่ากับ ๗ บรรทัดแค่นั้นเอง

ที่บังอาจที่สุดก็คือ อาตมาไปแก้เนื้อหาของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เอาเนื้อหาของท่านมา ๑๔ หน้า เปลี่ยนแปลงเหลือแค่ ๗ หน้า หายไปครึ่งหนึ่ง..! ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ถือว่าเป็นสุดยอดของ มจร. แล้ว ยังโดนอาตมาแก้เลย เพราะว่าท่านเจ้าคุณฯ มีความรู้มาก เวลาท่านเขียนอธิบายก็จะแลบไปทางนั้นแลบไปทางนี้ กว่าจะเลี้ยวกลับมา บางทีคนลืมไปแล้วว่าหัวข้อเดิมคืออะไร เพราะฉะนั้น..ส่วนที่แลบไปก็ไม่จำเป็นต้องมี อาตมาจึงตัดทิ้งหมด เอาเฉพาะเนื้อมาแล้วเกลาให้เข้ากัน

ส่วนท่านอาจารย์ ดร.สมชัย ศรีนอก ทำตำราพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ สรุปแล้วว่าตำราของท่านอาจารย์อาตมาเป็นคนเขียนเอง เพราะท่านอาจารย์เอารายงานของอาตมาไปทั้งเล่มเลย แล้วท่านให้เครดิตตรงคำนำไว้นิดหนึ่งว่า "ได้รับข้อมูลจากพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ นิสิตปริญญาตรี ห้องเรียนวัดไร่ขิง" แต่ขายแล้วเงินเข้ากระเป๋าของท่านอาจารย์เอง..!"

ถาม : ติดหนี้สงฆ์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ติด..เพราะว่าอาตมาบอกแล้วว่าไม่สงวนลิขสิทธิ์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2012 เมื่อ 14:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 16-04-2012, 13:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านอาจารย์ ดร.สมชัย ศรีนอก ท่านเป็นนักกลอน นามปากกา ช.ศรีนอก ได้ทุนไปเรียนด็อกเตอร์แต่ไม่จบ ทุนหมดต้องกลับมาเมืองไทย ต้องควักกระเป๋าแม่ยายไปเรียนด็อกเตอร์ที่ มจร.ให้จบ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถจะใช้วุฒิด็อกเตอร์ได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศไม่ได้แจ้งจบการศึกษากลับมา เป็นอะไรที่อนาถมากเลย

พอท่านอาจารย์ ดร.สมชัยเรียนปริญญาเอกที่ มจร. ต้องไปเข้ากรรมฐาน ๔๕ วัน กลับมาท่านบอกว่า “ผมเกือบจะเสียคนแล้ว” อาตมาถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่า “ไปบ้ากับคำถามเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่ง คิดฟุ้งซ่านไปเป็นอาทิตย์ ๆ เลย” ท่านอาจารย์เล่าว่าพอถึงเวลาปฏิบัติ เขาให้แยกปฏิบัติกันคนละห้อง ตอนเดินออกไปกินอาหาร เพื่อนนักศึกษาผู้หญิงร่วมชั้นเรียนเดียวกัน เขามากระซิบว่า “จำได้ไหม..ชาติก่อนเราเป็นอะไรกัน ?”

แค่นั้นแหละ..ท่านฟุ้งไปเป็นอาทิตย์เลย อาตมาจึงบอกกับท่านไปว่า “ท่านอาจารย์ตอบเขาไม่ทัน ถ้าเป็นผม..ผมจะบอกว่าชาติก่อนแกเป็นหนี้ฉัน ยังไม่ได้จ่ายคืน แล้วยอดเท่าไรเราก็แจ้งไปเลย” นี่เป็นเรื่องจริงนะ ถ้าอยู่ ๆ พวกเราโดนอย่างนั้นก็ต้องฟุ้งเหมือนกัน ปฏิบัติไปไม่คิดว่าอยู่ ๆ เขาจะมาถาม เล่นเอาฟุ้งไปเป็นอาทิตย์เลย ดีเหมือนกัน เวลา ๔๕ วันมีอะไรให้คิดเยอะดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2012 เมื่อ 14:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 16-04-2012, 13:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านแบงก์ เป็นพระใหม่ที่วัดท่าขนุน จบปริญญาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มา ไฟแรงมาก มาปรึกษาว่า “ท่านอาจารย์ครับ..หนังสือวัดเรา ต้องทำเป็นอีบุ๊กอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาเอาไปฝากที่ตู้หนังสือ เวลาใครจะมาดูก็โหลดไปเลย ไม่ต้องไปแจกเขาให้เสียเวลา” อาตมาบอกว่า “เออ..ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ว่ะ เอาไว้เดี๋ยวหายเหนื่อยก่อน” ท่านก็รอจังหวะ

พอเห็นว่าอาตมาหายเหนื่อยก็วิ่งมาอีกแล้ว “ท่านอาจารย์ครับ ผมเอาหนังสือที่ผมทำมาเสนอครับ” ท่านก็ทำให้ดูอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาก็เปิดในไอแพดได้ทีละหน้า ๆ ให้ดู ว่าต้องไปฝากตู้หนังสือที่นี่ อาตมาจึงถามว่า “ดี..ตอนนี้ทำวัตรเช้าเย็นท่องได้ครบหรือยัง ?” “ยังครับ” “ไปท่องซะ..!”

อีกสองสามวันก็ค่อยมา “ท่านอาจารย์ครับ..ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมฟุ้งซ่านขนาดนั้น ถ้าท่านอาจารย์ไม่ถามว่าทำวัตรเช้าเย็นได้หรือยัง ผมยังฟุ้งไปอีกนานเลย” เห็นหรือยังว่าหลงออกนอกงานตัวเองไปไกลแค่ไหน ? หน้าที่ของพระใหม่ การสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ไปฟุ้งซ่านจะทำหนังสือให้กับทางวัด

นั่นต้องบอกว่าท่านเป็นคนรู้ตัวเร็ว โดนแค่นั้นท่านคิดทัน ถ้าเป็นคนอื่นจะคิดทันไหม ? ไปเจอประเภท “ยังครับ..ยังท่องไม่ได้ ผมจะทำหนังสือให้กับท่านอาจารย์ก่อน” ก็บรรลัยสิ..ไม่ดูตัวเอง พระพุทธเจ้าถึงได้กำหนดไว้ว่า พระใหม่ถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษายังต้องถือนิสัย คือรับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลงไปไกล สร้างบ้านแปลงเมืองไปเลย

หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชวรเวที วัดราชคฤห์ ท่านนึกถึงขนาดเจาะภูเขาทำกุฏิเสร็จสรรพเลย เวลาทำกรรมฐานนั่งนึกว่าจะปรับถ้ำสักหน่อยหนึ่ง ตรงนี้ทำเป็นห้องโถงปฏิบัติธรรม ตรงนั้นทำเป็นห้องพระ ตรงนั้นทำเป็นหอฉัน นึกเจาะภูเขาเป็นลูก ๆ เลย ท่านบอกว่าคิดได้เป็นคืน ๆ ดังนั้น..เวลาพวกเราโดนหลอกให้คิดนี่ต้องรู้เท่าทัน ถ้าไม่รู้ทันเดี๋ยวก็ได้สร้างวิมานกลางอากาศเป็นหลัง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2012 เมื่อ 15:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 17-04-2012, 12:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมฝัน แล้วก็คิดว่าน่าเป็นจะนิมิต แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงหรือเปล่า ? ปกติผมจะฟังธรรมะก่อนนอนเป็นครั้งคราว แต่คืนนั้นจำได้ว่าเวลาใกล้รุ่ง ฝันว่าได้ไปที่ที่หนึ่งที่กว้างใหญ่มาก มีสภาพคล้ายถ้ำ ในใจก็คิดกลัวมากว่าในนั้นคืออะไร ? จิตคิดว่าอาจจะเป็นนรกหรืออาจจะเป็นดินแดนที่เราไม่เคยไป พอมองไปทางซ้ายเจอท่านหนึ่งเป็นผู้ชาย ผมก็ถามท่านว่าผมต้องมาที่นี่หรือเปล่าครับ ? ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวตรวจดูให้ แล้วท่านก็กลายร่างคล้ายยมทูต แล้วก็เปิดสมุด ถามว่าชื่ออะไร ? ผมบอกชื่อท่านไปครับ ท่านก็พูดออกมาว่า ๑๑ เดือน สักพักหนึ่งผมก็ค่อย ๆ ตื่นจากที่นอนทีละนิด ๆ ครับ ไม่ทราบว่าตรงนั้น...?
ตอบ : สรุปว่าฝัน ?

ถาม : ครับ
ตอบ : แล้วคุณจะไปเอาอะไรกับฝันเล่า ? ถ้าคิดแบบไม่ประมาทมีเวลา ๑๑ เดือนก็ทำความดีให้มากที่สุดก็เท่านั้นเอง ฝันดีเอาไว้เป็นกำลังใจของตัวเอง ฝันไม่ดีก็ลืมเสีย อย่าเก็บมาวิตก ฝันว่าจะตายก็เร่งทำความดีให้มากที่สุด หลุดพ้นไปพระนิพพานได้เลยยิ่งดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2012 เมื่อ 18:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 17-04-2012, 13:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เจ็บหมอนรองกระดูก เป็นนานแล้วยังไม่หายค่ะ เจ้ากรรมนายเวรต้องการอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ :ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้นจ้ะ ไปหาหมอที่เป็นหมอนวดจัดกระดูก อย่าไปหาหมอสมัยใหม่ ไปหาหมอสมัยใหม่เดี๋ยวโดนผ่า หมอนวดจัดกระดูกดี ๆ มีอยู่หลายที่ ราคาไม่กี่สตางค์ จับ ๆ ดัน ๆ กด ๆ เหยียบ ๆ เดี๋ยวก็หาย

สังเกตไหมว่าสมัยนี้เขานิยมโรคกรดไหลย้อน อะไร ๆ ก็วินิจฉัยว่ากรดไหลย้อนไว้ก่อน เป็นโรคอะไรไม่รู้แต่บอกกรดไหลย้อนไว้ก่อน สมัยก่อนก็นิยมโรคอาหารเป็นพิษ อะไร ๆ ก็วินิจฉัยว่าอาหารเป็นพิษ สรุปแล้วคือป่วยตามแฟชั่น

มีโยมอยู่คนหนึ่งเป็นมะเร็งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น ไปให้หมอเขาตรวจแล้ว ผลออกมาค่าตัวเลขสูงมาก หมอรับประกันว่าต้องมีเชื้อมะเร็งแน่นอน ถ้าเป็นเนื้อก็คือเนื้อร้ายเลย เขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเป็นเดือน ทางครอบครัวพาเขาไปตรวจใหม่อีกทีเพื่อความแน่ใจ ไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งผลออกมาเป็นลบ เขาก็งง ๆ ไปตรวจอีกโรงพยาบาลหนึ่งผลออกมาบวกอีก บวกเยอะด้วย

ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คนติดต่อเขาเก่ง เขาไล่ถามว่าห้องแล็บนั้นใช้น้ำยาอะไร ห้องแล็บนี้ใช้น้ำยาอะไร ไล่ไปไล่มาผลที่เป็นบวกเพราะเขาใช้น้ำยาที่ไวต่อผลมากเป็นพิเศษ คนไม่เป็นก็รายงานว่าเป็น ก็เลยเป็นโรคที่หมอทำ ไม่ได้เป็นโรคที่เกิดจากตัวเอง ถ้าเจ้าหน้าที่เขาไม่กระตือรือร้นสอบหาสาเหตุให้คงเครียดตายเลย อยู่ ๆ ตัวเองเป็นมะเร็งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้น..ไปหาหมอเก่า ๆ อย่าไปหาหมอสมัยใหม่

ปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บบางโรคเกิดจากแรงโฆษณา ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้เขานิยมพวกอาหารเสริมแคลเซียมสูง เราก็กินกันกระจายเลย ปรากฏว่ากระดูกงอกทับประสาท เพราะแคลเซียมเยอะก็ต้องหาที่ไป ดังนั้นถ้าหากว่าเรากินอาหารครบหมู่ มีการออกกำลังกายบ้าง โดนแดดบ้าง เรื่องกระดูกผุกระดูกพังอะไรคงไม่เป็นกันง่ายนักหรอก ปู่ย่าตายายของเราทำงานเช้ายันค่ำไม่เห็นเป็นอะไรเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2012 เมื่อ 18:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 17-04-2012, 14:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การมีครอบครัวส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า โกวเล้งเขาเปรียบไว้ว่า มีคนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดไม้ข้างป้อมศิลา คนข้างในป้อมมองออกมา อิจฉาว่าคนข้างนอกอยู่บนยอดไม้เย็นสบายเหลือเกิน ส่วนคนที่ยอดไม้มองเข้าไปข้างในป้อมก็อิจฉาว่า เขาอยู่ในป้อมปลอดภัยดีเหลือเกิน ต่างคนก็ต่างอยากในสิ่งที่ตัวเองไม่มี คนข้างในก็อยากออกมาปีนยอดไม้ คนข้างนอกก็อยากจะมุดเข้าไปในป้อม

คราวนี้เรื่องของชีวิตคู่ โกวเล้งเขาเปรียบว่าเหมือนกับเม่น ๒ ตัวในฤดูหนาว ถึงเวลากลัวหนาวเบียดเข้าหากัน ขนก็แทงกัน ถ้าไม่อยากให้ขนแทงกัน ห่างออกไปก็หนาวอีก สรุปแล้วว่าน่าเวทนามาก เขาใช้คำว่า "ถ้าท่านมิต้องการความเจ็บปวด ก็ต้องทนกับความหนาวเย็น ถ้าท่านจะหลีกหนีความหนาวเย็น ก็ต้องยอมทนต่อความเจ็บปวด" สรุปแล้วเละทั้งคู่..!

ตอนที่ระบายความในใจ เขาบอกว่า "อยู่คนเดียวเปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก" พอมีคนถามกลับไปว่าตอนนี้กำลังสนุกอยู่ใช่ไหม ? เขาดันไม่เข้าใจ เพราะอยู่สองครองทุกข์ แสนสนุกแต่ไม่สบาย พอโดนคนเขาถามกลับดันไม่เข้าใจเสียนี่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2012 เมื่อ 18:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 17-04-2012, 14:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไปเห็นคนเขาเอาอาหารหรู เช่น กุ้งมังกร มาถวายพระ แต่พระฉันไม่ได้อาจเพราะไม่คุ้นเคย อานิสงส์เขาจะได้เป็นอาหารหรูแต่กินไม่ได้ เช่นกันหรือเปล่า?
ตอบ : ไม่ใช่ เขาจะได้ของดี แต่คงจะเก็บเอาไว้อวดคนมากกว่า อาจจะต้องไปเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะกุ้งมังกร ถ้าคนกินไม่เป็น มีหวังต้องใช้ทั้งมีดทั้งค้อน เพราะเนื้อกุ้งเหนียวอย่าบอกใคร

เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง อาตมาคิดว่าถ้าเกิดสึกออกไปหาอะไรที่สบาย ๆ ทำ แบบไม่ต้องให้ใครมาเป็นนายเรา เคยคิดว่าจะไปจับกุ้งมังกรมาขายภัตตาคารอาหารทะเล จับแค่วันละ ๒ ตัวก็พอแล้ว ก็เรารู้นี่ว่ากุ้งอยู่ตรงไหนบ้าง

สมัยก่อน ตอนที่นิตยสาร อสท. ออกได้ไม่นาน มีภาพคนงมกุ้งมังกร แล้วก็มีคำบรรยายว่า

"..สองกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก
สุขกับโศกยังไม่สิ้นอยู่สับสน
หนึ่งเป็นกุ้งเก้งก้างกลางสายชล
หนึ่งเป็นคนคอยล่ากุ้งการัง.."

เขาทำหนังสือ อสท. เป็นหนังสือกฎแห่งกรรมไปเลย แต่ว่าหนังสือยุคนั้นเขาบรรยายเป็นกลอนหมด อย่างเช่นภาพปกเป็นคนปาดตาลเพชรบุรี

"..พะองโยนก้าวตีนปีนทะยาน
กระบอกตาลแขวนก้นคนละพวง.."

หนังสือสมัยเก่าเทคโนโลยีการพิมพ์ยังไม่ค่อยดี จำได้ว่าพอพิมพ์ ๔ สีได้ครั้งแรก โอ้โห..ตีโฆษณากันสนั่นหวั่นไหว แต่ความละเมียดละไมเขามีเยอะกว่ามาก อย่างหนังสือนิตยสารสมัยก่อน หน้าปกใช้รูปวาดแข่งกัน คุณเปี๊ยก โปสเตอร์รวยอื้อไปเลย

อีกรายคือคุณพรเทพ วาดรูปพวกนิยายกำลังภายใน เท่ากับเขาได้อ่านนิยายฟรีเลย อย่างเล่มหนึ่งคุณต้องการกี่หน้า เอาเท่านั้นหน้าไปให้เขาอ่าน เขาอ่านเสร็จแล้วเขาก็จะตัดสินใจว่าจะวาดรูปตอนไหนดีในเรื่องช่วงนั้น เพราะฉะนั้น..เนื้อหารูปปกกับเนื้อหาข้างในจะตรงกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-04-2012 เมื่อ 08:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 17-04-2012, 15:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "คนจีนเขามีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ก็คือ เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวได้รับการคัดตัวจากแม่สื่อให้แต่งงานกัน ด้วยความรอบคอบ ต่างฝ่ายก็ต่างขอพบอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วแม่สื่อก็นัดวันเวลาให้ เจ้าบ่าวขี่ม้ามา เจ้าสาวยืนอยู่หน้าประตูถือดอกไม้ดมอยู่ ต่างคนต่างเห็นก็ตกลงแต่งงานกันเดี๋ยวนั้นเลย

ปรากฏว่าแต่งงานกันไป ฝ่ายเจ้าสาวจมูกแหว่ง ที่ถือดอกไม้ไว้ก็เพื่อบังจมูก ส่วนเจ้าบ่าวขาเป๋ ที่ขี่ม้ามาเพราะไม่กล้าเดินเอง สรุปได้ว่า..อะไรก็ตามที่ฉาบฉวยผิวเผินมักจะไม่ดี สมัยนี้ยังมีไหม ? ไม่มีแล้วนะ สมัยนี้เขาตกลงกันเองทั้งนั้น พ่อสื่อแม่สื่อไม่เกี่ยว..ไปห่าง ๆ เลย

แต่สำหรับพระ พระพุทธเจ้าทรงห้ามเด็ดขาดเลยนะ ภิกษุชักสื่อชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องอาบัติสังฆาทิเสสขาดความเป็นพระไปเลย จนกว่าจะไปอยู่ปริวาสชดใช้คืนครบถ้วนแล้ว ให้สงฆ์ ๒๐ รูปสวดคืนความเป็นพระให้ ถึงกลับเป็นพระได้อีก ต้นเหตุมาจากพระอุทายี ท่านไปบ้านนั้นก็ชมว่าลูกสาวบ้านนี้สวย ไปบ้านนี้ก็ชมว่าลูกชายบ้านนี้หล่อ ท้ายสุดเขาก็ขอให้ช่วยเป็นพ่อสื่อให้หน่อย ปรากฏว่าพอแต่งงานไปแล้วไม่ดีจริงอย่างที่ว่า เขาก็ไปด่าพระสิ ท่านก็เลยกลายเป็นต้นบัญญัติศีลข้อนี้

การชักสื่อน่ากลัวตรงพระหมอดู พระที่เป็นหมอดูแล้วเขามาถามว่าดวงสมพงศ์กันไหม ? ถ้าเราไปพูดว่าดวงสมพงศ์กันแล้วเขาไปแต่งงานกัน โดนอาบัติสังฆาทิเสสเลย เพราะถือว่าไปชักสื่อ แต่ถ้าอย่างหลวงพ่อพระครูสุมนสุนทรกิจ วัดทะเลบก พวกเราฟังแล้วหัวเราะกันแทบตาย โยมเขาก็พาซื่อ เอาวันเดือนปีเกิดของทั้งผู้ชายและผู้หญิงมาให้ แล้วก็ถามว่า “หลวงพ่อ..ไอ้คู่นี้มันเข้ากันได้ไหม ?” หลวงพ่อบอกว่า “โอ๊ย..มันเข้ากันได้ทุกคู่แหละ..!” จบเลย แสดงว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2012 เมื่อ 18:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 17-04-2012, 15:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แต่ถ้าเขามาขอฤกษ์หมั้น ฤกษ์แต่งจากพระ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแปลว่าเขาตกลงกันแล้ว ให้ฤกษ์เขาไปได้ จะขอฤกษ์หมั้นฤกษ์แต่งอะไรก็ให้เขาไปเถอะ แต่ถ้าหากว่าเราไปบอกว่าดวงสมพงศ์กัน คู่นี้แต่งแล้วจะดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แล้วเขาไปแต่งกันนี่ซวยจริง ๆ

ถาม : ถ้าไปอยู่ปริวาส อยู่กี่วัน?
ตอบ : ถ้าหากว่าสารภาพในวันนั้นเลยก็โดน ๖ วัน ๖ คืน ถ้าปิดบังไว้เท่าไรก็ใช้เท่านั้นบวก ๖ วัน ๖ คืน ถ้าจำไม่ได้ท่านให้นับตั้งแต่วันที่บวชจนถึงอายุปัจจุบัน ถ้าเป็นอาตมาก็หวิด ๓๐ ปี อยู่ปริวาสกันจนอ้วกไปเลย..!

ถาม : ถ้าสมมติไปอยู่ปริวาส ๕๐ วัน ต้องอยู่ติดต่อกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ติดต่อกันจ้ะ ถ้าหากว่าจะขาดเพราะมีธุระสำคัญ เขาใช้คำว่าตัดรัตติเฉท เสร็จแล้วก็มานับต่อได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2012 เมื่อ 18:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 17-04-2012, 16:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าทำบุญบ้านวิริยบารมีวันที่ ๓๑ มีนาคมนะจ๊ะ ถ้าดูไม่ผิดวันที่ ๓๑ มีนาคม น่าจะตรงกับวันอาทิตย์

ปีนี้ญาติโยมมามากกว่าที่คิด ทำให้พระปิดตาหมดภายใน ๓๐ นาที อีกครึ่งหนึ่งที่เข้าแถวอยู่ไม่ได้อะไรเลย เรื่องของวัตถุมงคล มีหลายสำนักซึ่งส่วนใหญ่เป็นสำนักเรียนด้วย กล่าวตำหนิว่าเป็นการทำให้ญาติโยมยึดติด ถ้าว่ากันตามแบบของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านบอกว่า "ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล"

แต่ว่าความจริงแล้วเป็นเพราะโบราณาจารย์ท่านมีความเข้าใจสภาพของบุคคล หรือสภาพของพุทธศาสนิกชนมากกว่าคนปัจจุบัน เพราะถ้าใครศึกษามาเกี่ยวกับภาพสถิติของพุทธศาสนิกชน จะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนกับพีรามิด หรือว่า ๓ เหลี่ยม ส่วนฐานที่กว้างที่สุด ก็คือบุคคลที่ยึดติดในพิธีกรรมและสิ่งมงคลต่าง ๆ ส่วนตรงกลางคือบุคคลที่พยายามจะศึกษาให้เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสั่งสอนอะไรบ้าง ส่วนยอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

เมื่อเป็นดังนั้น โบราณาจารย์ท่านจำเป็นที่จะต้องหาสิ่งที่มายึดโยงกำลังใจของพุทธศาสนิกชนให้อยู่กับพระพุทธศาสนาจนได้ ก็คือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ขึ้นมา การสร้างวัตถุมงคลขึ้นมานั้นมีประโยชน์หลายอย่าง

ประการแรก คือตัวผู้สร้างเองจะต้องทรงความดีในระดับหนึ่ง สมัยก่อนไม่ได้มีเครื่องมือเครื่องไม้ทันสมัยเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ แต่ละขั้นตอนของการสร้างวัตถุมงคลก็คือ เขียนด้วยมือ ปั้นด้วยมือ เป็นต้น โดยเฉพาะถ้าหากว่าศึกษาการสร้างวัตถุมงคลด้วยการลบผงวิเศษต่าง ๆ เช่น ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ก็ต้องเข้าสมาบัติ เขียนอักขระ เขียนยันต์ ลบยันต์ เพื่อให้เกิดผง จนกว่าจะได้จำนวนตามที่ต้องการ เท่ากับบังคับว่าเกจิอาจารย์ผู้สร้างนั้น จำเป็นที่จะต้องทรงความดีให้ได้ถึงระดับหนึ่ง จึงจะสามารถสร้างวัตถุมงคลให้เกิดอานุภาพ เกิดความขลังขึ้นมาได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2012 เมื่อ 18:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 17-04-2012, 16:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ประการที่ ๒ ก็คือ พุทธศาสนิกชนทั่วไปที่กำลังใจยังยึดเกาะสิ่งต่าง ๆ อยู่ ก็จะได้มีสิ่งที่ยึดเกาะอยู่ในกรอบ อยู่ในขอบเขตที่ถูกต้องและสมควร อย่างไรเสียก็ไม่หลุดไปจากกรอบของพระพุทธศาสนา

ประการที่ ๓ การสร้างวัตถุมงคลเป็นการสืบพระพุทธศาสนาส่วนหนึ่ง ก็คือมีครูบาอาจารย์หลายต่อหลายรูป ที่มีความสามารถ มีคนให้ความเคารพศรัทธา สนับสนุนในการสร้างวัตถุมงคล เพื่อบรรจุกรุไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ก็ต้องสร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์ เป็นต้น

ประการที่ ๔ ก็คือวัตถุมงคลที่มีอานุภาพอย่างแท้จริงนั้น สามารถช่วยตัดเคราะห์กรรมให้แก่ผู้ที่นำไปใช้ โดยเฉพาะว่าช่วยในการป้องกันรักษาประเทศชาติของเรา สมัยก่อนทหารเวลาออกรบต้องมีวัตถุมงคลที่มั่นใจว่าคุ้มครองรักษาตัวเองได้ ส่วนใหญ่ก็เน้นไปทางแคล้วคลาด หรือคงกระพันชาตรี เป็นต้น บรรพบุรุษของเราก็อาศัยวัตถุมงคลทั้งหลายเหล่านี้ในการสู้รบกับข้าศึกศัตรู จนกระทั่งสามารถปกป้องรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ได้ หรือว่าช่วงชิงแผ่นดินไทยของเรากลับคืนมา เป็นที่ตั้งของพุทธศาสนา เป็นเรือนอยู่เรือนตายของพวกเราทั้งหลายได้

ฉะนั้น..ในเรื่องของวัตถุมงคลจะว่าไปแล้วมีคุณอนันต์ แต่ว่าปัจจุบันนี้จะมีการทำในลักษณะของเชิงพาณิชย์มากเป็นพิเศษ จะมีการกำหนดราคาเพื่อเอากำไร การสร้างวัตถุมงคลส่วนใหญ่แล้ววัดไม่ได้สร้างเอง แต่ว่ามีนายหน้าที่เล็งเห็นว่า ครูบาอาจารย์วัดไหนมีชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมาก ก็จะขออนุญาตไปสร้างวัตถุมงคลจำนวนเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็จะแบ่งส่วนหนึ่งถวายให้แก่ทางวัด เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายทำนุบำรุงเสนาสนะ บางเจ้าที่ตรงไปตรงมาก็มี บางเจ้าที่หลอกลวงกันก็มาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2012 เมื่อ 18:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 18-04-2012, 10:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลวงปู่พระศีลมงคล (หลวงปู่เจ้าคุณทอง) วัดสำเภาเชย อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ความจริงสนิทสนมคุ้นเคยกันกับอาตมามาก ลงปักษ์ใต้แต่ละครั้งถ้าผ่านปัตตานี อาตมาต้องแวะไปกราบท่านก่อน ปรากฏว่าวันนั้นอาตมาโทรศัพท์เข้าไป ลูกศิษย์บอกว่า "ท่านอาจารย์อย่าเพิ่งมาเลยครับ พ่อหลวงกำลังเครียด"

อาตมาถามว่าเครียดเรื่องอะไร ? เขาบอกว่ามีคนมาขออนุญาตสร้างวัตถุมงคล แล้วจะถวายพ่อหลวงเพื่อสร้างเจดีย์ ๒๐ ล้าน พ่อหลวงก็อนุญาตให้ไป ปรากฏว่าเขาก็ไปออกวัตถุมงคลแล้วเปิดรับจอง ทั้งทางศูนย์พระเครื่องและสื่อมวลชนต่าง ๆ ได้เงินไปเท่าไรไม่รู้ แต่เขาไปแล้วไปลับไม่กลับมา

อาตมาถามว่า "ไอ้คนที่มาขอสร้างวัตถุมงคลเป็นใคร ? หลวงพ่อท่านถึงได้เชื่อถือและยอมอนุญาตให้เขาสร้างได้ ?" ลูกศิษย์ก็บอกว่า "อย่าไปเอ่ยถึงเลยครับ เขาเป็นคุณนายของท่านแม่ทัพภาค" แม่ทัพภาคก็แปลว่าคุมทั้งภาค เขามาจึงน่าเชื่อถือ แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วก็ทนโลกธรรมไม่ได้

แรก ๆ ทุกคนที่เข้าวัดเข้าวาก็จะเหมือนกัน คือตั้งใจทำความดี แต่พอลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่ว่ากำลังของตัวเองนั้นสามารถรับได้เท่าไร ถ้าหากว่าภูมิต้านทานน้อยก็จะเป็นอย่างที่ว่านี่แหละ ตั้งใจจะทำความดีแท้ ๆ ท้ายสุดก็มีอเวจีเป็นที่ไป..!

ดังนั้น..พวกเราเข้าวัดให้ระมัดระวังไว้อย่าให้ขาดทุน โดยเฉพาะบุคคลบางจำพวก พอสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้วก็ลืมตัว เห็นพระเป็นเพื่อน ไม่ได้เห็นพระเป็นพระ อันนี้ก็แปลว่ากำลังหานรกใส่ตัวโดยใช่เหตุ แล้วก็มีทุกที่ ท่านที่ลืมตัวเพราะขาดสติยังพอให้อภัย มีบุคคลบางจำพวกตั้งใจลืมตัว คือทำท่าสนิทสนมคุ้นเคยเพื่อที่จะอวดคนอื่น ในเมื่อตั้งใจจะลืมตัวก็แปลว่าตั้งใจที่จะลงนรก..!

เรื่องของพระ ถึงจะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ ถ้าหากว่าเราทำดีทำถูกก็จะมีคุณมาก แต่ถ้าเราทำผิดพลาดจะเกิดโทษใหญ่แก่ตนเองขึ้นมา จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องสังวรระวังเอาไว้เสมอ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 13:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 18-04-2012, 10:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อย่างที่อาตมาเคยพูดว่าให้ทำตัวเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ คือต้องรู้จักเกรงใจกัน อย่างที่สมัยก่อนเขาบอกว่า ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่ได้ศึกษาสมบัติผู้ดีแล้ว รุ่นอาตมานี่เวลาผู้ใหญ่ด่า ท่านด่าเจ็บมากเลย แต่เราสมัยนี้ฟังอาจจะเฉย ๆ เขาด่าว่า "ไปเอาสมบัติผู้ดีมาต้มกินบ้างนะ" เพราะว่าหนังสือสมบัติผู้ดีสมัยก่อนนี้เขาจะระบุว่า ทำตัวอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับกาลเทศะของสังคมในช่วงนั้น แบ่งออกเป็น ๑๐ ตอนด้วยกัน อาตมายังจำได้แม่นอยู่ว่า

"สมบัติผู้ดีมีข้อ กล่าวย่อพอยกหยิบอ้าง ภาคหนึ่งระวังท่าทาง รู้วางไว้ตัวชั่วดี ภาคสองสำรวมนิสัย มิให้เสื่อมเสียราศี ภาคสามน้อมกายวจี ท่วงทีคารวะผู้ควร ภาคสี่มีกริยา วาจาน่ารักเสสรวล ภาคห้ากว้างขวางทางชวน ชักมวลหมู่เพื่อนนิยม ฯลฯ" เป็นต้น

ถ้าเราไปศึกษาจะเห็นว่าในแต่ละด้านต้องปฏิบัติตัวอย่างไร รวมแล้ว ๑๐ ด้านด้วยกัน แล้วท่านผู้รู้ก็ประพันธ์เป็นโคลงเป็นกลอนไว้ จะได้จำง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น..เวลารุ่นอาตมาโดนด่าว่า "ให้ไปเอาสมบัติผู้ดีต้มกินบ้าง" นี่อายหัวหูแดงหมด ก็แปลว่าเขาด่ายันพ่อยันแม่ ยันครูบาอาจารย์เลยว่าไม่ได้อบรมเรามา สมัยนี้ด่าเด็กไม่รู้จักสมบัติผู้ดี เด็กก็นั่งหัวเราะกัน

สมัยที่เรียนหนังสือชั้นมัธยมอยู่ มีท่านอาจารย์สง่า เดชารัตน์ เวลาด่าเด็กแรงมาก คำด่าของอาจารย์ก็คือ “น่าอายมาก” คราวนี้เด็กหน้าด้านไม่อายขึ้นมา แล้วท่านอาจารย์จะทำอย่างไรได้ ? ก็ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 13:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว