กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 30-08-2013, 09:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ฯ ใช้คำว่า ประทาน ถ้าเป็นในหลวง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามมกุฎราชกุมารี ใช้คำว่าพระราชทาน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2013 เมื่อ 16:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 08-09-2013, 11:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขณะที่เราเห็นคนอื่นทุกข์ เราเห็นสภาพแล้วเราก็รู้สึกว่าทุกข์ แล้วก็ย้อนมาที่ตัวเรา ว่าเราไม่อยากจะเกิดมาเป็นแบบนี้อีก แล้วก็ร้องไห้ อารมณ์แบบนี้เป็นอะไรคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าปีติในธรรมจ้ะ ก็คือในส่วนที่เข้าถึงได้ยาก เห็นได้ยาก ทำใจได้ยาก ตอนนี้เราเข้าถึงแล้ว เห็นแล้ว ทำใจได้แล้ว จะเกิดปีติคือเป็นสุขขึ้นมา เป็นสุขในธรรม ถามว่าปีติแล้วทำไมต้องร้องไห้ด้วย ? อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับพ่อแม่ทิ้งลูกเอาไว้บ้านนาน ๆ ตัวเองอาจจะไปทำไร่ทำนาแต่เช้าจนมืดค่ำ หรือไปค้าขายในตลาด กว่าจะกลับมาก็ค่ำก็มืด ตอนกลับมาลูกเห็นหน้าพ่อแม่ กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บางคนก็ร้องไห้โฮเลย

นั่นดีใจใช่หรือไม่ ? ใช่...แล้วร้องไห้ทำไม ? ก็ลักษณะเดียวกัน ในส่วนจิตของเราต้องการความสงบ อย่าลืมว่าจิตของเราทุกคนพื้นฐานมีความสงบมาในระดับของฌานที่ ๒ พอเราเข้าถึงความสงบในตรงนั้น เหมือนกับคุ้นเคยในสิ่งที่หายไปนาน จึงเกิดปีติขึ้นมา นั่งร้องไห้น้ำตาไหลไปเอง


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แบบเดียวกันจ้ะ ก็คือในส่วนที่เราเห็นว่ามีความสุขจริง ๆ เป็นความทุกข์ทั้งหมด แต่ชาวบ้านเขานิยมอย่างนั้นเพราะว่าเกิดปีติในใจขึ้นมา คราวนี้ปีติของเขาเกิดจากสิ่งที่กระตุ้นภายนอก อาจจะเป็นแสงสีเสียงอะไรก็ตาม แล้วก็เกิดความสุขขึ้นมาชั่วคราว เป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน เดี๋ยวก็ทุกข์ใหม่

แต่ความสุขในการปฏิบัติธรรม เป็นความสุขที่ยั่งยืนกว่า ในเมื่อเราเห็นตรงจุดนั้นก็เกิดปีติขึ้นมาใหม่ ต่อไปถ้าเกิดขึ้นนี่ต้องปล่อยให้ร้องเต็มที่ไปเลย อย่าไปกลั้นไว้ ถ้าปล่อยให้หายไปเพราะอายเขาหรืออะไรก็ตาม เวลาอารมณ์ใจถึงตรงนั้นก็จะเป็นอยู่ตลอด ต้องร้องไห้บ่อย ๆ แต่ถ้าหากเราปล่อยให้เต็มที่ ก้าวข้ามไปทีเดียวจะจบเลย


ถาม : ถ้าเราเห็นแล้วข้ามอารมณ์นี้ไป ?
ตอบ : ถ้าข้ามไปได้จะเห็นเป็นปกติว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ประกอบด้วยความทุกข์ ไม่ได้ถอยหลัง..แต่ว่าก้าวข้ามอารมณ์นั้นไปแล้ว แล้วเราก็เข้าไปสู่ตัวอุเบกขาในสมาธิ จะกลายเป็นฌานไป ไม่มีปีติแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2013 เมื่อ 18:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 08-09-2013, 12:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ...(ไม่ชัด)...ดำเนินตามนั้นหรือ ?
ตอบ : คือจริง ๆ ถ้าเราดูจะดำเนินตามนั้นทั้งหมด แต่คราวนี้เรายังแยกแยะไม่ออก เรายังไม่รู้ถึงสติ ธัมมวิจยะ จริง ๆ เริ่มที่สติก่อน พอเรามองเห็นก็เกิดธัมมวิจยะ ก็คือแยกแยะดู แล้วในที่สุดก็เห็นว่าจริงของเขา ทุกอย่างมีแต่ความทุกข์ ไม่มีความสุข

ถาม : ...(ไม่ชัด)...เป็นเรื่องของการวาง ?
ตอบ : ตัวสุดท้ายจ้ะ เป็นตัวอุเบกขา

ถาม : แสดงว่าเกิดขึ้นเร็วมาก ?
ตอบ : เร็วมาก ทั้ง ๗ ตัวจะเกิดขึ้นเร็วมากเลย บางทีเราก็ยังไม่รู้เลยว่า วิริยะหรือความเพียรที่เราพิจารณาดูนั้นเป็นอย่างไร ถ้าทุกอย่างพร้อมเกิดขึ้นวูบเดียวเอง แต่เราต้องดูว่ากว่าจะพร้อมใช้เวลากี่ปี ?

ถาม : เกิดขึ้นเฉพาะเรื่อง ?
ตอบ : จะค่อย ๆ เกิดขึ้นเฉพาะแต่ละเรื่อง จะค่อย ๆ สั่งสมมา ๆ จนถึงระดับแล้วก็จะเกิดขึ้นเอง ถ้าไม่มีการสั่งสม ไม่มีการเริ่มต้นมา โอกาสที่จะเกิดขึ้นอย่างนั้นน้อยมาก ยกเว้นว่าสร้างบารมีมาสมบูรณ์บริบูรณ์มาตั้งแต่อดีตแล้ว พอมากระทบกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทุกอย่างก็พร้อมสมบูรณ์ อย่างนั้นก็สามารถที่จะเกิดได้ แต่ว่าในยุคของเรานี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2013 เมื่อ 18:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 08-09-2013, 12:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อุเบกขามีหลายอารมณ์ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าอุเบกขามีหลายระดับ ระดับแรกก็คือเป็นอุเบกขาในสมาธิ ก็คือตัวเอกัคตารมณ์ ถ้าอุเบกขาในสมาธิ ก็แค่สามารถที่จะดับกิเลสได้ชั่วคราว ถึงเวลาถ้าสมาธิคลายกิเลสก็จะเกิดใหม่ แต่ถ้าเป็นอุเบกขาที่สามารถปล่อยวางตัดขาดได้จริง ๆ จะเป็นอุเบกขาที่เป็นตัวปล่อยวางจากการเกิดปัญญา รู้เห็นปล่อยวางเพราะเห็นความเป็นจริง เมื่อปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ไปแตะต้อง ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับต้นเหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายก็ไม่เกิดกับเรา

มีหลายส่วนอยู่ด้วยกัน แรก ๆ เราก็เอาอุเบกขาในฌานไว้ก่อน สามารถมีกำลังกดกิเลสอยู่ได้ ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะก่อนหน้านี้กิเลสลากเราไปเรื่อยตลอดเวลา


ถาม : การคิดจนเป็นฌานสมาธิ ?
ตอบ : จะค่อย ๆ สะสมมาเอง ต่อให้เราค่อย ๆ คิด ท้ายสุดก็จะเป็นฌานเอง เพราะว่าจิตจะดิ่งเป็นสมาธิไปทีละน้อย ๆ ไม่อย่างนั้นคิดอยู่อย่างเดียวไม่ได้หรอก ต้องมีกำลังสมาธิมาช่วย

ถาม : การกระทบใจ ?
ตอบ : จะกระทบใจ จะกระทบกาย จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นหรืออะไรก็ตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สามารถที่จะรับในส่วนของข้อธรรมต่าง ๆ น้อมเข้ามาพิจารณา โดยเฉพาะเปรียบเทียบกับตัวเอง แล้วในที่สุด ถ้าปัญญาถึง สภาพจิตจะบอกเราเองว่าเราไม่เอาอีกแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2013 เมื่อ 18:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 08-09-2013, 14:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีคนบอกว่า มีเพชรจักรพรรดิที่รับมาจากมือหลวงพ่อวัดท่าซุงเอง ใครไม่รู้เอามาลงโฆษณาขายในเฟซบุ๊ก ซึ่งความจริงเพชรจักรพรรดิที่จำหน่ายยังไม่พอเลย แล้วหลวงพ่อท่านจะเอาที่ไหนมาแจก เห็นแบบของเขาแล้ว มีตั้งหลายแบบที่อาตมาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในชีวิต อาตมาเป็นคนจำหน่ายเอง ทำไมจะไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่

พวกในเว็บถึงเวลาก็อ้างไปเรื่อยเปื่อย บอกว่ารับมาจากมือหลวงพ่อวัดท่าซุง ขนาดเพชรเขาพระงามบูชายังมีไม่พอให้บูชาเลย ถ้ารับมาจากมือหลวงพ่อแปลว่าท่านต้องไปแจก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้วใครก็ตามที่บูชาแล้ว ประเภทเอาไปส่งให้หลวงพ่อส่งให้รับกับมืออีก มีหวังโดนไม้เท้าแทน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2013 เมื่อ 18:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 08-09-2013, 15:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนช่วงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงใกล้จะมรณภาพ หลวงพี่วิรัชเปิดคลังจำหน่ายวัตถุมงคล ของเก่าทุกอย่างไม่เหลือ โดยเฉพาะลูกแก้วมณีรัตนะรุ่นแรก (แบบกลีบมะเฟือง)

ปกติหลวงพ่อวัดท่าซุงจะให้เก็บวัตถุมงคลทุกอย่างเอาไว้ส่วนหนึ่ง ทุกรุ่นจะต้องมีเก็บไว้ แต่พอถึงเวลาหลวงพ่อใกล้จะมรณภาพ หลวงพี่วิรัชก็เริ่มจำหน่ายของเก่า พอหลวงพ่อมรณภาพไม่นาน ของทุกอย่างก็ขึ้นราคา ขึ้นราคาเป็น ๒ เท่า ๔ เท่า ๘ เท่า ท้ายสุดก็ ๑๖ เท่า

หลวงพี่วิรัชท่านมีเมตตา ท่านกลัวว่าถ้ารอจนหลวงพ่อมรณภาพแล้วขึ้นราคาตามนั้น คนหลายคนจะไม่ได้ เพราะฉะนั้น..สมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมาก ราคาแรกเริ่มองค์ละ ๑๐ บาท มีบางคนบูชาที ๔๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ องค์..! แล้วก็ขึ้นเป็น ๑๐๐ บาททันทีเลย หลังจากหลวงพ่อมรณภาพก็เป็น ๒๐๐ บาท ๔๐๐ บาท ๘๐๐ บาท ๑,๖๐๐ บาท

ของบางอย่างฟังอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคิดบ้าง ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ก็จะรู้ว่าเป็นไปได้หรือว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปว่าเขา เพราะว่าบางทีเขาก็ไปรับประวัตินี้มา
จากคนที่ขายให้อีกทีหนึ่ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2013 เมื่อ 18:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 08-09-2013, 15:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : หลวงพี่วิรัชท่านออกจากวัดตัวเปล่า พอออกมาแล้ว ด้วยวิสัยของหลวงพี่วิรัช ก็จะไม่ไปยุ่งกับทางวัดท่าซุง เพราะฉะนั้น..เรื่องถือวิสาสะไปค้นคลังนี่เป็นไปไม่ได้

ทางวัดบอกให้หลวงพี่วิรัชกลับวัด แต่หลวงพี่วิรัชไม่ยอมกลับ เพราะทางคณะสงฆ์ตกลงกันว่า ถ้าใครออกจากวัดเกินกำหนด แปลว่าต้องพ้นวัดไปเลย หลวงพี่อนันต์บอกว่า แต่ผมอนุญาตให้กลับ หลวงพี่วิรัชบอกว่าจะเกิดปัญหาอยู่ ๒ ทาง ทางแรกก็คือคนอื่นจะสงสัยว่าทำไมผมกลับได้ ทางที่สองท่านบอกว่า ถ้าผมกลับ..ผมตอบคำถามพระเล็กไม่ได้ นั่นคือน้ำใจนักกีฬาของหลวงพี่วิรัช เพราะถ้าท่านกลับ แล้วอาตมาไม่กลับ ท่านก็ละอายใจ จึงยอมแบกระเบียบ ยอมลำบากไปด้วยกัน

ท่านเองไม่รู้หรอกว่าอาตมาไม่เคยคิดจะกลับไป แต่ท่านก็เผื่อเอาไว้ เพราะฉะนั้น..ถ้ากลับก็คือกลับด้วยกัน เพราะกติกาตกลงกันในคณะสงฆ์แล้วว่า ถ้าไปเกินกำหนดก็ถือว่าพ้นวัดแล้ว ส่วนพี่ยงยุทธไม่คิดมากขนาดนั้นด้วยซ้ำ แต่ท้ายสุดก็อยู่ไม่ได้..ต้องสึกไป

พวกเราเห็นความจริงจังจริงใจของหลวงพี่วิรัชขนาดไหน เขาเปิดทางกว้างขนาดนั้นให้กลับ ท่านยังไม่กลับเลย ท่านบอกว่าท่านตอบคำถามพระเล็กไม่ได้ ทั้งที่อาตมาเองไม่ใช่คนช่างถามสักหน่อย

แม้แต่วัตถุมงคลของวัดท่าขนุน อาตมาถึงได้บอกว่า รับมาจากไหน ? รับมาจากใคร ? ถ้าเป็นไปได้ให้ทำประวัติไว้นิดหนึ่ง เหมือนโยมเมื่อครู่ เขาจะเขียนติดไว้หมดเลย ว่ารับมาจากใคร รับมาเมื่อไร ในงานไหน ต่อไปกระดาษก็จะเก่าไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลา ๓๐ - ๔๐ ปีให้หลัง อาตมามรณภาพไปแล้ว กระดาษเก่าได้ที่ พิสูจน์ความเก่าได้ คนมาดูก็จะรู้ที่มา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2013 เมื่อ 18:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 08-09-2013, 16:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนพวกเขตการศึกษาขั้นพื้นฐาน รองผู้อำนวยการท่านขึ้นมาขอข้าวสารอาหารแห้งไปแจกพวกที่โดนน้ำท่วม เพราะวัดและโรงเรียนแถวนั้นจมน้ำหมด สงสารพวกครูอาจารย์ที่นั่น

รองผอ.มาถึงก็ไม่ดูตาม้าตาเรือ “พระคุณเจ้าครับ ถึงเวลาที่ท่านจะต้องช่วยเหลือประชาชนแล้วครับ” อาตมาบอกไปว่า “โคตรเตี่_มึ_สิ..! กูช่วยอยู่ประจำ แถวนั้นอย่างน้อยก็เอาของไปแจกให้ปีละ ๒ ครั้ง คุณเองที่เพิ่งจะโผล่หน้ามา ชาตินี้อาตมาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก” เงียบเป็นเป่าสากไปเลย พวกประเภทชอบคิดว่าพระอยู่เฉย ๆ ไม่เคยทำอะไร

เขาไม่รู้หรอกว่าวัดท่าขนุนช่วยเขาแต่ละปีเท่าไร ข้าวของที่เอาไปทั้งหมดอาตมาไม่เคยเก็บไว้เฉย ๆ พวกบรรดาผู้ที่เดือดร้อนตามป่าตามเขาลึก ๆ แม้กระทั่งวัดวาอาราม หน่วยราชการต้องพึ่งวัดท่าขนุนทั้งนั้น วัดบางแห่งต้องมาตีฆ้องร้องป่าวขอรับบริจาคในตลาดกันเป็นวัน ๆ กว่าจะได้ข้าวสารอาหารแห้งมาหน่อยหนึ่ง อาตมาบอกว่า "พวกเอ็งเอารถไปขนที่วัดท่าขนุนเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปป่าวประกาศ.." ไม่อย่างนั้นเดินกันเป็นวัน ๆ กว่าจะได้มาหน่อยหนึ่ง วัดท่าขนุนบิณฑบาตแต่ละวันข้าวของจะท่วมวัดตาย..!

ถ้าแจกให้ทหารตำรวจตามหน่วยต่าง ๆ แล้วเหลือมาก ก็จะส่งเข้าเรือนจำ แต่ว่าน่าสลดใจที่ไม่ค่อยถึงมือผู้ต้องขัง ถ้าจะให้ถึงผู้ต้องขังเราต้องไปนั่งเฝ้าเอง..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2013 เมื่อ 18:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 08-09-2013, 17:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติแล้วช่วงที่หมดฝน อยากจะให้ลองอยู่เต็นท์กัน แต่คราวที่แล้วไม่ได้อยู่เต็นท์เพราะอากาศหนาว ตอนช่วงนี้ทองผาภูมิเป็นหน้าฝนก็จริง แต่คนไม่ชินกับอากาศจะหนาว เพราะอากาศอยู่ระหว่าง ๒๑ - ๒๓ องศาเซลเซียส เชื่อไหมว่ามาถึงที่บ้านวิริยบารมี ได้เหยียบพื้นแห้ง ๆ แล้วดีใจอย่าบอกใครเลย เพราะว่าเดินลุยน้ำกันอยู่ทุกวัน เท้าจะเปื่อยตาย คนที่ไม่เคยเห็นแดดมาครึ่งค่อนเดือน พอมาเห็นแดดเข้าแทบจะกระโดดเลย เพราะที่โน่นเสื้อผ้าตากเท่าไรก็ไม่แห้งเสียที"

ถาม : กางเต็นท์จะให้นอนตรงไหน ?
ตอบ : ลานธรรม จะนอนตรงไหนก็ได้เพราะกว้างขนาดนั้น หรือจะลงไปนอนในป่าก็ไม่ได้ว่าอะไร กลัวแต่เวลาหนาว ๆ แล้วงูจะมาหาที่อุ่น ๆ นอน ถึงเวลาจะมาซุกอยู่ด้วย แต่ไม่เห็นเขาทำอะไร เพราะอาตมาเคยโดนงูมานอนอยู่บนอกหลายที พอถึงเวลาก็ว่าอะไรหนัก ๆ พอคลำดู โอ้โห...อย่างกับขวดเบียร์เลย ต้องค่อย ๆ แตะให้รู้ตัว แล้วก็ดึงลงช้า ๆ ถ้าเราไม่กลัวแล้วไม่ไปเคลื่อนไหวพรวดพราด งูก็ไม่กัดหรอก

โดยเฉพาะงู ถ้าอยู่ในที่หนาว ๆ แทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะว่าหนาวจนแข็ง งูเป็นสัตว์เลือดเย็น อุณหภูมิร่างกายจะเท่ากับข้างนอก จึงต้องหาที่อุ่น ๆ จะได้ไม่ทรมานมาก แล้วที่อุ่นทีไรก็คนทุกทีแหละ..!

ถ้าเราดูพวกหนังสารคดีจะเห็นพวกกิ้งก่าอีกัวน่า ถึงเวลาก็เกาะบนโขดหินเป็นร้อยเป็นพัน เขาไปอาบแดดกัน รอให้ตัวอุ่นพอที่จะเคลื่อนไหวได้ระดับหนึ่ง สัตว์เลือดเย็นจะต้องอาศัยแดดถึงจะไปได้ ดูแล้วน่าสงสารมาก บางทีเดินธุดงค์ในป่าเช้า ๆ เจองูนอนยาวเหยียด เกล็ดมีน้ำค้างเกาะเลย สงสารเหมือนกัน ต้องรออีกนานกว่าแดดจะมาถึง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2013 เมื่อ 18:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 08-09-2013, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยมีจดหมายจากเจ้าคณะอำเภอมาถึงอาตมาที่เป็นเจ้าอาวาส เลขานุการใช้คำขึ้นต้นว่า "กราบเรียน" ลงท้าย "ด้วยความเคารพอย่างสูง" เดี๋ยวอาตมาก็บ้องหูร่วงเลย..! ท่านเป็นเจ้านายของอาตมา แต่เลขาฯ ดันพิมพ์มาอย่างนั้น เจ้านายกราบเรียนลูกน้องด้วยความเคารพอย่างสูงหรือ ?"

ถาม : ต้องใช้อะไรคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือใช้ เรียนและขอแสดงความนับถือ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2013 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 08-09-2013, 19:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีการถวายช็อกโกแลตกันบ่อย ๆ อาตมาเห็นแล้วก็ขำ ๆ คงเกิดจากพระธรรมยุต ท่านฉันของพวกนี้ช่วงหลังเพล พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล เนยใส เนยข้น แต่พระธรรมยุตท่านไม่ฉันนมข้น เพราะท่านถือว่ามีส่วนผสมของแป้ง แต่ท่านฉันเนยข้นแทน ก็คือชีส หั่นเป็นชิ้น ๆ และมีการหั่นพริกใส่ แล้วก็เสียบไม้จิ้มฟันไว้ ถึงเวลาก็ฉันกันคนละชิ้นสองชิ้น เขาถือว่าชีสเป็นเนยข้น แล้วพริกเป็นส่วนของเภสัช คือเป็นยาด้วยผล..จึงฉันได้

พวกช็อกโกแลตเป็นส่วนผลของต้นโคคา อาตมาก็ไม่แน่ใจในวิธีการผลิต แต่ในเมื่อมีโยมถวายแล้วท่านไม่รังเกียจรับไว้ เขาก็ถวายช็อกโกแล็ตแก่พระไปด้วย ระวังไว้อย่างเดียวว่าอย่าเอาพวกช็อกโกแลตที่มีไส้ เพราะว่าบางทีเขาก็ผสมถั่วลงไป ส่วนอาตมาไม่ฉันช็อกโกแลตมาตั้งแต่แรก ถวายมาเมื่อไรก็ถือว่าเป็นลาภปากของพระเณรที่วัด แต่กำชับไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องก่อนเพล เพราะถ้าหลังเพลไปถ้าเจอประเภทผสมถั่วมาแล้วจะเซ็ง เพราะถั่วเป็นอาหาร ฉันหลังเพลไม่ได้"


ถาม : น้ำเต้าหู้กินได้หรือคะ แต่เคยไปอ่านเจอว่าห้ามกิน ?
ตอบ : ฆราวาสมีปัญญาจะกินไปกี่ปีบก็ได้ เขาห้ามพระ พระมีศีลห้ามเอาไว้ว่า สิ่งที่เป็นอาหารถึงทำเป็นปานะก็ไม่ควร คราวนี้ถั่วเป็นอาหาร เขาห้ามเฉพาะพระ ปนกันมั่วไปหมด ฆราวาสไม่ได้ห้าม มีปัญญาก็ว่าไปได้เลย

ถาม : อย่างนี้ศีลแปดก็ได้หรือคะ ?
ตอบ : ศีล ๘ ไม่ได้ละเอียดเท่าศีลพระ ศีลพระเขามีรายละเอียดเยอะ เพราะว่าศีลพระนอกจากพระปาติโมกข์ ๒๒๗ ข้อแล้ว ยังมีศีลนอกพระปาติโมกข์ เรียกว่าอภิสมาจาร จะให้รายละเอียดไว้เยอะมาก พระต้องระมัดระวังอย่างสูง ถ้าพลาดคนจะตำหนิเอาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2013 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 08-09-2013, 19:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แบบเดียวกับสมัยที่อยู่วัดท่าซุง พอทำงานหนัก พระบางรูปหิวขึ้นมา ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “หลวงพ่อครับ ไอศกรีมฉันได้ไหมครับ ?” หลวงพ่อบอกว่า ถ้าส่วนผสมเป็นแค่นมแค่เนยก็ฉันได้ ไม่ใช่ว่าเอาอย่างอื่นใส่ไปด้วยนะ แต่ท่านบอกว่า “ข้าขอร้องเถอะ ถ้าไม่ถึงขนาดจะตายห่าจริง ๆ แกอย่าไปแดกเลย มันน่าเกลียด..!” ชาวบ้านที่เขาไม่เข้าใจเขาจะด่าเอา

ตอนไปยุโรป พรรคพวกเขาก็ซื้อไอศกรีมฉันกันเกินครึ่ง อาตมาไปเดินหาที่ถ่ายรูปแทน เขาอยากฉันก็ฉันไปเถอะ ไหวไหม ? ไอศกรีม ๒ ลูก ๘๐ บาท..!


ถาม : แล้วพระท่านรู้วิธีทำหรือคะ ?
ตอบ : ไม่รู้วิธีทำ หลวงพ่อบอกว่าถ้าเป็นแค่นมแค่เนยก็ฉันได้ ถ้ามีส่วนอื่นผสมฉันไม่ได้ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ..กันไว้ก่อนดีกว่า ไม่ใช่พอทำกันจนชิน ถึงเวลาตอนบ่ายพระก็ถือไอศกรีมดูดกันคนละแท่ง น่าเกลียดตายชัก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2013 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 10-09-2013, 10:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ที่วัดท่าขนุนป่าไผ่ตกขุยแล้วตาย อาตมาจึงให้ปลูกต้นไม้เพิ่มเติม แล้วทำโครงการร่วมกับทางโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา เอาเด็กมาปลูกต้นไม้ ปรากฏว่าพระที่วัดท่านโทรศัพท์มาบอกว่า แม่ชีที่วัดให้คนไปปลูกข้าวโพดเสียเยอะแยะ ท่านไม่รู้ว่าจะไปปลูกต้นไม้ตรงไหน เพราะพื้นที่หายไปแล้ว อาตมาก็บอกว่าปลูกไปสิ..จะเป็นอะไร ต้นไม้ที่เราปลูกเป็นต้นไม้ใหญ่ยืนต้น ส่วนข้าวโพด ๓ - ๔ เดือนก็เก็บแล้ว ต้นก็โดนถอนทิ้งหมด ไม้ใหญ่ของเรา ๓ - ๔ เดือนรากยังไม่ทันจะเดินดีเลย

ก็ปลูกตรงนั้นแหละ แทรกลงไปในแปลงข้าวโพด ถึงเวลาเก็บข้าวโพด ต้นไม้ใหญ่ก็ขึ้นต่อ ถ้าไม่แน่ใจให้เขาหว่านถั่วเขียวอีกรอบก็ได้ เพราะซากต้นถั่วจะกลายเป็นปุ๋ยอย่างดี พระที่วัดท่านไม่เคยเป็นลูกชาวไร่ก็เลยไม่รู้

อาตมาถึงได้บอกว่า ภูมิใจในความเป็นบ้านนอกของตัวเอง รู้เห็นอะไรเยอะกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2013 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 10-09-2013, 10:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกบวบหอมบวบเหลี่ยมที่เขาปลูกเอาไว้ ถ้าลูกไหนเอามาทำอาหารแล้วมีรสขมมาก ให้ทราบว่าโดนงูเลื้อยผ่าน เป็นเรื่องแปลกมากเลย งูเลื้อยผ่านบวบลูกไหน บวบลูกนั้นจะขม ลองกิน ๆ ดู ถึงเวลาเจอประเภทบวบหอมผัดไข่ บวบเหลี่ยมผัดไข่ ถ้ารสขม ๆ ให้รู้เลยโดนงูเลื้อยผ่านมา ตรงที่โดนงูเลื้อยกระทบ ที่บริเวณนั้นจะขม ไม่ถึงขนาดต้องขมทั้งลูกนะ แต่บริเวณที่โดนจะขม แปลกดี ตอนเด็ก ๆ คอยสังเกตก็เลยรู้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2013 เมื่อ 16:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 10-09-2013, 10:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บายศรีที่ใช้ในพิธีบวงสรวงทิ้งขยะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ลอยน้ำไป ของไหว้พระเอาไปทิ้งขยะได้..ฮ่วย..! ไม่มีจริง ๆ ก็ทิ้งไว้โคนไม้ใหญ่

ถาม : บางทีหนูภาวนาแล้วออกไป คิดแค่ว่าจะไปกราบพระ แต่ไม่ได้เจาะจงว่าพระท่านไหน บางทีก็ถามท่าน บางทีท่านก็บอกกล่าวแนะนำหนู การที่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระท่านไหนองค์ไหน อย่างนี้เรียกว่าเป็นการไปเปะปะหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็ถ้าท่านสงเคราะห์ก็แล้วแต่ท่าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2013 เมื่อ 16:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 10-09-2013, 10:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมาทำวัตรพระผู้ใหญ่ แล้วฝนตกหนัก แท็กซี่บอกว่า "ทำไมตกได้ตกดี ทีบ้านผมภาคอีสานไม่เห็นจะตกบ้างเลย" อาตมาก็เลยบอกกับแท็กซี่ว่า โปรดจำไว้ว่าคนโบราณเก่ง สมัยก่อนเขาตั้งบ้านตั้งเมือง เขาต้องหาพื้นที่ซึ่งฝนฟ้าบริบูรณ์ เพราะว่าสำคัญที่สุดคือ ต้องปลูกข้าวเพื่อเลี้ยงไพร่ฟ้าประชากรได้ แล้วโบราณเขาตั้งที่กรุงเทพฯ เพราะว่าฝนบริบูรณ์ทั้งปี

ถ้าสงสัยว่าเขาปลูกข้าวกันด้วยหรือ ? ก็บอกว่าสนามหลวงคือนาข้าวของพระเจ้าแผ่นดิน ก็เลยกลายเป็นว่าที่ซึ่งฝนฟ้าบริบูรณ์ แทนที่จะได้ปลูกข้าวก็ดันมาสร้างตึกกัน เพราะฉะนั้น..โยมไม่ต้องบ่นหรอก ฝนฟ้ายังคงเป็นธรรมชาติตกทั้งปี ฝนยังคงตกทั้งปี แต่คนเลิกปลูกข้าว แทนที่จะปลูกผักผลไม้ เล่นมาปลูกตึก มาขับแท็กซี่กัน แล้วจะบ่นทำไมเล่า..?!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2013 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 10-09-2013, 10:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าอาวาสมา ปีนี้เป็นปีแรกที่วัดไม่มีเณร สามเณรพอบวชแล้ว เริ่มโตเป็นหนุ่มก็สึกกันหมด ปีนี้ส่งจำนวนพระให้เขา ๔๖ รูป มีหลายรูปที่ไปจำพรรษาที่เกาะพระฤๅษีกับวัดพุทธบริษัท ไม่อย่างนั้นอยู่ด้วยกันมาก ๆ ก็แย่ เพราะว่าหลวงปู่สายท่านสร้างกุฏิไว้มีแค่ ๔๐ ห้อง พระอยู่กันทีหนึ่ง ๔๐ - ๕๐ กว่ารูป ที่นอนไม่มี ท่านที่ทนลำบากหน่อยก็นอนศาลา แต่จริง ๆ อาตมาชอบนอนในศาลามากกว่า เพราะโล่งดี แต่ท่านอื่นเขาต้องการความเป็นส่วนตัว ต้องมีห้องเฉพาะของตัวเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2013 เมื่อ 17:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 10-09-2013, 10:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนสิงหาคมนี้นอกจากมีงานทำบุญวันแม่แล้ว อาตมายังรับเป็นเจ้าภาพอบรมพระนวกะ ประจำปี ๒๕๕๖ ด้วย บรรดาผู้บังคับบัญชาพอเห็นก็ถาม “เป็นเจ้าภาพอีกแล้วหรือ ? ” เรียนท่านไปว่า “ครับ” “คนอื่นเขาไม่รับหรือ ? ” “เขารับไม่ไหวครับ” ผู้บังคับบัญชาก็ว่า “เออดี..นึกเสียว่าเขาเอาบุญมาให้เรา” “ใช่ครับ..ถ้าไม่นึกอย่างนั้นผมก็ไม่รับเหมือนกัน”

เพราะว่าการเป็นเจ้าภาพอบรมพระนวกะ วัดเราถวายค่ารถให้ทุกท่านที่มา แล้วพระท่าน ๔๐๐ กว่ารูป พระผู้ใหญ่อีกต่างหาก วิทยากรอีก รอบหนึ่งจ่าย ๔๐๐,๐๐๐-๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นอย่างต่ำ

ก่อนหน้านี้เขามีข้อตกลงกันว่า ในคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิมีอยู่ ๑๐ ตำบล แต่ละปีให้เจ้าคณะตำบลหมุนเวียนกัน เป็นเจ้าภาพในเขตตำบลตัวเองตำบลละครั้ง ก็จะเจอ ๑๐ ปี ๑ ครั้ง แต่พอมาระยะหลัง บางตำบลอยู่ไกลมากเลย อย่างตำบลชะแลเขต ๒ คลิตี้อยู่ห่างจากตัวอำเภอ ๘๗ กิโลเมตร หรือไม่ก็ตำบลปิล็อก ขึ้นเขาไป ๗๐ กิโลเมตร อย่างที่ไม่ไกลนักก็ลิ่นถิ่น พอเดินทางสะดวกก็ ๔๐ กิโลเมตร จึงไม่ค่อยมีใครอยากจะไปกัน พอไม่ค่อยอยากจะไปก็เลยมาเอาวัดที่สะดวก ๆ หน่อย ที่รับเป็นประจำอยู่แค่วัดเขื่อนวชิราลงกรณ วัดปรังกาสี วัดท่าขนุน วัดโชคผาสุกิจ ๔ วัดนี้รับไปเถอะ..!

แต่คราวนี้วัดของอาตมารับปี ๒๕๕๔ พอมาปี ๒๕๕๕ วัดสะพานลาวรับไป พอมาปีนี้กลับมาวัดท่าขนุนอีกแล้ว เพราะวัดปรังกาสีท่านรับเป็นเจ้าภาพสอบพระนวกะ ในเมื่อท่านเป็นเจ้าภาพสนามสอบตั้ง ๔ วัน พระไปอยู่ไปกินกัน ๔ วัน ค่าใช้จ่ายมหาศาล ก็ว่ากันหลายหมื่น ท่านก็เลยบอกว่า “อาจารย์เล็กช่วยหน่อยได้ไหม ?” “ได้เลย..มาเถอะ” ต่อไปคงกลายเป็นว่า ไป ๆ มา ๆ ท่านอื่นก็ปัดมาทางนี้หมด กลายเป็นว่าวัดปรังกาสีรับสอบพระนวกะเป็นขาประจำ วัดท่าขนุนอาจจะต้องรับจัดอบรมพระนวกะเป็นขาประจำหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2013 เมื่อ 17:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 10-09-2013, 10:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ทาง ททท.จังหวัดกาญจนบุรี เอาการตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ของวัดท่าขนุนไปลง กลายเป็นว่าพวกเราแห่กันเข้าไปดู จากสถิติของเขามีคนอยู่ ๑๔,๐๐๐ คน ตอนนี้กระโดดไป ๑๖,๐๐๐ คน แสดงว่าเข้าไปพักเดียว ๒,๐๐๐ กว่าคน ตอนนี้สำนักงานการท่องเที่ยวกาญจนบุรี กำหนดให้วัดท่าขนุนเป็น ๑ ใน ๙ วัด ของการเดินสายทำบุญ ๙ วัดของจังหวัดกาญจนบุรี

คราวนี้อำเภอไทรโยค ทองผาภูมิ กับสังขละบุรี มีอำเภอละ ๑ วัดเท่านั้น ที่ไทรโยคก็คือวัดสุนันทาวราราม ของหลวงพ่อมิตซูโอะที่เพิ่งสึกไป ทองผาภูมิคือวัดท่าขนุน สังขละบุรีคือวัดวังก์วิเวการาม ของหลวงพ่ออุตตมะ คาดว่าของไทรโยคน่าจะโดนถอดออก พอไม่มีหลวงพ่อมิตซูโอะแล้ว เขาน่าจะเอาวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโนขึ้นไปแทน เพราะว่าเป็นวัดที่มีการเลี้ยงเสือ ฝรั่งเรียก Tiger Temple ส่วนอีก ๖ วัดกระจุกอยู่ในเขตอำเภอเมืองทั้งหมด แล้วมีวัดเหนือ วัดใต้ วัดทุ่งลาดหญ้า เป็นต้น

อาตมาบอกกับพระเณรในวัดว่า การขึ้นที่สูงนั้นไม่ยากหรอก แต่ขึ้นสูงแล้วรักษาระดับนั้นยากมาก เขายิ่งยกย่องวัดเราเป็นที่รู้จักมากเท่าไร พวกเราก็จะเหนื่อยกันมากเท่านั้น เพราะต้องทำทุกอย่างเพื่อประคองสถานะ ให้สมกับที่เขายกย่องเรา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2013 เมื่อ 17:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 10-09-2013, 16:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,956 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูมีรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อจี ทำงานอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ เขาเป็นตัวแทนชาวพุทธที่นั่น ครั้งล่าสุดเพิ่งได้รับเป็นตัวแทนรับมอบพระไตรปิฎก ที่นอร์เวย์เขามีการจัดกิจกรรมให้ศาสนาต่าง ๆ มานั่งเสวนากัน เรื่องคำสอนของแต่ละศาสนา เอาคำสอนของแต่ละศาสนามาแชร์กัน ล่าสุดพี่เขามีคำถามที่หนูตอบไม่ได้มาถาม จึงอยากกราบขอความเมตตาช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ คำถามมีอยู่ว่า "ท่านมีความเห็นกับคำกล่าวที่ว่า..พระเจ้ามีความสำคัญต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ..อย่างไร ?"
ตอบ : สันติภาพ คือ ภาวะการเข้าถึงความสงบ พระเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง เพื่อให้ทุกคนทำความดี เมื่อทุกคนเข้าถึงความดี ก็จะเกิดความสงบขึ้น ดังนั้น..พระเจ้าและคำสอนของพระเจ้า จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นวัตถุดิบ (Input) ในกระบวนการแห่งสันติภาพ

ถาม : และในฐานะชาวพุทธ เรามีกระบวนการสร้างสันติภาพในแนวพุทธอย่างไร ?
ตอบ : กระบวนการสร้างสันติภาพในแนวพุทธคือ การศึกษาและปฏิบัติในไตรสิกขา

เมื่อเรามีศีลสิกขา (การศึกษาและปฏิบัติในศีล) จะทำให้เรามีกายและวาจาที่เรียบร้อย ไม่เบียดเบียนใคร สันติภาพก็จะเกิดขึ้นส่วนหนึ่ง

เมื่อเรามีจิตตสิกขา (การศึกษาและปฏิบัติในสมาธิ) ก็จะควบคุมใจไม่ให้คิดชั่ว ซึ่งจะช่วยให้เราไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว สันติภาพก็จะเกิดขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

เมื่อเราศึกษาและปฏิบัติในปัญญาสิกขา (การศึกษาและปฏิบัติในปัญญา) ก็จะทำให้เราเห็นจริงว่า ทุกชีวิตล้วนแต่รักสุข เกลียดทุกข์ เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นกัน เราจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่นแม้ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบวนการแห่งสันติภาพก็จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2013 เมื่อ 17:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:54



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว