กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 23-10-2014, 05:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในขณะที่อยู่ในอรูปฌาน ทำไมจึงรู้สึกว่าร่างกายไม่มี ?
ตอบ : ความรู้สึกของเราไม่จับอยู่ที่ร่างกาย แต่ไปจับอยู่ที่ความว่าง หรือความไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อยหนึ่ง ก็เลยพลอยรู้สึกเหมือนกับไม่มีตัวตนไปด้วย เพราะว่าตัวตนนี่เขาถือเป็นรูป ในเมื่อรูปในส่วนที่ละเอียดคือรูปในกองกสิณ รูปในสมาธิเรายังไม่เอา รูปอย่างอื่นเลยพลอยไม่เอาไปด้วย

ถาม : ในรูปฌานเหมือนกับมีรูปอยู่ คราวนี้ถ้าอรูปฌาน
ตอบ : ถ้าจับเรื่องกสิณจะเห็นชัด เพราะว่าเราต้องอาศัยรูปกสิณเป็นนิมิต เมื่อถึงเวลาไปจับอรูปฌานก็ต้องทิ้งรูปกสิณที่เป็นนิมิตนั่นเสียก่อน ไปจับความไม่มีอะไรของอากาศ ไปจับความว่างของวิญญาณที่ว่าแม้อากาศจะว่างก็จริง แต่ความรู้สึกของเรายังครอบคลุมได้อยู่ ฉะนั้น..ความรู้สึกคือวิญญาณของเรากว้างไกลกว่า ก็ไปยินดีตรงนั้นแทน

ท้ายที่สุดกระทั่งอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่เอา ก็เลยกลายเป็นว่าสภาพจิตของเราในเมื่อไม่ยินดีในรูปอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจร่างกายไปด้วย ความรู้สึกก็เลยเหมือนกับไม่มีร่างกายไปด้วย


ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าจะนับจริงก็คือว่าในฌานช่วงแรก ๆ ยังมีความรู้สึกชัดเจนอยู่ แต่ว่าไม่ได้ไปใส่ใจเท่านั้น จนกระทั่งพอถึงฌานสี่ขึ้นไป ความรู้สึกจะรวมอยู่จุดใดจุดหนึ่งเฉพาะ สว่างไสวอยู่ตรงนั้น ถ้าตอนนั้นนี่จะลืมหมดทุกอย่างเลย อยู่กับความสงบ ความเยือกเย็น ความสว่างนั้นเท่านั้น ถ้าไม่ได้คิดถึงร่างกาย ไม่ได้ให้ความสนใจร่างกายก็คือไม่มีร่างกายนี้ เพราะว่าสภาพจิตไม่เอาในส่วนภายนอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 15:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 23-10-2014, 12:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่เขาบอกว่าบุคคลผู้ประกอบด้วยเหตุ ๓ กับบุคคลผู้ประกอบด้วยเหตุ ๒ ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เราใช้คำว่าเหตุนี่หมายถึงอะไร ?

ถาม : ถ้าเป็นเหตุ ๓ คืออโลภะ อโทสะ อโมหะ กับเหตุ ๒ คือ อโลภะ กับ อโทสะ
ตอบ : แล้วคำถามคือว่า...?

ถาม : จะต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็เห็นชัดเจนอยู่ตรงตัวสุดท้ายว่า ถ้าเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยเหตุ ๓ จะมีปัญญามากกว่า เพราะว่าเหตุ ๒ ตัวโมหะละไม่ได้ โมหะเป็นตัวบดบังปัญญาที่ชัดเจนที่สุด อาจจะเป็นว่าถึงคุณไม่มีความโลภ ถึงคุณไม่มีความโกรธ แต่ว่าคุณยังมีความหลงติด ยังยึดติดอยู่ เรื่องอย่างนี้จะสังเกตได้ง่ายถ้าปฏิบัติไปถึง ต้องอาศัยตัวปัญญาเป็นเครื่องสังเกต ถ้าประกอบไปด้วยปัญญาชัดเจน มีความแคล่วคล่อง มีความแกล้วกล้า ไม่ได้ไปหลงยึดติดอะไรง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้นต้องบอกว่าเหตุ ๓ เข้าถึงมรรคเที่ยงแท้แน่นอนกว่า

ถาม : ปัญญาในการทำงานหรือเปล่า ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่าปัญญาทางโลก เป็นปาริหาริกปัญญา ปัญญาทางธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเนปักกปัญญา เป็นปัญญาในการประพฤติปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสารโดยเฉพาะ

ถาม : ปัญญาทางโลกนี่เกิดจากอำนาจของโลภะหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เกิดจากการสั่งสมมา จะว่าไปแล้วก็มาจากโมหะ เพราะว่าเรายังเกิดอยู่แสดงว่ายังมีโมหะอยู่เต็ม ๆ หลังจากเกิดมา สภาพจิตได้รับการย้อมขึ้นมา รัก โลภ โกรธ หลงอื่น ๆ ก็จะตามมาอีกมากมาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 16:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 23-10-2014, 12:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในโลกมนุษย์มีบุคคลที่ไม่สมประกอบ แล้วในเทวดามีบุคคลไม่สมประกอบไหมครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของกายเทวดานั้น เป็นไปตามบุญก็ถือว่าสมบูรณ์บริบูรณ์ เพียงแต่ว่าบุญนั้นมากน้อยต่างกัน สภาพของขันธ์ก็เลยเสื่อมลงช้าเร็วกว่ากัน ฉะนั้น..ในส่วนของขันธ์ท่านสมบูรณ์บริบูรณ์ตามบุญของท่านอยู่แล้ว แต่ว่าในส่วนของปัญญานั้นต่างไปตามการอบรมมา ถ้าไม่เคยชินกับ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็มักจะหลงระเริงอยู่กับทิพยสมบัติจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่มีประเภทพิการขาดตกบกพร่องเหมือนกับมนุษย์เรา มนุษย์เราเศษกรรมยังตามได้มาก ส่วนเทวดาเศษกรรมตามท่านตอนนั้นไม่ได้ แต่กรรมรออยู่ ถ้าท่านพ้นจากเขตนั้นเมื่อไรค่อยตามสนองใหม่

ถาม : หมายถึงว่าเวลาเป็นเทวดานี่อกุศลไม่ส่งผล ?
ตอบ : หยุดให้ผลชั่วคราว หมดบุญเมื่อไรค่อยว่ากันใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 16:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 23-10-2014, 12:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนที่เกิดสงครามระหว่างอสูรกับเทวดา เป็นเพราะอกุศลกรรมหรือเปล่า ?
ตอบ : จะบอกว่าเป็นวิบากก็ส่วนหนึ่ง เพราะเกิดจากโทสะ พวกบรรดาอสูรเขานึกถึงได้เมื่อไรก็โกรธเมื่อนั้น เลยไปทวงคืน เพราะเขาเคยเป็นใหญ่มาก่อน

ถาม : เวลาโกรธจะจุติเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่..แต่คราวนี้ในส่วนอสูรนั้นคือว่านึกถึงเมื่อไรก็สวรรค์เคยเป็นของเรา เราต้องไปเอาคืน เรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีทั้งนั้นแหละ แต่ว่ามีมากมีน้อยต่างกัน ถ้าเป็นเทวดาในกามาวจรก็ยังเสวยผลใน รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็ม ๆ แต่ว่าท่านที่สั่งสมบุญ สั่งสมบารมีมาก็เป็นไปตามวาสนาบารมีของตน รัก โลภ โกรธ หลง ก็น้อยลงไปตามลำดับ หลายท่านก็เป็นพระอริยเจ้าไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 16:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 23-10-2014, 12:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เทวดาข้ามไปฝั่งพรหมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านที่มีพื้นฐานการทรงฌานมาก่อน แต่ตอนตายไม่ได้เข้าฌานตาย หากว่าพ้นจากเขตเทวดาจะไปเป็นพรหมตามกำลังที่ตนเองเคยทำได้ แต่ว่าโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ถ้าเจ้าของไม่อนุญาตจะเข้าไปไม่ได้ ชั้นสูงกว่าลงมาชั้นต่ำกว่าได้ ชั้นต่ำกว่าจะขึ้นไปต้องได้รับอนุญาตก่อน เหมือนกับว่ากำลังของตัวเองมีแค่นั้น เราสามารถกระโดดข้ามรั้วได้ ๑.๕๐ เมตร ถ้ารั้วสูงกว่านั้นก็ไปไม่ได้ ต้องรอเจ้าของรั้วพาดบันไดมาให้

ถาม : แล้วเทวดาชั้นดาวดึงส์ไปยามาก็... ?
ตอบ : ทุกเขตของเขาจะมีในลักษณะตามกำลังบุญของตนอยู่ ฉะนั้น..ท่านที่ระดับสูงกว่าสามารถไปไหนก็ได้ แต่ถ้าต่ำกว่าจะขึ้นขั้นสูงกว่าต้องรอเขาอนุญาต

ถาม : แล้วเทวดาไปชั้นอรูปพรหมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่รู้ว่าจะไปทำไม เพราะกำลังของตัวเองไม่ได้ทำมาอย่างนั้น จึงหาประตูไม่เจอ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองท่านก็ไม่ไปให้เสียเวลาหรอก มีแต่พวกเราไปฟุ้งซ่านคิดแทนท่าน ถ้าอยากรู้ อยากเห็น อาศัยความเป็นทิพย์ท่านก็สามารถที่จะรู้เห็นได้เลย จึงไม่ต้องเสียเวลาไป แต่ถ้าเป็นชั้นที่สูงกว่าตนเอง ความละเอียดของเขามีกว่ามาก ชั้นที่ต่ำกว่าก็ไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ ต้องรอชั้นที่สูงกว่าท่านแสดงให้ ถ้าเป็นสมัยนี้คงประเภทโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ ที่เป็นคนละคลื่นหรือคนละช่องกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 16:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 23-10-2014, 13:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มโนมยิทธิไปด้วยกายหรือใจ ?
ตอบ : ถ้าไปแบบเต็มกำลังจริง ๆ เหมือนกับเอาตัวนี้ไปเลย แต่ว่าไม่ใช่ตัว..ยังเป็นแค่ใจ แต่การรับรู้ทุกอย่างชัดเจนเหมือนกับเอาตัวจริงไป เพียงแต่ว่าสุดยอดของมโนยิทธิอย่างพระจูฬปันถก ท่านถอดออกมาเหมือนตัวจริง อย่างลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่ทำได้ เวลาถอดกายในไป ถ้าไม่ใช่พวกอภิญญาจะไม่เห็นกัน แต่ว่าหลวงพ่อพระจูฬปันถกนี่ ท่านสามารถแสดงให้คนทั่วไปเห็นท่านได้ เห็นเป็นกายหยาบ ท่านถึงได้เป็นเอตทัคคะคือสุดยอดในด้านนี้

อย่างเวลาขึ้นไปข้างบน ไปกราบพระหรือว่ากราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์จำนวนมากมาย ถ้ามัวแต่กราบทีละคนก็พอดีแหละ สิ้นชีวิตเสียก่อนไม่รู้จะกราบครบหรือเปล่า ก็ต้องใช้วิธีแยกกราบทีเดียวพร้อมกัน จะเป็นพันเป็นหมื่นกายก็ได้ในความเป็นทิพย์ แต่คราวนี้ว่าพระจูฬปันถกท่านทำเป็นกายหยาบได้เลย บาลีบอกว่าลักษณะเหมือนกับเหมือนชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง


ถาม : แต่ละคนสามารถทำหน้าที่คนละอย่าง ?
ตอบ : สามารถทำคนละอย่างได้ด้วย

ถาม : ทำอย่างไร ?
ตอบ : ในความเป็นทิพย์ลักษณะอย่างนั้นท่านอธิษฐานไว้ ว่าแต่ละกายจะให้ทำอะไรบ้าง ต้องมีการตั้งใจไว้ก่อน

ถาม : ถ้าเป็นพันกายไม่อธิษฐานเป็นพันครั้งหรือครับ ?
ตอบ : ในความเป็นทิพย์แค่นึกก็เป็นแล้ว

ถาม : ตำราเขาบอกว่าเนรมิตกายอื่นนอกจากกายนี้ ?
ตอบ : สภาพจิตก็คืออารมณ์ที่ควบคุม เหมือนกับแบ่งการควบคุมเป็นหลาย ๆ ส่วน คล้ายกับถึงเวลาก็ต่อสายแยก ให้ไฟฟ้าไปในสายเส้นโน้นบ้างเส้นนี้บ้าง แต่ว่าตัวควบคุมใหญ่ก็คือคัตเอาท์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 16:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 23-10-2014, 19:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีผู้หญิงคนหนึ่งมาติดพันเรา และเขาก็มีครอบครัวด้วย ผมเลยปฏิบัติไม่ค่อยได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร บางครั้งผมพยายามจะลืมเขาแต่ก็ลืมไม่ได้ครับ ?
ตอบ : วาระกรรมที่เข้ามา บางทีก็มีการผูกกรรมกันชั่วคราว ต้องตั้งใจทำสมาธิให้ได้ เพราะว่าการที่จะตัดใจ การที่หักห้ามใจตัวเอง ต้องมีกำลังของสมาธิช่วย ถ้ากำลังสมาธิทรงตัวจะตัดได้ชั่วคราว พอพ้นวาระไปเขาก็จะไม่มีอิทธิพลกับเราอีก แต่ถ้ายังไม่พ้นวาระ จำต้องอาศัยกำลังสมาธิช่วยอย่างมาก

ถาม : เราก็พยายามจะตัดใจ ?
ตอบ : นั่นแหละ..ทุกอย่างลงตรงสมาธิอย่างเดียว ถ้าสมาธิทรงตัวก็สามารถถอนตัวออกมาได้ง่าย ตัดใจได้ง่าย ถ้าสมาธิไม่พอ กำลังที่จะถอนตัวไม่มี ก็จะติดหล่มไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..พยายามทำสมาธิกลับมาให้ได้

ถาม : บางครั้งก็ใช้วิธีแผ่เมตตาบ้างก็ได้ชั่วคราว ขอบารมีพระบ้าง ก็ได้ระยะหนึ่ง พอเขาคุยกับเรา ก็ไม่ได้อีก ?
ตอบ : จะเอายั่งยืนจริง ๆ ต้องกำลังของเราเอง เพราะฉะนั้น..ให้เอาสมาธิคืนมาให้ได้

ถาม : พอเจอเรื่องพวกนี้จอดเลยครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องสงสัย ฤๅษียังฌานเสื่อม กำลังเหาะผ่านอุทยานแท้ ๆ เห็นสาวสรรกำนัลในกำลังเล่นน้ำอยู่ มัวไปสนใจด้านโน้นสมาธิคลาย..ร่วงเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 19:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 23-10-2014, 19:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาสมาธิเสื่อม ต้องพิจารณาว่า..?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับการระงับยับยั้งของแต่ละคน ถ้าสามารถระงับยับยั้งได้ก็ไม่ล่วงศีลล่วงธรรม ถ้าระงับยับยั้งไม่ได้ กำลังกิเลสที่ตีกลับมานี่หนักกว่าเดิมหลายเท่า เพราะว่าเก็บกดมานาน ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้นก็จะอยู่ในลักษณะเดียวกับบรรดาอาจารย์ต่าง ๆ ที่เป็นข่าวเป็นคราวกัน

เห็นว่าวันก่อนเพิ่งจะตายใช่ไหม ? ตายเร็วจัง จะว่าไปอายุ ๖๐ ก็มากแล้วนะ แต่ประเภทยังรู้จักกันหลัด ๆ เลยไปเสียแล้ว ใหม่ ๆ ท่านไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุง พวกเราเห็นบริวารท่านไปกันมาก ก็เลยถามหลวงพ่อท่านว่า "องค์นี่ถึงระดับไหนครับ ?" หลวงพ่อท่านหัวเราะแล้วบอกว่า “อาจารย์ทรงได้แค่ฌาน ๒ ลูกศิษย์ฌาน ๔ ตั้งหลายคน” แสดงว่าลูกศิษย์เก่งกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 19:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 23-10-2014, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พอแจ้งพระนิพพานแล้ว ก็เอาพระนิพพานครอบกายของเราไว้ ?
ตอบ : พระที่ท่านทำถึงพระนิพพาน ไม่มีท่านใดทิ้งพระนิพพาน ต้องยึดพระนิพพานเป็นหลักอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..กำลังสมาธิมีเท่าไรก็อาศัยเกาะพระนิพพาน ไม่อย่างนั้นจะไปเกาะสมาธิแทน กลายเป็นยึดรูปราคะอรูปราคะไป แต่ถ้าเกาะพระนิพพานก็เป็นอุปสมานุสติ ก็ถือว่าเกาะในส่วนที่ถูกต้อง แต่ว่าท้ายสุดก็ต้องปล่อยอยู่ดี ตอนท้ายสุดอย่าเพิ่งไปพูดถึงเลย

ถาม : แล้วที่บอกว่าต้องพิจารณาก่อน ?
ตอบ : ในส่วนของบุคคลที่ไม่ชำนาญต้องพิจารณาก่อน ถ้าท่านที่ชำนาญนี่แค่คิดก็รู้รอบ ท่านก็เข้ายาวไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 19:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 23-10-2014, 19:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเคยได้มรรคผลในฌานอะไร ผลสมาบัติก็ได้แค่ฌานนั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระโสดาบันขึ้นไปก็ตั้งแต่ปฐมฌานละเอียด ซึ่งจะต่ำกว่านั้นไม่ได้ อย่างเช่นถ้าปฐมฌานของเราหยาบ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระโสดาบันได้ เพราะกำลังไม่พอในการตัดกิเลส ดังนั้น..ต้องบอกว่าเริ่มนับต่ำสุดกันแค่นั้น แต่ถ้าใครมีต้นทุนของฌานสี่หรือว่าสมาบัติแปดก็ถือว่ามีเงินเยอะ ลงทุนได้

ถาม : แล้วการเข้าสมาบัติแปดในเนวสัญญาฯ เอามาพิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถึงเวลาก็ต้องคลายออกมาพิจารณาวิปัสสนาญาณแทน เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นเปรียบไปแล้วคล้าย ๆ กับสังขารุเปกขาญาณ แต่สังขารุเปกขาญาณนั้นวางเฉยเพราะปัญญารู้แจ้งเห็นจริงว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร ส่วนเนวสัญญานาสัญญาตยนะนั้น วางเฉยเพราะกำลังสมาธิกดไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 19:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 23-10-2014, 19:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พิจารณาไตรลักษณ์ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาเป็นปกติอยู่แล้ว อยู่ในลักษณะที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ ในเมื่อยึดถือมั่นหมายไม่ได้ก็ไม่เอาเสียเลย ถ้าลำพังปฏิบัติตามแบบปฏิบัติของนักบวชนอกพุทธศาสนา ของท่านก็แค่ไม่ใส่ใจเท่านั้น แต่คราวนี้ว่าพุทธศาสนาของเรามีต่อยอดด้วยวิปัสสนาญาณ จึงไปได้ไกลกว่า

ถาม : เนวสัญญาฯ จะพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : เขาใช้คำว่ามีสัญญาเหมือนไม่มี ก็คือรู้สึกก็ไม่รู้สึก สนใจก็ไม่สนใจ แต่ถ้าจะพิจารณาวิปัสสนาญาณ อย่างน้อยต้องลดลงมาในส่วนของรูปฌาน ไม่อย่างนั้นแล้วจะพิจารณาไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 19:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 23-10-2014, 19:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เหตุแห่งธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วจะมาได้อย่างไรล่ะ ? ถ้าหากว่าเหตุแห่งธรรมทั้งหลายทั้งปวงจริง ๆ มาจากอวิชชา คือความไม่รู้ อย่าลืมว่าคำว่าธรรมก็คือธรรมชาติ ถ้าเราต้องการรู้ในส่วนของธรรมที่ดี ก็ต้องสร้างปัญญาให้เกิด ถ้าในส่วนที่ไม่ดีนี่อวิชชาครอบงำหมดทุกอย่างอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าในส่วนของปัญญานี่จะต้องลำบาก เหมือนกับว่าจะต้องฝ่าฝันผ่านความมืดมาตลอด จนกว่าที่จะทะลุผ่านไปได้ แต่ว่าตัวอวิชชาจริง ๆ ครอบงำอยู่ตั้งแต่ต้น

ดังนั้น..ถ้าแยกธรรมของเป็นกุศลธรรมกับอกุศลธรรมก็จะง่าย ก็กลายเป็นว่าอวิชชาครอบงำในอกุศลธรรมทั้งหมด ส่วนวิชชาซึ่งก็คือปัญญาก็จะเป็นตัวครอบงำในกุศลธรรมทั้งหมดเหมือนกัน


ถาม : ฝ่ายกุศลธรรมอย่างที่เราขวนขวายทำบุญโดยที่ไม่รู้ก็มีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เราจะทำโดยรู้หรือไม่รู้ ถึงเวลากุศลก็ส่งผลให้ ในเมื่อกุศลแปลว่าส่วนของความฉลาด ส่งผลมาแล้วเกิดความสุข ความสบาย ก็จะเกิดปัญญาในลักษณะโลกิยปัญญาขึ้นมาก่อน ว่าสิ่งนี้ดีกับเรา เราควรทำต่อ จนกระทั่งพอสั่งสมไป ๆ ปัญญามากขึ้น เริ่มก้าวเข้าสู่ระดับโลกุตระก็จะรู้ว่าส่วนไหนควรละ ส่วนไหนควรเลือกไว้ แล้วท้ายที่สุดปัญญามาเต็มที่ ก็ปล่อยวางได้ทั้งหมด

ถาม : แล้วเหตุแห่งพระนิพพาน ?
ตอบ : พระนิพพานอยู่นอกเหตุเหนือผล คือไม่สามารถที่จะอธิบายได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2014 เมื่อ 19:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 23-10-2014, 19:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : งาช้างเป็นวัตถุอนามาสไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น

ถาม : เพราะ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นอัญมณี แต่ว่าวัสดุบางอย่าง เช่น กล่องเข็มของพระ ท่านห้ามทำด้วยงาช้าง เพราะว่าบางคนจะหาว่าไปสนับสนุนเขาให้ฆ่าช้าง เป็นเภทนกปาจิตตีย์ ก็คือต้องทุบทิ้งก่อนถึงจะแสดงอาบัติตก ปัจจุบันนี้ทาง คสช.ขอให้คณะสงฆ์ออกคำสั่ง ห้ามพระภิกษุสามเณรทำวัตถุมงคลด้วยอวัยวะของสัตว์ป่าสงวน หรือสัตว์ป่าคุ้มครอง ไม่เป็นไรหรอก..ห้ามก็ห้ามไปเถอะ เพราะรู้สึกว่าห้ามมาแต่ละอย่าง ไม่ค่อยจะได้ผลทั้งนั้นแหละ

ถาม : แต่ถ้าอัญมณีเป็นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็น....เงิน ทอง สิ่งที่ใช้แทนเงินทอง แก้วมณี ข้าวเปลือกหรือผลไม้ที่เกิดอยู่กับที่ อาวุธทุกชนิด เครื่องประโคม (ดนตรี) ทุกชนิด แล้วก็เครื่องจับสัตว์ทุกชนิด สมัยก่อนข้าวเปลือกเขาถือเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เอาไปแลกของกันได้ ส่วนผลไม้ที่เกิดอยู่กับที่ เขากลัวว่าจะตั้งใจขโมยก็เลยห้ามจับ ข้าวเปลือกจะใช้แลกอะไรก็ได้ เพราะคนต้องกินข้าวนี่

ถาม : พวกนี้ปรับปาจิตตีย์หรือครับ ?
ตอบ : ปรับทุกกฎก่อน แล้วดูว่ามีห้ามในส่วนอื่นอีกหรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 24-10-2014 เมื่อ 07:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 23-10-2014, 19:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ภพหรือที่เกิด ?
ตอบ : ในส่วนของภพเกิดจากตัวตัณหา ในเมื่อตัณหาคือความอยาก ก็เกิดอุปาทานยึดมั่น พอยึดมั่น ที่ ๆ ยึดก็คือภพ ภพก็คือสถานที่เกิด ถ้าไม่ยึดก็ไม่เกิด ต้องบอกตัณหาเป็นอดีตเหตุ เรื่องของภพเป็นปัจจุบันผล คราวนี้ในเมื่อเกิดความอยากขึ้นมา ก็ไปยึดมั่นถือมั่น พอยึดมั่นถือมั่นต้องมีที่ให้ยึด..ใช่ไหม ก็ตรงที่ยึดนั่นแหละที่ทำให้เกิด

ถาม : แดนสวรรค์ก็เป็นดินแดนที่ดี บุคคลไปเกิดตามที่กรรม ถ้าอย่างนั้นแล้วดินแดนนั้นก็เป็นกรรมของเขาหรือครับ ?
ตอบ : เป็นไปตามวาระ ถ้าไม่มีคนทำดี แดนเหล่านั้นก็ไม่มี ถ้ามีคนทำดีระดับนั้น แดนเหล่านั้นก็เกิดขึ้นเพื่อรองรับ ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วพวกเราเก่งนะ สร้างภพภูมิต่าง ๆ ขึ้นมาเองทั้งนั้นเลย

ถาม : อย่างมีช่วงหนึ่งที่แดนสุทธาวาสพรหมไม่มี ?
ตอบ : ถ้าโลกว่างเว้นจากหลักธรรม พระอริยเจ้าไม่ปรากฏ สุทธาวาสพรหมก็ไม่รู้จะไปรองรับอะไร โดยเฉพาะพระระดับอนาคามี ตอนนั้นโลกคงเฉาน่าดูเลย ถึงได้ว่าพอปรากฏพระอริยเจ้าขึ้นนี่ พรหมเทวดาท่านตื่นเต้น โมทนาสาธุการสะท้านสะเทือนไปเป็นหมื่นโลกธาตุเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2014 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 23-10-2014, 20:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาขอให้พระพุทธเจ้าช่วยหรือขอให้เทวดาช่วย ขอได้ไหมครับ ?
ตอบ : ใครก็สามารถขอได้ ถ้าขอด้วยความเคารพ แต่เพียงแต่ว่าการขอต้องมีต้นทุนเพียงพอ ถ้าเราไม่มีต้นทุนเป็นเหตุรองรับเพียงพอ ผลก็ไม่เกิด อย่างที่เคยเปรียบเทียบไว้ว่า เรามีน้ำอยู่หน่อยเดียว เติมเท่าไรก็ไม่เต็มขันเสียที อย่างนั้นขอเท่าไรก็ไม่ได้ผล ถ้าอย่างน้อยเรามีน้ำเกือบเต็มขัน ก็แปลว่าเราสร้างเหตุรองรับไว้เพียงพอ ถ้าอย่างนี้ขอแล้วจะได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2014 เมื่อ 01:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 23-10-2014, 20:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานแสดงนิมิตให้พระอานนท์หลายครั้ง ?
ตอบ : พระอานนท์ท่านติดตามใกล้ชิดอยู่ ถึงเวลาแล้วเป็นคนที่ควรจะรู้ อาจจะเป็นเพราะว่าพระอานนท์ท่านละเอียดที่สุด ช่างสังเกตที่สุด แต่ถึงจะช่างสังเกตขนาดนั้น ต้องบอกว่าวาระกรรมมาถึงจริง ๆ แสดงเท่าไรท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ ขนาดเปรียบเทียบให้ฟังชัด ๆ ว่า เกวียนที่เก่าคร่ำคร่า จวนหมดสภาพ ยากแก่การซ่อม ควรจะซ่อมดี หรือควรที่จะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดี ท่านยังกราบทูลว่าเปลี่ยนเกวียนใหม่ดีกว่า ก็เรียบร้อย จริง ๆ แล้วจะโทษพระอานนท์ไม่ได้หรอก ต้องบอกว่าวาระเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่ากรรมบางอย่างก็ทำให้เขลาได้ชั่วครู่เหมือนกัน

แบบที่อาตมาโง่ตลอด ไม่ได้คิดว่าพระท่านจะเป็นพระองค์ที่ ๑๐ นั่งเถียงกันอยู่นั่นแหละ ขนาดท่านบอกชัดเจนขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่เชื่อ ต้องบอกว่าตอนช่วงนั้นนี่อาตมาโง่ได้ที่จริง ๆ


ถาม : ผู้ที่ขอได้ต้องมีต้นทุนบารมีมาก่อน ?
ตอบ : ถ้าลำพังไม่ได้สร้างไว้ขอให้ตายผลก็ไม่เกิด สร้างเหตุไว้เพียงพอขอก็ได้ เราสังเกตได้ง่ายว่าบางคนบนพระบนเทวดา ทำไมสำเร็จได้ง่าย ? ขณะเดียวกันบางคนบนทั่วประเทศไทยก็ไม่สำเร็จสักที ก็เพราะมีต้นทุนไม่พอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-10-2014 เมื่อ 05:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 23-10-2014, 20:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเราจับลมควบคู่กับคำภาวนา แล้วทีนี้ไปดูที่ลม คำภาวนาจะอยู่คำสุดท้ายตลอด ไม่ว่าออกหรือเข้า ?
ตอบ : อยู่ตรงไหนก็ได้..ไม่เป็นไร

ถาม : แล้วเมื่อไรที่เราจะต้องเพิ่มคำภาวนาไป ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเรายินดีในคำภาวนานั้นนั้นหรือไม่ ? ถ้ายังยินดีของเก่าอยู่ก็ขอใช้ไปเรื่อย ๆ ถ้ารู้สึกว่าไม่ค่อยอยากได้แล้วค่อยหาของใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2014 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 23-10-2014, 20:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนั้นโยมเขาชวนไปดูของทนสิทธิ์อย่างหนึ่งที่สุราษฎร์ธานี เขาเรียกว่าไข่นกออก อาตมาก็แปลกใจว่าขลังตรงไหน ? เขาบอกว่าไฟไหม้ป่าแล้วเหลือต้นไม้เขียวอยู่ต้นเดียว ก็สงสัยว่ามีอะไร จึงปีนขึ้นไปดู มีรังนกออกอยู่ แล้วของนี้อยู่ในรังนก เขาก็เลยเก็บมาติดตัวไว้

เขาบอกว่าลักษณะเหมือนกับเป็นไข่นก แต่ว่าวาว ๆ เหมือนกับเป็นหินไปแล้ว เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าทำอีท่าไหน ไปฝากพระที่ท่านอยู่เกาะสมุยไว้ เขาก็เลยชวนอาตมาไปเกาะสมุย บอกไปดูกันหน่อย อาตมาก็อยากรู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรก็เลยไป ปรากฏว่าพระท่านเข้ากรุงเทพฯ มา นั่งรถฝ่าฝนไปทั้งคืน ไม่ได้เห็น ถ้าเป็นสมัยนี้มีโทรศัพท์แทบทุกคน โทรถามก่อนก็ไม่ต้องไปไกลถึงขนาดนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2014 เมื่อ 02:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 23-10-2014, 20:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ...เป็นวิปัสสนาหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นวิปัสสนาเลย คือระลึกถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จะว่าไปแล้วในส่วนแรก ๆ จะเป็นสัญญาคือความจำ แต่พอทบทวนมากเข้า ๆ พอสภาพจิตยอมรับก็จะเป็นปัญญา ถ้าเป็นปัญญาเมื่อไรก็เป็นวิปัสสนาญาณแท้ เพราะคำว่าวิปัสสนานี้ระบุชัดเลยว่าเห็นแจ้ง เห็นอย่างวิเศษ

ถาม : ต้องบริกรรมด้วย ?
ตอบ : ไม่ต้อง..บริกรรมเป็นแค่สมถะเท่านั้น ไม่ใช่วิปัสสนา ต้องพิจารณาจนใจยอมรับถึงเป็นวิปัสสนา ถ้าดูใครไม่ได้ก็ดูตัวเอง ก่อนหน้านี้เราเป็นเด็กเล็ก แล้วเป็นเด็กโต แล้วมาเป็นหนุ่มสาว มาถึงปัจจุบันนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ถ้าไปบริกรรมว่า “ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง” นั่นเป็นแค่สมถะเฉย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2014 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 24-10-2014, 17:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,809 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ปกติอาตมาเป็นคนกลัวเข็มมาตั้งแต่เด็ก ที่กลัวเข็มฉีดยาเพราะว่าลุงหมอที่มาฉีดยาให้ตอนเด็ก ๆ แกเป็นทหารเสนารักษ์เก่า เกษียณแล้วก็มาเปิดร้านหมอ ไม่รู้ครูบาอาจารย์ที่ไหนสอนแกฉีดยา แกจะจิ้มก้นอาตมาแล้วกดยาทีเดียวหมดเข็มเลย ก็จะบวมเป็นก้อน เจ็บจนเดินตูดปัดไปเป็นอาทิตย์ ๆ ดังนั้น..อาตมาจึงเกลียดเข็มเข้าไส้ ก็เลยกลายเป็นคนกลัวเข็มมาตั้งแต่เด็ก

มาหายกลัวเข็มตอนเป็นทหาร ก็ยังไม่หายดีหรอก แต่กลัวเสียหน้า ก่อนนั้นพอเห็นเข็มแล้วร่างกายจะตัดระบบ เป็นลมไปเองเลย คราวนี้พอเป็นทหารแล้วเป็นลม ก็ขายหน้าเขา จึงต้องบอกตัวเองว่า “อย่าเป็นลม..อย่าเป็นลม” ถึงเวลาหมอฉีดยาเสร็จเดินออกมาก็รีบหาที่นั่งก่อน ถ้าเดินต่อแล้วเป็นลมขึ้นมา ล้มลงไปจะขายหน้าเขา เพิ่งรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าร่างกายของเราจริง ๆ แล้วตั้งระบบได้ อยู่ที่ว่าเราจะตั้งระบบอย่างไร ระบบร่างกายที่ตัดเร็วก็เพื่อที่จะรักษาร่างกายของตัวเองเอาไว้

อย่างเช่น ได้รับบาดเจ็บหนัก ๆ แล้วจะช็อก เวลาช็อก ชีพจรจะเต้นช้า เลือดก็ไหลช้า ก็เป็นการรักษาและป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้ตายง่าย ๆ คราวนี้พอตัดเร็วเกินไป ยังไม่ทันไรก็เป็นลมเสียก่อนแล้ว อาตมาไปเข้าใจว่าร่างกายตั้งระบบได้ ก็ตอนที่เลิกกลัวเข็มไปเอง ดังนั้น..ญาติโยมบางคน ถ้ากลัวอะไรก็ให้บอกร่างกายตัวเองว่าเลิกกลัวได้แล้ว กลัวตุ๊กแกก็เดินหน้าเข้าหาตุ๊กแกเลย

สมัยที่ไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ มีโยมผู้ชายคนหนึ่งตัวใหญ่มาก ปรากฏว่ากลางคืนไปนอนกอดเข่าอยู่กลางสนามหญ้า ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่า "บนศาลามีตุ๊กแก" ทำอย่างกับว่าอยู่กลางสนามแล้วตุ๊กแกไปไม่ได้ รุ่นของอาตมานี่เอาจิ้งจกตุ๊กแกใส่กระเป๋า ไปโยนใส่เพื่อนผู้หญิงกัน ปรากฏว่าไปเจอเพื่อนผู้หญิงที่เป็นเด็กชาวบ้านด้วยกัน แล้วจะมีสักกี่คนที่กลัว โยนใส่เขา เขาก็คว้าหมับแล้วขว้างคืนมา สรุปว่าความซวยตกอยู่กับจิ้งจกตุ๊กแกเอง

ดังนั้น..ถ้าใครกลัวเข็มให้สั่งตัวเองว่าเลิกกลัวได้แล้ว ตั้งระบบใหม่ร่างกายก็จะค่อย ๆ ชินไปเอง ต่อไปก็จะเลิกกลัวไปโดยปริยาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2014 เมื่อ 19:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:42



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว