กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 22-05-2011, 10:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : กำลังใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ?
ตอบ : ของอย่างนี้ต้องเข้าถึงเอง ถึงจะรู้ว่ากำลังใจที่ล่วงพ้นทั้งสุขและทุกข์นั้นคือความสุขที่แท้จริง เป็นอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ทรงตัวมั่นคงแล้ว

ในเมื่อรัก โลภ โกรธ หลงกระทบกระทั่งไม่ได้ ความยินดียินร้ายกระทบกระทั่งไม่ได้แล้ว สิ่งนั้นคือความสุขที่แท้จริง ท่านใช้คำว่า อโสกัง ไม่มีความโศกเศร้าอีกแล้ว วิรชัง ผ่องใสปราศจากธุลี เขมัง เกษมแช่มชื่นเบิกบาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 16:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 22-05-2011, 11:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีแต่คนกลัวภัยธรรมชาติจะเกิดกับประเทศไทย ขอยืนยันว่าไม่ต้องกลัว บ้านเราโชคดีมหาศาล ประการแรก เรามีองค์ในหลวงที่ทรงทศพิศราชธรรม เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ บารมีของพระองค์ท่านคุ้มประเทศได้

ประการที่สอง เรามีหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าถึงวาระสำคัญท่านเหล่านี้ยอมทิ้งขันธ์เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศ จากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย ช่วงระยะเวลาที่ไม่นานผ่านมา เราก็จะเห็นหลวงตามหาบัวมรณภาพ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามมรณภาพ หลวงปู่ครูบาผัดมรณภาพ ล่าสุดก็คือหลวงปู่ทอง วัดสำเภาเชยมรณภาพ

ช่วงก่อนหลวงปู่ทองมรณภาพ ฟ้ามืดอยู่ ๒ วัน โยมเขาโทรมาถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น ? อาตมาบอกว่าพระที่เป็นเสาหลักของปักษ์ใต้จะมรณภาพแล้ว ให้สังเกตเอาไว้ว่าจริงไหม ? ที่กล้าเล่าเพราะเรื่องเลยไปแล้ว ถ้ายังไม่ถึงก็จะไม่บอก เพราะว่าจะทำให้แตกตื่นกันไปเปล่า ๆ

เพราะฉะนั้น..เรามีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ เมื่อถึงวาระสำคัญท่านยอมสละตนเองเพื่อความสุขของคนส่วนรวม ถามว่าท่านสละตนเองอย่างนั้นท่านลำบากไหม ? พระที่ปฏิบัติถึงระดับแล้วไม่มีท่านใดต้องการอยู่หรอก พูดง่าย ๆ คือได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ท่านเองก็พ้นจากร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ขณะเดียวกันก็ช่วยตัดกรรมหนักของชาติบ้านเมืองลงไปได้ โดยเฉพาะพระระดับใหญ่อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ใครจะไปนึกว่าพระใหญ่ระดับนั้นจะเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มรณภาพแล้วไปดีได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2011 เมื่อ 15:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 22-05-2011, 11:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเป็นมะเร็ง การเจ็บปวดจากโรคมะเร็งนี่อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ถูก อย่าลืมว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์สืบสายจากหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ภาษิตจีนเขาว่า ภายใต้เงื้อมมือของขุนพลเข้มแข็งไม่มีทหารอ่อนแอ

เมื่อหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเจ็บปวดจากมะเร็ง มีวิธีก็คือหนีความเจ็บปวด ในเมื่อเข้าสมาธิหนีแล้ว ถึงเวลาออกมาก็ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอีก ท้ายสุดเมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีพิจารณาให้เห็นว่าธรรมดาของร่างกาย มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นปกติอย่างนี้ ไม่เสียทีที่ท่านเป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ ไม่เสียทีที่ท่านจบเปรียญธรรม ๙ ประโยครุ่นแรก ๆ เพราะว่าพอถึงเวลาปฏิบัติจริงท่านก็ทำได้ดี

อาตมาไปสรงน้ำท่านวันแรกเลย ก่อนน้ำหลวงพระราชทานนิดเดียว เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านมาสว่างมาก ยังคิดว่า "ท่านไปสวยดีจัง" พอดีเขาพูดกันว่า ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านบอกกับพระและญาติโยมว่า ท่านหมดภาระแล้ว

ประการสุดท้ายก็คือ พวกเรามีคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก บุคคลที่มั่นคงในคุณพระศรีรัตนตรัยจริง ๆ จะไม่เป็นอันตรายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ ยกเว้นว่าหมดอายุขัย และอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ท้าวจาตุมหาราชท่านเคยให้พรไว้ว่า "บุคคลใดก็ตาม ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต"

พวกเราดีในเรื่องที่ว่า ขณะทำสิ่งที่เป็นกองบุญการกุศลแล้ว เราก็อุทิศส่วนกุศลให้กับเทพเจ้าที่ปกปักรักษาพวกเรา เทพเจ้าทั่วสากลพิภพ ตลอดจนพระยายมราช ก็แปลว่าเราต่อสายสัมพันธ์ มีการเชื่อมโยงถึงท่านอยู่ตลอดเวลา อย่างไรเสียถ้าถึงเวลาท่านก็ไม่ทิ้งเราแน่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 02:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 22-05-2011, 11:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"แต่ว่าต้องปฏิบัติให้จริง ปัจจุบันนี้มีอยู่ส่วนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์เก่าตั้งแต่สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย ต้องบอกว่าเกิดจากการทำไม่จริง ถ้าคนทำจริงแล้วทุ่มเท พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว อย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี ก็ต้องบรรลุระดับใดระดับหนึ่ง ใครทำ ๗ ปีแล้วยังไม่ได้อะไรเลยขอให้รู้ว่า ถ้าไม่ทำขาดก็ทำผิดไปเลย

อย่างที่เมื่อคืนก่อนบรรยายไปว่า จะขาดในเรื่องของขันติบารมี วิริยบารมีและปัญญาบารมี ๓ ตัวนี้ขาดกันมาก ไม่มีความอดทนอดกลั้น ไปหาพระหาเจ้าอยากให้ท่านเสกเพี้ยงเดียวเป็นพระอรหันต์เลย ถ้าเป็นอย่างนั้นได้พระพุทธเจ้าคงเอาพวกเราไปหมดแล้ว พระองค์ท่านตรัสไว้ชัดแล้ว สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของจำเพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำอีกบุคคลหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่

แปลว่า เราต้องใช้ความพากเพียรพยายาม ความอดทนอดกลั้น ทุ่มเทปฏิบัติ และต้องทุ่มเทให้ถูกทางด้วย ไม่อย่างนั้นก็แปลว่า เราขาดปัญญาบารมีจริง ๆ คือทำผิดทาง กลายเป็นเหนื่อยเปล่า

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็ต้องผิดบ้างถูกบ้างไปเรื่อย จนกว่าจะไปถึงระดับหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแท้จริง คราวนี้ก็จะรีบเร่งกันหัวไม่วางหางไม่เว้น เพราะกว่าจะรู้ก็มักจะเป็นวาระท้าย ๆ ของชีวิตแล้ว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2011 เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 22-05-2011, 12:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ อย่าได้ประมาทแม้แต่วินาทีเดียว อย่างวันนี้ที่โยมถาม เขาสังเกตว่าบุคคลที่ฝึกมโนมยิทธินั้นส่วนใหญ่ใช้ผิด อาตมาก็รับรองกับเขาว่าใช่..ใช้ผิด มโนมยิทธินี่เป็นพื้นฐานของอภิญญา คนชอบทางฤทธิ์ชอบอภิญญาที่ไม่ซนไม่มีหรอก พอได้มาก็คันไม้คันมือ ใช้มั่วตามวิสัยของตัวเอง

แต่คราวนี้ตามความหวังของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านสอนมโนมยิทธินั้น เพราะว่ามโนมยิทธิเป็นวิธีไปนิพพานที่ง่ายที่สุด เรารู้จักนิพพานได้ เราไปนิพพานตรง สามารถจดจำอารมณ์พระนิพพานแล้วนำมาปฏิบัติได้ ถ้าหากว่าเราทำถึงเมื่อไรเราจะทราบทันทีว่าเราถึงแล้ว เพราะเราเคยชินกับอารมณ์นั้น

การส่งจิตขึ้นพระนิพพานเป็นการตัดกิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณา เพราะว่าพวกเราไม่ถนัดในการใช้วิปัสสนาญาณ เราถนัดแต่เรื่องของสมาธิสมาบัติ ถามว่าสมาธิสมาบัติตัดกิเลสได้ไหม ? ได้..ถ้าเราสามารถกดกิเลสไว้ได้ต่อเนื่องยาวนานพอ กิเลสเกิดไม่ได้ก็เฉาตายได้เหมือนกัน เขาเรียกว่า บรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังข่มกิเลสไว้ เหมือนเอาหินทับหญ้า ถ้าทับได้นานพอหญ้าก็ตายไปเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 22-05-2011, 12:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ส่วนการพิจารณาวิปัสสนาญาณนั้นเป็นปัญญาวิมุติ คือเมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วจิตยอมรับ ก็จะปล่อยวางลงได้ ทั้งสองอย่างนั้นความจริงต้องทำร่วมกัน แต่เราถนัดด้านเดียวก็คือเรื่องของสมาธิ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้คิดค้นวิชาการที่เหมาะสมกับพวกลูกหลานอย่างพวกเรา ก็คือใช้สมาธิเป็นหลัก ส่งจิตขึ้นไปเกาะนิพพาน ซึ่งจะเป็นอารมณ์ที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง จริง ๆ

หลวงพ่อท่านเชื่อว่าพวกเราฉลาดพอ เชื่อว่าพวกเราจะเลือกได้ถูกต้อง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไปใช้ผิด พอได้แล้วแทนที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส ก็เที่ยวไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา ดูแค่นั้นก็ยังพอทน แต่ว่ามีส่วนหนึ่งไปฟื้นความสัมพันธ์เก่าขึ้นมาอีก ทีนี้ก็ยุ่งกันไปใหญ่

แทนที่จะหลุดก็ยิ่งเกาะกันนัวเนียหนักขึ้น ถามว่าแล้วมีโทษหรือไม่ ? โทษใหญ่ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ ยากที่จะหลุดพ้นได้ เพราะว่าภาระทั้งเก่าทั้งใหม่จะผูกเข้ามามากขึ้น ที่โยมเขาว่ามา อาตมาถึงได้รับรองว่าใช่ ส่วนใหญ่เราใช้ผิด นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าใช้ถูกก็เป็นการตัดกิเลสที่ง่ายจนไม่มีอะไรจะง่ายกว่านี้อีกแล้ว และเหมาะสมกับกำลังใจของพวกเราอย่างที่สุด

ดังนั้น..ในเรื่องของมโนมยิทธิ ถ้าหากว่าจะดูอดีต จะระลึกชาติ ก็ใส่ปัญญาประกอบไปด้วยว่า แต่ละชาติของเรามีชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง ชาตินี้เราก็ทุกข์อยู่แล้ว เกิดอีกก็ทุกข์อีก พอหรือยัง ? เข็ดหรือยัง ? ถ้าพอแล้วเข็ดแล้ว ชาติปัจจุบันนี้เราควรจะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เพื่อพระนิพพานเสียทีหรือยัง ? ถ้าได้คำตอบแล้วต้องรีบตะกายให้สุดชีวิต เพราะว่าเรามัวแต่สนุกจนกระทั่งเวลาเหลือน้อยมากแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2011 เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 22-05-2011, 12:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อย่าลืมว่าชีวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเดียวเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเหมือนกัน ความตายมาจ่อประชิดติดตัวขนาดนี้แล้ว ถึงเวลายังไปห่วงว่า ตายแล้วเขาจะเผาเราหรือเปล่า ? ไม่ต้องห่วง..เขาไม่เก็บไว้หรอก เผาแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องรีบเร่งรัดตัดทางเข้าหาพระนิพพานให้เร็วที่สุด

การอยู่ในโลกนี้แม้แต่วินาทีเดียวก็เต็มไปด้วยความทุกข์ อยู่นาทีหนึ่งก็ทุกข์นาทีหนึ่ง อยู่ชั่วโมงหนึ่งก็ทุกข์ชั่วโมงหนึ่ง อยู่วันหนึ่งก็ทุกข์วันหนึ่ง เราย่ำเท้าอยู่บนกองทุกข์แท้ ๆ เราดำเนินชีวิตอยู่บนกองทุกข์แท้ ๆ โดนความทุกข์แผดเผาอยู่ตลอดเวลาเหมือนอยู่ในบ้านที่ไฟไหม้ ควรจะรีบหนี หรือว่านอนสบายรอให้ไฟไหม้มาถึงหัว ?

เรื่องพวกนี้เรามีปัญญาพอที่จะพิจารณาได้ แต่ให้ตระหนักไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่พอว่ากันครั้งหนึ่งก็ได้สติครั้งหนึ่ง ถึงเวลาก็เพลิดเพลินเจริญใจกันต่อ ถ้าอย่างนั้นถ้าครูบาอาจารย์ล่วงลับไป แล้วใครจะมาเตือนสติพวกเราอีก

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกแล้วว่า ฟังแล้วจำ จำแล้วคิด คิดแล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วย ใครฟังเทปฟังซีดีหรืออ่านหนังสือของท่าน จะเจอข้อความทั้งหลายเหล่านี้อยู่เป็นประจำ อย่าปล่อยให้ผ่านหูผ่านตาไปเฉย ๆ

ฟังสิ่งที่ท่านสอนให้เหมือนอย่างกับว่าท่านสั่งให้เราทำ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป อย่าฟังคำสอนเป็นคำสอน ถ้าฟังคำสอนเป็นคำสอนเราอาจจะทำเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าฟังคำสอนเป็นคำสั่งเราจะต้องทำเดี๋ยวนั้น เอาอย่างทหารคือ..รับคำสั่ง ทำทันที ไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นถึงจะมีโอกาสที่จะหลุดรอดจากวัฏสงสารได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2011 เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 23-05-2011, 20:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านวิริยบารมีนี้ สำหรับบางคนแล้วมายากขึ้น แต่อีกหลายคนมาสะดวกขึ้น ก็เลยมาทุกวัน วันละสามรอบ เพราะบ้านอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง แสดงว่ามีประโยชน์สำหรับบางคนเช่นกัน

ถึงแม้จะมาลำบาก แต่พอเคยชินแล้วก็จะเหมือนกับอยู่ใกล้ เมื่อคราวอาตมาไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ รู้สึกว่าไกลน่าดูเลย เพราะจากตัวจังหวัดกาญจนบุรีต้องวิ่งไปทองผาภูมิ ๑๔๐ กิโลเมตร แต่พอไปอยู่นาน ๆ เข้าก็เคยชิน จากไกลก็เหมือนกับใกล้ เดี๋ยวเดียวก็ถึง ก่อนหน้านั้นนั่งรถเท่าไรก็ไม่ถึงเสียที

ลักษณะก็เหมือนกับการปฏิบัติ ระยะแรก ๆ ที่ภาวนา พอทรงฌานได้ก็เริ่มสนุก ตื่นเต้นมาก เหมือนตัวเองได้อะไรเยอะแยะ ได้อะไรมโหฬาร พอทำไป ๆ เคยชินแล้ว รู้สึกว่าเหลือนิดเดียว ฉะนั้น..อะไรที่เริ่มเคยชินก็คือรู้สึกว่าธรรมดา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-05-2011 เมื่อ 18:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 23-05-2011, 20:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปีติที่เกิดจากการทำบุญ ฟังธรรม การนั่งสมาธิ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะเป็นปีติที่เกิดจากการฟังธรรม การทำบุญ การนั่งสมาธิ เป็นปีติแบบเดียวกัน

แต่ถ้าเป็นปีติทางโลก ที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส จะเป็นปีติอีกอย่างหนึ่ง เป็นปีติที่ต้องมีสิ่งกระตุ้นจากภายนอกจึงจะเกิดขึ้น ตัวเองจะมีความสุขไปสักพักหนึ่ง พอสิ่งกระตุ้นหมดไป ความสุขก็หายไปด้วย จึงทำให้มีคนประเภทนี้ติดกินติดเที่ยว เพราะเขาทำแล้วเขามีความสุข แต่เป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน

ปีติที่เกิดจากการทำบุญ จากการปฏิบัติธรรม และการนั่งสมาธิภาวนา เป็นปีติที่สร้างขึ้นในใจของเราเองจะยั่งยืน คนที่ไม่เข้าใจจึงเตลิดไปไกล กลายเป็นนักเที่ยวกลางคืนไปเยอะทีเดียว น่าเสียดาย น่าเป็นห่วง การเที่ยวกลางคืนมีแต่เสียมากกว่าดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2011 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 23-05-2011, 20:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมัยพุทธกาลที่มีคนฟังธรรมแล้วสำเร็จอรหันต์เลย จิตท่านไล่จากขั้นโสดาบันมาก่อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง จากปุถุชนเป็นพระอรหันต์ก็ได้ จากปุถุชนเป็นพระอนาคามีก็ได้ จากปุถุชนเป็นพระสกทาคามีก็ได้

ถาม : เขาลัดมาพระอรหันต์เลยหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจของตนว่าเข้มแข็งระดับไหน ปัญญาระดับไหน ถ้าหากว่ามีมากก็ได้มาก

ถาม : แล้วที่บอกต้องผ่านโคตรภูญาณก่อน ?
ตอบ : โคตรภูญาณก็ผ่านเพียงแวบเดียว

ถาม : ไม่รู้สึกว่าผ่าน ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่บุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิแต่เดิมมา จะข้ามพรวดไปเลย เหมือนกับเราก้าวข้ามรางเล็ก ๆ แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิ ฐานอยู่ฝั่งหนึ่ง อีกฐานอยู่ฝั่งหนึ่ง แช่กันอยู่นาน เอาให้มั่นใจว่าใช่แน่แล้วถึงจะยอมก้าวผ่านไป

เพราะพุทธภูมิต้องไปเป็นพระพุทธเจ้าสอนเขา ถ้ารู้ไม่ครบก็สอนเขาไม่ได้ สิ่งที่สาวกก้าวพรวดข้ามเลย พุทธภูมิจะจด ๆ จ้อง ๆ อยู่นาน ต้องเอาให้มั่นใจจริง ๆ ถึงจะยอมปล่อยผ่าน

ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดมา บันไดมีกี่ขั้นบางทีเรายังไม่รู้เลย แต่พุทธภูมินอกจากจะต้องรู้ว่าบันไดมีกี่ขั้นแล้ว กว้างยาวเท่าไร ใช้วัสดุอย่างไร สร้างด้วยวิธีไหนต้องรู้หมด ถึงเวลาก็สามารถที่จะสร้างบันไดเองได้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2011 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 24-05-2011, 18:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาทำสมาธิ เราควรจะจับจุดอยู่แค่ตรงปลายจมูกหรือจับสามฐานดีครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราถนัด จะไม่เอาเลยสักฐานก็ได้ ให้เรากำหนดรู้ลมไหลเข้าไหลออกก็พอ

ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิไปเรื่อย รู้สึกเหมือนกับอึดอัดครับ เราจะหายใจไม่ออก อึดอัดตลอดเวลา จะต้องหายใจออกมา
ตอบ : กำหนดรู้เฉย ๆ โดยไม่กลัวตาย แล้วจะก้าวไปสู่สมาธิที่ลึกขึ้นไปอีก แต่ถ้าเรากลัวตายก็จะถอยมาหายใจใหม่ ซึ่งเท่ากับเราถอยหลังเข้าคลอง เหมือนกับขึ้นบันไดไปหลายก้าว แล้วก็ถอยกลับมาอีก ทำให้หาความก้าวหน้าไม่ได้สักที

เขาให้ตัดใจว่าตายเป็นตาย เราทำความดีอยู่ ถ้าตายลงไปเราไปดีแน่ แต่คราวนี้เวลาพูดนั้นง่าย ถึงเวลาแล้วส่วนใหญ่มักจะกลัว

ถาม : ไม่เกี่ยวกับว่าเราเพ่งมากไปหรือครับ ?
ตอบ : การกำหนดลมหายใจเข้าออก เขาเอาสติความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมเข้าไป ไหลตามลมออกมา ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกส่วนหนึ่งส่วนใดไปเพ่ง แค่กำหนดรู้เฉย ๆ

ถ้าไปตั้งใจกดมาก ๆ บางทีก็เครียด ปวดหัวไปเลย เราหายใจเข้าออกตามธรรมดา แค่เอาความรู้สึกไหลตามเข้าไป ไหลตามออกมา เพราะฉะนั้น..เราไม่จำเป็นที่ต้องกำหนดรู้ลมเป็นฐานก็ได้ ให้รู้ตลอดลมเข้า รู้ตลอดลมออกก็พอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2011 เมื่อ 10:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 24-05-2011, 18:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้ากรรมปรามาสพระรัตนตรัยตกอยู่กับเรา ?
ตอบ : ให้ขอขมาพระรัตนตรัย

ถาม : ถ้าเราก่อกรรมปรามาสพระรัตนตรัย เราจะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แปลว่าชาตินี้เสียชาติเกิด..!

ถาม : แล้วอยู่ ๆ เราคิดลบหลู่พระขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าความดีเริ่มมา ความชั่วก็จะตามมาเอง เพราะฉะนั้น..ต้องรีบขอขมาพระโดยเร็ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-06-2011 เมื่อ 08:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 24-05-2011, 19:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีผู้แจ้งว่าทางหลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง ประกาศหาผู้ไปอยู่ประจำเพื่อช่วยงานวัด พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการทำงานให้กับพระพุทธศาสนา จะต้องประกอบด้วยศรัทธาก่อน ถ้าคนไม่มีศรัทธา เห็นว่าอยู่วัดสบายแล้วมาอยู่ มักจะอยู่ได้ไม่นาน

สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่มีการประกาศหาคนมาช่วยงานวัด แต่ก็มีญาติโยมหลายต่อหลายรายที่มาทำงานกันเองโดยไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าตอบแทน รายที่ชัดที่สุด คือ โยมเอี่ยม บางคนก็เรียกท่านว่า "ป้าเอี่ยม" (เอี่ยมศรี อ่อนคำ) ป้าเอี่ยมตามหลวงพ่อมาตั้งแต่วัดสะพาน จ.ชัยนาท จนมาอยู่อุทัยธานี

ป้าเอี่ยมเป็นผู้หญิงแกร่ง ประเภทถือปืนลูกซองเดินเฝ้าวัด เมื่อป้าเอี่ยมมาอยู่วัด ก็อาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีวิตไปวัน ๆ และป้าเอี่ยมนี่แหละที่ทำความดีจนอาตมาต้องยอมให้หวยไปหลายงวด อยู่ ๆ ก็มาบอกว่า "หลวงพี่ขอหวยตัวหนึ่งสิ" อาตมาก็ถามว่าจะเอาไปทำไม เขาบอกว่า "อยากได้เงินไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ"

"ตัวเดียวเล่นได้หรือ ?" "เล่นได้" ก็เลยให้ป้าแกไป ไม่รู้ว่าไปเล่นมาอย่างไร ได้มา ๖๐๐ บาท และก็เอาไปถวายสังฆทานหลวงพ่อจริง ๆ

งวดต่อมาอาตมาก็แหย่เอง "งวดนี้ไม่เอาหรือ ?" "ถ้าได้ก็ดี" ให้ไปสองงวด พองวดที่สามมีคนตามมาอีก ๗-๘ คน อาตมาก็ปากคัน บอกว่า "มาเยอะแบบนี้ต้องชักเปอร์เซ็นต์" เขาถามว่าเท่าไร ? อาตมาบอกไปว่า "สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น" ตอนนั้นพูดเล่น ๆ แต่เขาเอามาให้จริง ๆ..!

คราวนั้นหลวงพ่อด่าจมดินเลย ท่านบอกว่า "รู้ ๆ อยู่แล้วไปบอกเขา เท่ากับไปปล้นเขา เดี๋ยวปรับปาราชิกเลย..!" ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านสั่งห้ามให้หวยเด็ดขาด ทีนี้ก็หมดสนุก ถ้ายังให้หวยได้ จะสนุกกว่านี้อีกเยอะ

ป้าเอี่ยมอยู่วัด ไม่มีเงินเดือน พอเห็นคนอื่นถวายสังฆทานกับหลวงพ่ออยู่บ่อย ๆ ก็อยากถวายบ้าง แต่ไม่มีเงิน เจ็บไข้ได้ป่วยมา หลวงพ่อท่านต้องควักย่ามให้ไปหาหมอ หายาให้กิน แกทุ่มเทให้กับวัดจริง ๆ ทำด้วยใจ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-06-2011 เมื่อ 08:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 24-05-2011, 19:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เราจะเห็นว่าคนที่มาช่วยงานหลวงพ่อ อยู่ในลักษณะมาเอง ช่วยงานเอง หลวงพ่อท่านเคยเอาพี่ชาย คือลุงวงศ์ มาทำงาน ลุงวงศ์ทำงานดีมากเลย งานทุกอย่างหนักเอาเบาสู้ ไม่ต้องเรียก ลุงหางานทำเอง

แต่ป้าฟอง เมียลุงวงศ์หรือพี่สะใภ้ของหลวงพ่อ ไม่เอาอ่าวเลย ขนาดหลวงพ่อท่านขึ้นเสียงด่าแล้ว ก็ยังรั้นสุดชีวิต หลวงพ่อท่านด่าคนเพื่อไม่ให้ทำผิดอีก คนที่ไม่เข้าใจก็ว่าทำไมพระถึงได้ด่าโยมขนาดนั้น

การเอาญาติตัวเองเข้ามา ญาติเขาไม่ได้คิดว่าท่านเป็นหลวงพ่อของคนทั้งวัด ของคนทั้งประเทศ เขาคิดว่าหลวงพ่อเป็นน้องตัว นึกออกไหม ? สมมติว่าอาตมาเอาพี่มุกดาไปทำงานด้วย แทนที่พี่เขาจะนึกว่าอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน กลับไปคิดว่าเป็นน้องชายก็บรรลัยสิ เพราะฉะนั้น..ในที่สุดป้าฟองก็โดนหลวงพ่อไล่กลับบ้านไป

ส่วนลุงวงศ์มาอยู่วัด ช่วยงานจนตายคาวัด กลายเป็นเทวดาเฝ้าวัดอีกต่างหาก คือ ท่านปู่ท้าววาหน ขอยืนยันนะว่า "วาหน" ไม่ใช่ "เวหน" หลวงพ่อท่านสร้างกุฏิหลังใหญ่ ก็คือ ศาลเจ้าที่วัดท่าซุงให้ ฉะนั้น..ท่านเจ้าที่ซึ่งดูแลวัดท่าซุงจริง ๆ ก็คือ ท่านลุงวงศ์ สังข์สุวรรณ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2011 เมื่อ 19:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 25-05-2011, 20:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คนรุ่นเก่า ๆ ที่วัดท่าซุง เขามาทำงานกันด้วยใจ ส่วนใหญ่ตั้งใจจะช่วยวัด อย่างลุงเอี๊ยง ส่วนใหญ่ไปเรียกท่านว่า "ลุงเอี้ยง"

ลุงเอี๊ยงเป็นคณะแรกที่ไปรับหลวงพ่อจากชัยนาทมาอยู่อุทัยธานี แรก ๆ ลุงเอี๊ยงกินเหล้าเป็นปกติ ลุงบอกว่า "เวลากินแล้วนั่งสมาธิดี" จริง ๆ นะ เรื่องของยาเสพติด ถ้าอยู่ในระดับที่พอดี อารมณ์จะทรงตัวจริง ๆ ก็เลยทำให้คนบางประเภทที่เข้าใจผิด ไปติดสุรายาเสพติด

ลุงเอี๊ยงไปทำงานที่วัด หลวงพ่อจ่ายค่าแรงให้พอประมาณ แถมเหล้าให้ด้วย ปรากฏว่าพอหลวงพ่อซื้อเหล้ามาให้ ลุงเอี๊ยงกลับอาย ลุงถึงได้เลิกกิน จำไว้นะ..เราต้องรู้จริงขนาดหลวงพ่อถึงจะซื้อเหล้าให้เขา หลวงพ่อท่านรู้ว่าถ้าให้แล้วเขาจะเลิก

ลุงเอี๊ยงจะรับใช้หลวงพ่ออยู่ข้าง ๆ อาตมาไปแทนลุงเอี๊ยงประมาณปี ๒๕๒๕-๒๕๒๖ เพราะว่าลุงแก่แล้วลุกนั่งลำบาก นั่งขดอยู่ข้างหลวงพ่อเป็นวัน ๆ ก็ไม่ไหว และก็ไม่มีใครเปลี่ยน ลุงก็กัดฟันทำหน้าที่ไปเรื่อย จนกระทั่งอาตมาถามว่า "ลุง..ให้ผมช่วยไหม ?" "ได้ก็ดีไอ้หนู" แต่ลุงก็ไม่ไว้ใจนะ นั่งมองอยู่ใกล้ ๆ พอเห็นเราทำคล่องตัวไม่มีผิดพลาด จึงค่อยไปพัก

คนรุ่นเก่า ๆ รับผิดชอบงานดี สมัยก่อนที่อยู่ช่วยหลวงพ่อตอนท่านรับสังฆทาน จะมีลุงเอี๊ยง จ่าประมวญ คุณประเสริฐ คุณไพบูลย์ คุณชัยณรงค์ หลวงตาวัชรชัย (ตอนนั้นยังเป็นพี่อุดมอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ) และมีอาตมา รุ่นหลัง ๆ ก็ต่อไปเรื่อย ๆ

ก่อนหน้านั้นเวลาถวายสังฆทาน หลวงพ่อท่านจะแจกวัตถุมงคล อาตมาเห็นท่านแจกแล้วเมื่อยแทน ก็เลยขออนุญาตหลวงพ่อแจกแทน ตอนแรกท่านก็มองหน้า อาตมากราบเรียนว่า "เห็นหลวงพ่อโยกอยู่บ่อย ๆ คงจะไม่ไหว" "เออ..ลองดู" ปรากฏว่าแจกใหม่ ๆ คนเขาไม่เอา เขาอยากรับกับมือหลวงพ่อมากกว่า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2011 เมื่อ 10:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 25-05-2011, 20:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จนอาตมาต้องบอกว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ต้องรับกับมือผม ไปรอรับกับหลวงพ่อไม่ได้หรอก" หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ "เขาตั้งกฎแล้วก็รับหน่อย" ตั้งแต่นั้นมาเขาก็รับจากมืออาตมา แต่ใหม่ ๆ ใครถวายสังฆทานอาตมาก็แจกวัตถุมงคลให้ คนมาด้วยกันไม่ถวายสังฆทาน อาตมาก็ไม่แจก หลวงพ่อท่านมองหน้าแล้วบอกว่า "ให้เขาด้วย" เป็นอันว่าใครถวายหรือไม่ถวายก็แจก

ทีนี้เด็กเล็ก ๆ มา อาตมามองว่า เด็กเอาวัตถุมงคลไปใส่กระเป๋ากางเกงบ้าง วางต่ำบ้าง กลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัย ก็ไม่ให้เด็ก หลวงพ่อบอกว่า "ให้เขาด้วย" ตั้งแต่นั้นมาอาตมาก็แจกกระจาย ขนาดเจ้าของยังไม่เสียดาย เราจะไปเสียดายทำไม ? จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่า ถ้าไม่ใช่แขกผู้ใหญ่จริง ๆ ที่หลวงพ่อท่านยื่นให้ ก็เป็นอาตมาแจกเองทั้งหมด

คนที่ทำงานวัดในช่วงนั้นทำตามศรัทธา มีให้ก็กิน ไม่มีก็ควักกระเป๋าซื้อเอง อาตมาสนิทสนมกับบรรดาแม่ค้าหน้าวัด กินฟรีบ้าง กินเชื่อบ้าง ยืมเงินบ้าง อย่างเวลาไปทำบุญเพลิน ทำจนหมดตัวแล้วไม่มีเงินกลับบ้าน ก็ไปหน้าวัด "ยายบ๊วย..ยืมเงินสองร้อย..เงินหมดแล้ว" ยายบ๊วยก็ควักให้ อาตมาก็มีค่ารถกลับบ้าน

ครั้งหน้าก็รีบเอาไปคืน จำไว้ว่า..ถ้ารักจะยืมเงินใคร ต้องคืนเขาให้เร็วที่สุด เขาจะทวงหรือไม่ทวง ให้คืนไว้ก่อน ถ้าทำอย่างนี้ได้ ต่อไปก็จะมีความน่าเชื่อถือ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2011 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 26-05-2011, 17:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"การขายของหน้าวัดก็เหมือนกัน แรก ๆ ก็ตั้งร้านขายของเกะกะหน้าวัดไปหมด ตอนหลังหลวงพี่ประทีปเป็นหัวหน้าชุดไปจัดการขึงเชือกกั้นไว้ แต่ขึงเชือกก็ยังเกะกะ ก็เปลี่ยนเป็นโรยปูนขาวเป็นเส้น บอกว่า "ห้ามล้ำเส้นนะ ร้านไหนล้ำออกมา เก็บค่าร้าน ๕๐๐ บาท ถ้าใครตั้งหลังเส้น..ฟรี" เขาก็ยอมทำตาม

โยมบ๊วยขายมะม่วงดองอยู่หน้าวัด ตอนหลังขยายกิจการไปขายหลายอย่าง มีมะดันดอง กระท้อนดอง มะขามดองเพิ่มขึ้นมา อาตมาถามโยมบ๊วยว่างานหนึ่งขายได้สักเท่าไร เขาบอกว่า "หลวงพี่อย่าเอ็ดไปนะ อย่างไม่มี ๆ ก็ห้าหกหมื่น งานใหญ่ ๆ อย่างเป่ายันต์ก็สองแสนขึ้นไป" เหลือเชื่อจริง ๆ แต่โยมบ๊วยมีลูกค้าประจำ เพราะทำอร่อย

กลายเป็นว่าร้านค้าหน้าวัดรวยเพราะหลวงพ่อ แต่ที่รู้จักทำบุญเข้าวัดมีแค่สองสามร้านเท่านั้น มีร้านโยมบ๊วย ร้านโยมสมัคร ที่เหลือนอกจากจะไม่ทำบุญแล้ว ยังต่อไฟวัดไปใช้อีกด้วย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2011 เมื่อ 19:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 27-05-2011, 17:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : กรรมกิเลส แปลว่า กรรมที่เนื่องจากกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่..กรรมกิเลส ๔ ข้อ คือ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การดื่มสุราเมรัย

การฆ่าสัตว์เกิดจากกิเลสใหญ่คือโทสะ การลักทรัพย์เกิดจากโลภะ การประพฤติผิดในกามเกิดจากราคะ การดื่มสุราเมรัยเกิดจากโมหะ ดื่มแล้วก็ขาดสติหลงลืม

การพูดปดจัดเป็นกรรมกิเลสไม่ได้ เพราะการพูดปดเกิดได้หลายสาเหตุ เราโลภอยากได้ของเขา เราก็โกหกหลอกลวงเขา เราโกรธเขา เราก็โกหกเพื่อปิดบังความจริงเขา การพูดปดบอกชัดไม่ได้ว่าเป็นกิเลสตัวไหน ท่านก็เลยจัดไว้แค่สี่อย่าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2011 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 27-05-2011, 17:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมบูชามีดหมอชาตรีมา จะใช้รักษาโรค ต้องใช้กี่ครั้ง ? อย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้กี่ครั้งก็ได้ แต่การรักษาโรคให้ใช้คาถากำกับว่า ทุกขา ทุกขัง ปะฏิฐิตัง สัมปะฏิจฉามิ ถ้าไม่ใช่ทำน้ำมนต์ด้วยมีดหมอเพื่อให้คนไข้ดื่ม ก็ใช้สับไล่จากข้างบนลงข้างล่าง ให้เขานั่งเหยียดปลายเท้าไปทางทิศตะวันตก ที่สำคัญอย่าให้ใครไปนั่งขวางตรงปลายเท้า เพราะคนนั้นจะซวยแทน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2011 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 27-05-2011, 17:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,109 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ศีล ๕ กับกรรมบถ ๑๐ ต่างกันอย่างไรครับ?
ตอบ : กรรมบถ ๑๐ จะเน้นเรื่องวาจา ศีล ๕ แค่ห้ามโกหก แต่กรรมบถ ๑๐ ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดส่อเสียด (ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน) ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ กลายเป็นบังคับเรื่องวาจา

และเน้นเรื่องใจ ไม่คิดโลภอยากได้จนเกินพอดี ถ้าอยากได้ให้หามาอย่างถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร โกรธแล้วก็ลืม ไม่ผูกโกรธ และมีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้นดีทุกอย่าง เราจะทำตาม

ถาม : ถ้าทำได้ก็ควรทำควบไปด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..รักษาศีล ๕ ควบกับกรรมบถ ๑๐ ไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 20:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว