กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 14-01-2015, 20:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขอธรรมะสำหรับพุทธภูมิครับ ?
ตอบ : สติ..ใช้คำว่าคิดก่อนทำ สมาธิ..ใช้คำว่าอดทนไว้ ปัญญา..ใช้คำว่าให้อภัย "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย" ถ้าไม่มีปัญญา มองไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาทำเป็นโทษทั้งตัวตนเองและผู้อื่นอย่างไร ก็ให้อภัยเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องใช้ปัญญาด้วย

ก็แปลว่าต้องใช้สติ ต้องใช้สมาธิ ต้องใช้ปัญญา สมาธิไม่พอ ความข่มกลั้นก็น้อย ก็ต้องเร่งสมาธิขึ้นอีก ส่วนเรื่องสติที่คิดก่อนทำนี่ ต้องคิดก่อนพูดด้วยนะ "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย"


ถาม : พุทธภูมิมีเท่านี้หรือครับ ?
ตอบ : มีมากกว่านี้หน่อย แต่ทั้งหมดก็เท่านี้แหละ ถ้าหากบอกว่าคิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย โยมตีไม่ถูกหรอกว่าเป็นอะไร ต้องมาแยกให้ฟังว่าแต่ละอย่างคืออะไรถึงจะพอไปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 15-01-2015, 11:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไปสักมา หากต้องการลบออก ?
ตอบ : ก็ลบสิจ๊ะ ถ้าไม่มีครูช่วยสักให้สวย ๆ ได้ก็ลบ ถ้าหากว่ามีครูก็ขอขมาเสียก่อน ต้องบอกว่าตอนทำไม่คิด ทำแล้วค่อยมาคิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 12:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 15-01-2015, 12:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การงานมีอุปสรรค ?
ตอบ : ไปภาวนาพระคาถาเงินล้าน ในพระคาถาเงินล้านมีคาถาปัดอุปสรรคอยู่ด้วย อะไรที่เป็นอุปสรรคจะได้หมด ๆ ไปจากชีวิต จะทำอะไรต้องทำให้จริง ๆ จัง ๆ โดยเฉพาะคุณเป็นทหาร ทุกอย่างต้องเด็ดขาดและแน่นอน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 16:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 15-01-2015, 12:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์แจ้งว่า "เรื่องของสมเด็จองค์ปฐม ๙.๙ นิ้ว หลายคนอยากได้ใบอนุโมทนาบัตร อาตมาออกไม่ได้จ้ะ แม้ว่าเป็นงานวัดท่าขนุน แต่เงินไม่ได้เข้าวัด เพราะเขาเอาเงินไปหล่อพระ การออกใบอนุโมทนาบัตร ถึงเวลาส่งรายงานบัญชีรับจ่ายประจำปี ทางผู้บังคับบัญชาท่านจะตรวจสอบยอดกับใบอนุโมทนาบัตรด้วย เพราะฉะนั้น..เมื่อเงินไม่ได้เข้าวัด ตัวเลขมี แต่เงินไม่มี แล้วออกใบอนุโมทนาบัตร จะกลายเป็นโมฆะได้ ดีไม่ดีจะโดนข้อหาทุจริตด้วย กลายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอีก

หลายคนที่มาทำบุญตรงนี้ (ที่รับสังฆทาน) อาตมาต้องแยกเงินออกถวายให้กับพระมหานันทวัฒน์ไป เพราะระบุว่าสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอก ซึ่งท่านรับเป็นเจ้าภาพในการจัดสร้าง คนทำบุญระบุอะไรมา ก็ต้องทำตามนั้นให้เขา โยมก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกว่าใครเป็นเจ้าภาพทำหรือใครเป็นแม่งาน มาถึงอยากทำบุญก็เทลงตรงนี้เลย เจ้าหน้าที่ก็ปวดหัวเพราะต้องแยกออกให้ตรงกับบัญชี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 16:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 15-01-2015, 12:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทิดตู่สอนการต่อสู้ด้วยมีดสั้น พระอาจารย์กล่าวว่า “การใช้มีดสั้น จะแทงก็ได้ จะปาดก็ได้ จะกรีดก็ได้ แต่อย่าฟันยาว ๆ การเงื้อฟันยาว ๆ อีกฝ่ายจะกันได้ง่าย สำหรับคนที่ไม่เป็นก็ฟันไปเถอะ แต่ถ้าคนเป็นด้วยกันนี่เราไปเงื้อฟันยาว ๆ รับรองได้ว่าพิการ โดนหักแขนแน่นอน..!”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 16:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 15-01-2015, 13:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คำว่าสมมุติสัจจะกับคำว่ากฎของกรรมนี่เป็นตัวเดียวกันไหมคะ ?
ตอบ : กฎแห่งกรรมเป็นความเที่ยงแท้ของการกระทำ ไม่ว่าทำดีหรือทำชั่วก็จะได้รับผลแน่นอน ส่วนสมมุติสัจจะนั้น เป็นสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมา เพื่อสะดวกในการเรียกหาหรือว่าสืบค้น อย่างเช่น สมมุติสิ่งนี้เรียกว่าขัน แต่จะสมมุติเรียกว่าโอ่งก็ได้ ถ้าหากเขาเรียกอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก ก็จะกลายเป็นโอ่ง..ไม่ใช่ขัน

ถาม : แล้วเรื่องของบุญกับบาปละคะ ?
ตอบ : ถ้าเรื่องของบุญบาปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นอภิสังขาร ก็คืออยู่เหนือการปรุงแต่งขึ้นไป เกิดจากการกระทำของเราก็คือกรรม

ถาม : แล้วถ้าบุญกับบาปเป็นสมมุติสัจจะด้วย แล้วก็เป็นกรรมด้วย ?
ตอบ : ถ้าในส่วนของสมมุติ จะเป็นการแยกแยะเพื่อให้รู้ว่า สิ่งนี้คนเขาสรรเสริญว่าเป็นความดี นั่นคือส่วนของบุญ สิ่งนี้คนเขากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี คือส่วนของบาป ถ้าแยกในลักษณะอย่างนั้นก็จะเป็นสมมุติสัจจะ แต่ถ้าในตัวความเป็นจริงก็คือผลของการกระทำนั่นเอง

ถาม : ตัวสมมุติก็คือตัวที่แยกแยะ ?
ตอบ : แยกแยะออกมาเพื่อให้ง่ายในการเรียกหา สืบค้น หรือว่าแนะนำบอกกล่าวคนอื่นเขา

ถาม : แล้วสมมุติว่าคนสรรเสริญว่าเป็นความดี แต่ไม่ได้อยู่ในส่วนของบุญกิริยาวัตถุละคะ ?
ตอบ : ก็ต้องดูด้วยว่าส่วนที่ดีนั้น ดีในลักษณะไหน ระดับไหน ดีในส่วนของทาน ดีในส่วนของศีล ดีในส่วนของภาวนา หรือว่าดีในส่วนของจารีตประเพณี ดีตามกฎหมายบ้านเมือง มีหลายซับหลายซ้อน

ถาม : แล้วการทำดีตามกฎหมายบ้านเมืองถือว่าเป็นบุญด้วยไหมคะ ?
ตอบ : บางอย่างก็เป็นบุญเหมือนกัน อย่างเช่นว่า ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ฆ่าคน ไม่กินเหล้า เพราะกฎหมายบ้านเมืองส่วนหนึ่งก็มาจากพื้นฐานของศีล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 16:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 15-01-2015, 13:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าบุญเป็นสมมุติ ถ้าพ้นจากความดีทาน ศีล ภาวนา ?
ตอบ : ถ้าพ้นดีพ้นชั่วแล้วก็เป็นปรมัตถ์

ถาม : นึกว่าเขากำหนดขึ้นมาเป็นสมมติ พอพ้นจากตรงนี้ก็ไม่มีสัจจะเลย ?
ตอบ : สำหรับคนทั่วไป ถ้าเรากล่าวถึงปรมัตถธรรม เขาจะไม่เข้าใจอะไรเลย ต้องเริ่มไปจากสมมุติทั้งนั้น ก็ต้องเริ่มจากขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย ละเอียดลึกไปเรื่อย ๆ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เพราะว่าเป็นสมมุติสัจจะเป็นจริงตามโลก หรือว่าเป็นจริงตามที่เรากันเรียกขึ้นมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 16:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 15-01-2015, 13:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่น้ำตาร่วงจากการพิจารณาธรรมต่าง ๆ เหมือนอารมณ์ปีติส่วนหนึ่ง ถ้าเราไม่อยากร้องไห้แล้วกระโดดข้ามไปเป็นฌานเลย จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าข้ามไปถึงฌานจะจบเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะไหลตามเหตุการณ์ไปจนกระทั่งลืม ฉะนั้น..พระที่ท่านทรงคุณความดีได้ ท่านก็จะเหลือแต่ธรรมสังเวช ไม่อย่างนั้นลืมตัว กำลังใจตกลงมาอยู่ในระดับล่าง ก็น้ำตาตกเหมือนกับคนทั่วไป

ถาม : นั่นคือสาเหตุที่พระอรหันต์ไม่มีอาการร้องไห้ ?
ตอบ : ของท่านเองท่านพ้นสุขทุกข์ไปนานแล้ว ไม่มีอะไรทำให้หวั่นไหวได้แล้ว ได้แต่ อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทะวะยะธัมมิโน เกิดขึ้นก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา อุปัชชิตะวา นิรุชฌันติ มีเกิดแล้วก็ต้องมีดับ เตสัง วูปสะโม สุโข การเข้าถึงความสงบระงับอย่างแท้จริงเป็นสุขยิ่งหนอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 16:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 15-01-2015, 13:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระอรหันต์หัวเราะเป็นกิเลสไหมคะ ?
ตอบ : ท่านพ้นไปแล้วจากการปรุงแต่งทั้งปวง จะเอาอะไรมาเป็นกิเลส ? ในส่วนของการแสดงธรรมมีอย่างหนึ่งคือให้รื่นเริงในธรรม หลักการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าประกอบไปด้วย สันทัสสนา ชี้แจงให้เห็นอย่างเจ่มแจ้ง เหมือนอย่างกับหงายของที่คว่ำหรือตามประทีปในที่มืด สมาทปนา จูงใจให้กระทำตาม ได้ยินแล้วอยากทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง สมุตเตชนา เกิดความกล้าหาญ ความพากเพียรที่จะทำเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น สัมปหังสนา เกิดความรื่นเริง ชื่นอกชื่นใจ ไม่เบื่อไม่หน่ายที่จะทำ

ฉะนั้น..ในส่วนของการหัวเราะก็คือในส่วนของสัมปหังสนา บางทีท่านเรียกว่ารื่นเริงในธรรมหรือว่าธรรมปีติ เพียงแต่ว่าเป็นปีติแสดงออกภายนอก นางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างบุพพาราม โดยเฉพาะตัวอาคารคือมิคารมาตุปราสาทเสร็จแล้วก็ปลื้มอกปลื้มใจ แทนที่จะทักษิณาวรรตธรรมดา นางวิสาขาก็รำไปร้องเพลงไป บรรดาพระทั้งหลายก็ว่า "
สงสัยว่ามหาอุบาสิกาจะโรคดีกำเริบ ปกติไม่เคยแสดงอาการอย่างนี้" พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า นางกำลังปีติอยู่ ที่ได้สร้างมหาปราสาทถวายแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 15-01-2015, 14:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในแง่ของการพิจารณาวิปัสสนาญาณ ตัวนิพพิทาญาณที่เกิดอารมณ์หมอง เศร้า เบื่อหน่าย เราจะต้องกระโดดเข้าฌานไปเลยหรือปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : ถ้าถึงตรงนั้นควรที่จะแช่รักษาเอาไว้ให้มั่นใจจริง ๆ ก่อน ว่าสิ่งนี้น่าเบื่อน่าหน่าย หลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาพิจารณาดู ว่าการที่เรามีชีวิตอยู่ ก็เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้ น่าระอาใจอย่างนี้ ถ้าเราสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ เป็นการตัดการเวียนว่ายตายเกิดที่นับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ การที่เรามีชีวิตอยู่นี่อย่างไรก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี เปรียบกับการเวียนตายเวียนเกิดนับกัปไม่ได้ ก็แค่แว่บเดียวเท่านั้นเอง ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้

ถ้าใช้ปัญญาต่อก็จะก้าวข้ามไปได้ ไม่อย่างนั้นบางคนก็เบื่อ ๆ ๆ ๆ หาทางออกไม่ได้ ฆ่าตัวตายไปเลยก็มี บางรายกำลังใจตีกลับ จากเบื่อกลายเป็นอยากอีก ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังมากกว่า คือ เบื่อ ๆ อยาก ๆ


ถาม : เวลาเราอยู่เฉย ๆ เราก็ไม่รู้สึก เราก็ไม่เข้าใจ ไม่ได้อารมณ์นั้น แต่พอเราได้อารมณ์นั้นก็ฟุ้งอีก ปัญญาก็ไม่เกิดแล้วค่ะ แค่รู้สึกได้เท่านั้นเอง ทำอย่างไรถึงจะได้ในปัญญานั้นเลยคะ ?
ตอบ : สติกับสมาธิ ถ้าสติกับสมาธิทรงตัว ปัญญาก็จะเห็นชัดเจน จิตใจยอมรับได้ง่าย สรุปลงที่สมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวตั้งมั่น สติก็แหลมคม ปัญญาก็ว่องไว "รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้ รู้แท้เอาไว้ทั้งแก้ทั้งกัน" ต้องมองทะลุไปให้ได้

อย่างเช่นว่า เขามาร้องเพลงพระคุณที่สาม ก็นั่งน้ำตาไหล โอหนอ..การเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ เสียน้ำตาชาติละไม่กี่หยด กว่าจะถึงพระนิพพานรวมแล้วน้ำตามากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก เรื่องที่มีโทษก็กลายเป็นมีประโยชน์ไปได้


ถาม : แต่ยิ่งทำให้เห็นทุกข์หนักเข้าไปอีกสิครับ ?
ตอบ : เห็นทุกข์ก็ดีแล้ว ไม่เห็นทุกข์แล้วจะเบื่อหรือ ? พอเห็นทุกข์เห็นโทษ ก็เกิดความเบื่อหน่าย อยากจะหนีไปให้พ้น ตะเกียกตะกายหาช่องทางที่จะหนี

ถาม : แล้วรู้ก็ไม่ช่วยอะไรด้วยเพราะยังไม่เกิดปัญญา ?
ตอบ : รู้แล้วทำให้เครียดหนักขึ้น รู้ ๆ อยู่แต่ทำไมทำไม่ได้ กำลังไม่พอ ก็เหมือนคนขาสั้นจะข้ามกำแพง เขย่งเท่าไรก็ข้ามไม่ได้สักที ต้องพยายามต่อขาขึ้นไปอีกหน่อย สร้างสติ สมาธิ ปัญญา เพิ่มขึ้นอีก เดี๋ยวก็ข้ามไปได้เอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2015 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 16-01-2015, 12:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเดินจงกรมมีจุดมุ่งหมายเพื่อสติปัฏฐาน ?
ตอบ : เอาสติอยู่กับการเคลื่อนไหว ถ้าเราเอาสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ส่งไปในอดีต ไม่ส่งไปในอนาคต ความฟุ้งซ่านที่ก่อให้เกิดทุกข์ก็ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่เกิด ถ้าความชั่วใหม่ไม่เกิด ความชั่วเก่าโดนการพยายามขัดพยายามเกลา ท้ายสุดก็หมดไป เพียงแต่ว่าเราจะเป็นประเภทเดินไปฟุ้งไปหรือเปล่า ?

ถาม : แล้วตรงจุดนั้นต่างกันอย่างไรกับสมาธิครับ ?
ตอบ : ก็คือการสร้างสมาธิ แต่เป็นสมาธิในการเคลื่อนไหว ถ้าทำได้ก็จะมั่นคงกว่าการนั่ง เพราะว่าการนั่งนิ่ง ๆ ถ้าเราเคลื่อนไหว สมาธิอาจจะหลุดจะถอนไปได้ แต่ถ้าสมาธิเกิดในขณะที่เคลื่อนไหว ก็จะมั่นคงมากกว่า

ถาม : แสดงว่าสติกับสมาธิต้องควบคู่กันไป ?
ตอบ : เป็นของที่ทิ้งกันไม่ได้ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องไปด้วยกัน ถ้าไม่มีศรัทธาก็ไม่เกิดวิริยะ ก็คือไม่อยากที่จะพากเพียรไปทำ พากเพียรทำไป สติก็ค่อย ๆ สมบูรณ์ขึ้น สมาธิก็ทรงตัวมากขึ้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น

ถาม : ถ้าอย่างนั้นการที่เราขี้เกียจปฏิบัติเป็นเพราะศรัทธาไม่พอ ?
ตอบ : แน่นอน..ศรัทธาไม่พอไปจนถึงปัญญาไม่พอ สรุปแล้วไม่พอทุกตัวตั้งแต่ต้นยันปลายเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-01-2015 เมื่อ 18:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 16-01-2015, 12:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตัวสมาธิทำให้มีสติ แล้วสติทำให้แยกแยะได้ระหว่างที่เราพิจารณาอยู่ ?
ตอบ : สติทำให้รู้ยั้งคิด เมื่อฉุกคิดขึ้นมาก็ไม่ไหลตามกระแสกิเลสไป การจะไม่ไหลตามกระแสกิเลส ต้องมีสมาธิเป็นตัวช่วยรั้งไว้ ไม่อย่างนั้นกำลังของเราจะไม่พอในการยับยั้งชั่งใจ ในเมื่อกำลังของสมาธิเพียงพอ ปัญญาเกิด ก็สามารถที่จะตัดจะหั่นอะไรได้ง่ายขึ้น

ถาม : แล้วเวลาที่เราเคลื่อนไหว สมาธิหลุดเพราะเราไหลไปตามกิริยานั้นถูกไหมคะ ?
ตอบ : ต้องเรียกว่าเราสร้างสมาธิจากการเคลื่อนไหว แต่คราวนี้พวกเราพอถึงเวลาสมาธิทรงตัวแล้ว เรารักษากำลังใจไม่เป็น พอไปเคลื่อนไหวก็เลยหลุดหมด จึงต้องไปเริ่มต้นใหม่จากการเคลื่อนไหว จนกลายเป็นสมาธิอีกทีหนึ่ง

ถาม : เคยลองหลับตาเดิน ?
ตอบ : ถ้าหลับตาเดินเดี๋ยวก็ร่วง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2015 เมื่อ 16:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 16-01-2015, 12:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการสร้างพระขรรค์อาตมาจำขึ้นใจเลย ถ้าบุญไม่ถึงบารมีไม่ถึงอุปสรรคเยอะอย่าบอกใคร ขนาดหลวงพี่นิลท่านทุ่มทั้งชีวิต ตามจี้ติดอยู่ตลอดเวลายังปาเข้าไปปีกว่าถึงจะเสร็จ บางทีช่าง ๒-๓ คนป่วยพร้อมกันหมด ป่วยแบบไม่มีสาเหตุ ทำงานไม่ได้ ต้องไปบวงสรวง ต้องไปขออนุญาตกันรอบแล้วรอบเล่า เป็นอะไรที่โหดสุด ๆ ช่างที่เคยทำงานร่วมกันมาดี ๆ รู้ใจกัน แต่ถึงเวลาแล้วเบี้ยวงานเฉยเลยก็มี..!”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2015 เมื่อ 16:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 16-01-2015, 18:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์พูดกับโยมคนหนึ่งที่ไม่ได้มาร่วมงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "นี่..คนนี้ขี้เกียจ อยู่ที่บ้านใช้วิธีส่งใจมาแทน"

ถาม : หนูอยู่ที่บ้านตรวจสอบว่าการถ่ายทอดทางเว็บเป็นอย่างไรบ้างค่ะ ตอนหนูขึ้นไปก็สงสัยว่าหายไปไหนกันหมด ?
ตอบ : อาตมาขึ้นไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ อ้าว..ท่านปู่ก็ไม่อยู่ ท่านย่าก็ไม่อยู่ พี่ ๆ ก็หายหมด..ไปไหนกัน ? ปรากฏว่าเทวดาท่านมาตาม บอกว่าวันนี้ประชุมเทวสภาครับ ต้องตามไปยันเทวสภาโน่น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2015 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 16-01-2015, 18:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่อาตมายังเป็นฆราวาส พอถึงวันที่ ๓-๔-๕ ธันวาคม จะรักษาศีลแปดถวายในหลวง ๓ วัน พอเป็นทหารแล้ว ต้องถวายความจงรักภักดี มีสวนสนาม มีสาบานธง มีกองเกียรติยศ อาตมาอยู่กองเกียรติยศสองปีซ้อน เวลาแต่งเต็มยศร้อนอย่าบอกใครเลย ต้องซักซ้อมเป็นเดือน ๆ กว่าจะพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2015 เมื่อ 02:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 17-01-2015, 11:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ช่วยคนแค่ไหนถึงจะเรียกว่าไม่ล่วงกรรมใครคะ ?
ตอบ : เอาแค่ไม่เกินความสามารถของเราแล้วกัน จะอย่างไรลองว่าช่วยเขาก็ล่วงกรรมอยู่แล้ว

ถาม : แล้วการถวายพระราชกุศลให้ในหลวง ?
ตอบ : ถวายไปเถอะ หลายคนช่วยกันก็เหมือนกับมดแบกช้าง ถึงอย่างไรก็แบกไปจนได้แหละ หลายคนช่วยกันงานหนักก็กลายเป็นเบา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2015 เมื่อ 21:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 17-01-2015, 11:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ชื่นใจว่าศิษย์ได้ดีเป็นมานะไหมคะ ?
ตอบ : มุทิตาจิต ด้วยความปรารถนาดี

ถาม : ความคาดหวังถือว่าเป็นมานะ ?
ตอบ : ทำก็ต้องหวัง อย่างน้อย ๆ สิ่งที่หวังก็ยังเป็นคุณความดีอยู่ แม้ว่ายังเป็นคุณความดีเบื้องต้นก็ขอให้ได้ทำ ไปนึกถึงครูสมัยก่อน ถึงเวลาลูกศิษย์เรียนอ่อน ก็ต้องบังคับให้มาเรียนในวันหยุด แล้วครูก็ต้องเลี้ยงข้าวด้วย เงินก็ไม่ได้สักบาท เพราะสมัยนั้นเขาไม่เรียกว่ากวดวิชาอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งอาตมามาเรียนมัธยมแล้ว เขาถึงได้มีการเรียนทไวไลท์ อาตมาก็คิดว่าอะไร ไม่เข้าใจ ตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นการเรียนภาคค่ำนอกเวลา

โรงเรียนกวดวิชาเพิ่งจะมานิยมสมัยหลังนี่เอง แต่พอมีแล้วกลายเป็นว่ามีความต่างอย่างชัดเจน เพราะว่าอาจารย์ของพวกโรงเรียนกวดวิชา ส่วนใหญ่สามารถทำของยากให้ง่าย ในเมื่อทำของยากให้ง่าย เด็กเรียนแล้วเข้าใจง่าย ก็ไปกวดวิชากันใหญ่ อย่างของเกาหลีใต้มีอาจารย์ท่านหนึ่ง มีลูกศิษย์ทั่วประเทศป็นแสน นั่นต้องกวดวิชาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-02-2015 เมื่อ 19:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 17-01-2015, 12:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องตะปิ้งให้ฟังว่า "ในงานเทศน์ ๒ ธรรมมาสน์ โยมเขาส่งคำถามมา ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงถามต่อว่า “เอาตะปิ้งไปหล่อพระได้บุญหรือเปล่า ?” หลวงปู่พระครูโว (พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงสาวาส) ท่านก็ตอบว่า “แล้วเขาไหว้เอ็งได้บุญหรือเปล่า ?” หลวงพ่อท่านก็ว่า “อ้าว..ผมเป็นพระสงฆ์ ไหว้ผมก็ต้องได้บุญสิ” หลวงปู่ท่านว่า “เออ..นั่นแหละ ตะปิ้งหล่อเป็นพระพุทธ ไหว้ก็ต้องได้บุญ” หลวงพ่อท่านก็ว่า “ได้บุญอย่างไร ? ตะปิ้งมันคาดตรงนั้นของเด็ก ?” หลวงปู่พระครูโวท่านตอบว่า “ทีเอ็งยังออกมาจากตรงนั้นทั้งตัวเลย..!”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2015 เมื่อ 21:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 17-01-2015, 13:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จักเด็กหญิงต้นข้าวไหม ? เด็กหญิงต้นข้าว ยอดระบำ ตายไปแล้ว คุณวีระศักดิ์ ยอดระบำ (พ่อของต้นข้าว) ไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ทำนาทำไร่ ปลูกผักไม่ใช้สารพิษ แล้วก็เลี้ยงลูกมาด้วยวิธีให้อยู่กับธรรมชาติ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ปล่อยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแล้วหายเอง พอเขาทำตัวลักษณะอย่างนั้นแล้วข่าวดังออกไป บรรดาเพื่อน ๆ จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเยี่ยม เลยเอาโรคไปติดหลาน ทำเอาต้นข้าวตายเลย เพราะว่าพ่อเขาใช้วิธีปล่อยให้หายเอง ให้ร่างกายสร้างภูมิเอง ก่อนหน้านี้ก็ทำได้มาตลอด พอไปเจอเชื้อหนัก ๆ เข้าก็ไปเลย

เสียดายมาก ต้นข้าวกำลังรู้ความเลย โตมาได้ ๕-๖ ขวบแล้ว แม่สอนหนังสืออยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปเรียนหนังสือกับเขาหรอก เพราะบ้านอยู่ไกลมาก กว่าจะออกแม่น้ำแหม่นอโกร กว่าจะถึงหมู่บ้านข้างนอก ระยะทางไกลมาก เวลาเพื่อน ๆ จะเข้าไป ถ้าหน้าฝนก็ต้องไปเรือ ถ้าหน้าแล้งก็ต้องไปรถขับเคลื่อน ๔ ล้อ

คุณวีระศักดิ์พยายามทำตัวให้เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่น ในลักษณะของเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกพืชอาหารของตัวเอง ปลูกข้าวของตัวเอง สีข้าวเอง ใช้เครื่องมือสีข้าวแบบของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงเวลาทำเครื่องมือสีข้าวเขาจะตัดไม้มาท่อนหนึ่ง แล้วก็บากรอยทำเป็นตัวฟันเฟือง ถึงเวลาก็เจาะรูให้ข้าวไหลลงไปทีละน้อย ชักให้หมุนแล้วเฟืองก็ขบเปลือกข้าวแตกได้ ถ้าใช้ครกตำก็ลำบากหน่อย ใช้สีเอาก็ง่ายหน่อย แต่ก็เหนื่อยพอกัน เขาเองอยู่กันอย่างมีความสุขกันพ่อแม่ลูก แต่ว่าเพื่อน ๆ ไปเยี่ยม เอาโรคไปติดหลาน

เขาก็พยายามที่จะสอนลูก ๆ ให้รู้ ให้กระดาษไปก็วาดรูปโน่นวาดรูปนี่ ต้นข้าวยังบอกแม่ว่า “ต้นข้าวจะไปเป็นดาวบนท้องฟ้า” เลยไปเป็นจริง ๆ ไม่รู้น้องชายเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิดน้องชายต้นข้าวชื่อต้นโพธิ์ คุณวีระศักดิ์เขียนหนังสือดี ๆ หลายเล่ม เช่น คืนสู่ขุนเขาและสายน้ำ ใช้นามปากกาว่า คืนญางเดิม คำว่าญางตัวนี้ก็คือกะเหรี่ยง กลับคืนเป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิม ตอนช่วงที่เขียนพวกเรื่องสั้นลงคอลัมน์ต่าง ๆ บางทีก็ใช้ชื่อจริง วีระศักดิ์ ยอดระบำ ลองไปค้นหาข้อมูลดูว่าแกไปถึงไหนแล้ว

คุณวีระศักดิ์ใช้ชีวิตลักษณะไม่ต้องมีเงินก็อยู่ได้ มีข้าวเปลือกตุนเข้ายุ้งก็สบายแล้ว ที่เหลือก็ปลูกพืชอาหารอื่น ๆ ปลูกฟักทอง ปลูกฟักเขียว ปลูกข้าวโพด ปลูกกระเจี๊ยบเต็มไร่ไปหมด เวลาลุงป้าน้าอาไป ต้นข้าวก็พาไปบอกว่าต้นไหนกินได้ ต้นไหนกินไม่ได้ เป็นเด็กที่ฉลาดมากเลย แปลกมาก..เด็ก ๆ ที่อยู่กับธรรมชาติแบบนั้นอย่างพวกเด็กกะเหรี่ยง เด็กม้ง แต่ละคนแก้มแดงทั้งนั้น เหมือนอย่างกับอาหารดี อากาศดี

มีหนังสือของเด็กหญิงต้นข้าวอยู่ ลอง ๆ ไปหามาอ่านดู เขาเขียนถึงลูก ถ้าต้นข้าวยังอยู่ก็น่าจะ ๑๐ กว่าขวบ ต้องบอกว่าเป็นการทดลองที่ใช้ชีวิตตัวเองและครอบครัวเป็นเดิมพัน ว่าจะอยู่ได้ไหม ? อยู่กับธรรมชาติ อยู่แบบไม่พึ่งพาเงินทอง ถึงเวลาพืชผลเหลือก็เอาไปขาย แลกเกลือแลกน้ำมันมาใช้เท่านั้น ส่วนอื่น ๆ เขาปลูกเองในไร่"


__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2015 เมื่อ 04:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 17-01-2015, 13:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,300 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอคุยเรื่องนี้แล้วนึกถึงท่านโมเช่ ท่านโมเช่ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวเปล่า แต่ละปีนี่เลี้ยงพระเป็นสิบ ๆ รูป ตอนนี้ยังบวชอยู่ ตอนช่วงนั้นท่านโมเช่ทำตัวเหมือนตาฤๅษี ถึงเวลาก็ไปสร้างกระต๊อบอยู่ ขนาดบ้านตะเพินคี่อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว แกยังข้ามเขาไปอีก ๓ ลูก ไปอยู่กลางป่าที่มีน้ำซับอยู่ พระธุดงค์ผ่านไปก็ติดใจ ไปอาศัยอยู่กับแก แกก็พาไปภาวนาอยู่ถ้ำโน้นถ้ำนี้บ้าง ในรัศมีประมาณ ๑๐-๑๒ กิโลเมตร แกเดินไปส่งข้าวทุกที่เลย

บางทีข้าวหมด อาตมาก็เอาเงินให้บอกว่า “โมเช่..ไปซื้อข้าวในหมู่บ้านมาสัก ๒ ถังสิ” แกบอกว่า “ไม่ต้องหรอก” แล้วก็คว้ากระสอบไป เดี๋ยวเดียวก็แบกมาแล้ว ไปขอเขาเฉย ๆ ชาวบ้านเขาทำบุญให้กับแกเหมือนอย่างกับทำบุญกับพระ เพราะรู้ว่าส่วนใหญ่แกเอามาเลี้ยงพระ เหลือเชื่อจริง ๆ ไม่ใช้เงินไม่ใช้ทองอะไรเลย สามารถเลี้ยงพระได้เป็นสิบ ๆ รูป

ที่ขำ ๆ ก็คือ พออาตมาเอาของสมัยใหม่เข้าไป แกไม่รู้จัก แต่แกเป็นคนช่างซักถาม อันนี้กินอย่างไร ? ทำอย่างไร ? เห็นพวกเราเดี๋ยวก็กินพวกอาหารผง ต้มบะหมี่ พอไปเจอผงซักฟอกซองเล็กก็ถาม “อันนี้กินอย่างไร ?” ฮ่วย..อันนี้เขาไว้ซักผ้า..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-02-2015 เมื่อ 19:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว