กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-03-2024, 19:46
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,648
ได้ให้อนุโมทนา: 216,888
ได้รับอนุโมทนา 747,547 ครั้ง ใน 36,418 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 14-03-2024, 23:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,142 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ความจริงกระผม/อาตมภาพยังมีภารกิจ ในการอบรมฝึกซ้อมว่าที่พระอุปัชฌาย์ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ อีก แต่ว่าพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ส่งฎีกานิมนต์ให้ไปร่วมงาน ๑๑๔ ปีชาตกาลหลวงพ่ออุตตะมะ จึงต้องวิ่งกลับมา พรุ่งนี้พองานเสร็จแล้ว ก็ต้องวิ่งกลับไปที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม (แห่งที่ ๒) สถานที่ฝึกซ้อมอบรมว่าที่พระอุปัชฌาย์อีก

ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณและเจริญพรขอบคุณ ทั้งพระภิกษุของเรา แม่ชี และฆราวาส ที่ช่วยกันดูแลนิสิตพระวิปัสสนาจารย์โครงการทุนเล่าเรียนหลวงรุ่นที่ ๔ ซึ่งมาฝึกซ้อมการธุดงค์ที่วัดท่าขนุนนี้เป็นอย่างดี ในพิธีปัจฉิมนิเทศ ทางด้านเจ้าหน้าที่ก็มีการประกาศต่อหน้านายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี ซึ่งเป็นผู้แทนพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการมอบประกาศนียบัตรและพัดรอง ให้แก่ผู้สำเร็จเป็นพระวิปัสสนาจารย์ของรุ่นนี้ ซึ่งจากที่สมัครเข้ามา ๘๐ รูป แล้วศึกษาทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติ ตลอดจนกระทั่งการเดินธุดงค์ ผ่าน ๗๖ รูป อีก ๔ รูปนั้น ก็แล้วแต่ปัญหาสภาพร่างกาย เนื่องเพราะว่าที่อยู่กับเราก็มีเป็นลมแดดกันบ้าง บางท่านพอสุขภาพชำรุด ไปต่อไม่ไหว ต้องถอนตัวกลางคันก็มี

ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าธุดงค์นั้นไม่ใช่การเดิน โดยเฉพาะไม่ใช่การเดินในป่าในดง ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาในเรื่องของธุดงควัตร ๑๓ ประการ จะเห็นว่าเกี่ยวข้องด้วยเรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย

เรื่องของอาหาร อย่างเช่นว่าบิณฑบาตเป็นวัตร บิณฑบาตไปตามลำดับบ้าน ฉันอาหารบิณฑบาตเฉพาะในภาชนะเดียว เหล่านี้เป็นต้น ในเรื่องของเครื่องนุ่งห่ม อย่างเช่นว่า ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร ในเรื่องของที่อยู่อาศัย อย่างเช่นว่า อยู่โคนไม้ หรืออยู่กลางแจ้งเป็นวัตร

แล้วรูปแบบการธุดงค์ที่เราคิดว่าใช่นั้นมาจากไหน ? ก็มาจากการที่ครูบาอาจารย์ท่านเดินเข้าป่า เพื่อหาที่เหมาะ ๆ ในการประพฤติวัตร ปฏิบัติธรรม ตามหลักธุดงควัตรทั้ง ๑๓ ประการ ซึ่งถ้าเป็นแบบที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านสรุปเอาไว้ ก็คือเดินไปภาวนาไปอย่างหนึ่ง แล้วก็เดินไปหาที่เหมาะสม ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าสถานที่สัปปายะ แล้วไปปฏิบัติอยู่ที่นั่นอีกอย่างหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2024 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 14-03-2024, 23:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,142 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่บังเอิญว่ากระผม/อาตมภาพนั้นถนัดในการเดินภาวนา ดังนั้น..ในสมัยที่ธุดงค์ ถ้าเดินอย่างสบาย ๆ ก็วันละ ๔๐ กิโลเมตร แต่ถ้าหากว่าเร่งด่วน ที่เคยเร่งเดิน ก็อย่างที่เคยเล่าเอาไว้ว่าทุ่งใหญ่ ๙๓ กิโลเมตร สามารถเดินถึงภายใน ๑๒ ชั่วโมงเท่านั้น..!

ทำให้กระผม/อาตมภาพประมาณกำลังของเด็กรุ่นใหม่ผิดไปมาก เพราะคิดว่าระยะแรกเดินจากวัดเราไปวัดวังปะโท่ แค่ ๒๖ กิโลเมตรเท่านั้น หลังจากนั้นพอเดินไปวัดนพเก้าทายิการาม และสำนักสงฆ์ถ้ำโป่งช้าง ระยะทางก็มีแต่ลดลง ๆ ด้วยความที่ประมาณการณ์ผิด พอปรึกษาหารือคณะอาจารย์ที่คุมนิสิตมาแล้ว จึงได้ลดระยะทางลง ให้เหลือวันละไม่เกิน ๑๐ กิโลเมตรเท่านั้น จึงทำให้หลายท่านสามารถที่จะเดินไปถึงก่อนอาหารมื้อเพล แต่ก็ยังมีคนเป็นลมเป็นแล้งอยู่ดี..!

เรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพเคยย้ำกับบุคคลหลายคนว่า "ภูมิใจที่เกิดเป็นเด็กบ้านนอก" เพราะว่าความเป็นเด็กบ้านนอก ทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงกว่าเด็กในเมือง เป็นความแข็งแรง แข็งแกร่ง ที่สะสมขึ้นมาวันละเล็กวันละน้อย เป็นความแข็งแรงที่เกิดจากการทำมาหากิน ไม่ใช่เกิดจากที่ไปเข้าฟิตเนส..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงเวลาถ้ามีอะไรที่ต้องวัดกันจริง ๆ ก็จะกลายเป็นว่า ท้ายที่สุดแล้วจะมีความอึดมากกว่าเด็กในเมืองหลายเท่า

ธุงดควัตรนั้นไปเจริญทางด้านภาคอีสาน โดยเฉพาะพระสายวัดป่าธรรมยุตของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ธุดงควัตรที่บางคนบอกว่าเหมือนกับอัตกิลมถานุโยค คือการทรมานตนนั้น สำหรับบุคคลที่เป็นชาวอีสานแล้ว ด้วยความที่ดินฟ้าอากาศค่อนข้างจะโหดร้าย ทุกคนต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในสถานที่แบบนั้น จึงมีทั้งกำลังกายและกำลังใจที่เข้มแข็งกว่าคนภาคอื่น หลักธรรมปกติทั่วไปแล้ว "เอาไม่อยู่" แต่เมื่อเจอความลำบากแบบธุดงควัตรเข้า กลับเหมาะกับจริตของท่านทั้งหลายเหล่านั้นพอดี จึงทำให้ธุดงควัตรไปเจริญอยู่ทางพระสายวัดป่าภาคอีสาน

แล้วในปัจจุบันนี้ นอกจากตีความคำว่าธุดงค์ผิด คิดว่าต้องแบกกลดสะพายบาตรออกเดินเท่านั้นถึงเป็นการธุดงค์ แล้วก็มีบางสำนัก มีการธุดงค์โดยเดินบนกลีบดอกไม้เสียอีก..! ก็ยิ่งห่างไกลความจริงไปใหญ่ ดังนั้น..ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า คำว่าธุดงค์ในที่นี้คือภาษาบาลีที่ว่า ธุตงฺค คือ องค์คุณความเพียรในการเผากิเลส ไม่ได้แปลว่าเดินดงเดินป่าอย่างภาษาไทย เพียงแต่การประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมของเหล่านักธุดงค์ ไปสอดคล้องกันจนคนเข้าใจผิด นึกภาพว่าถ้าธุดงค์เมื่อไรก็ต้องเดินป่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2024 เมื่อ 02:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 14-03-2024, 23:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,142 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในปัจจุบันนี้พระสงฆ์สามเณรของเราจำนวนมากบอกว่า "ไม่มีป่าให้เดิน" กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าป่าที่ให้เดินยังมีมาก แต่ท่านไม่กล้าไปกันเอง อย่างที่กระผม/อาตมภาพออกเดินธุดงค์ครั้งแรกเมื่อพรรษาที่ ๔ ก็ตก ๓๐ กว่าปีมาแล้ว ตอนแรกเพื่อนฝูงพี่น้องก็ขอตามไป ๗ - ๘ รูป แต่พอบอกว่าจะไปที่ไหน ลำบากอย่างไร ก็ถอนตัวกันหมด โดยเฉพาะหลวงพ่อโอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ที่พวกกระผม/อาตมภาพเรียกว่า "หลวงพี่" ท่านบอกว่า "ธุดงค์อย่างท่านผมก็อยากไป แต่ในป่าไม่มีเนสว่ะ..!" เพราะว่าท่านติดกาแฟ ในเมื่อไม่มีกาแฟ ท่านก็เลยไม่เดินธุดงค์..!

เรื่องนี้ท่านทั้งหลายที่เห็นว่าหลังอาหารมื้อเพลแล้ว นอกจากน้ำเปล่า กระผม/อาตมภาพไม่ได้ฉันน้ำปานะอะไรแบบทุกท่าน เพราะว่าเห็นทุกข์เห็นโทษจากการเดินธุดงค์นั่นเอง พอถึงวันท้าย ๆ ร่างกาย "กรอบเป็นข้าวเกรียบ" แล้ว อะไรที่เป็นส่วนเกินแม้แต่นิดเดียวก็ไม่อยากได้

แต่ไปเห็นหลวงพ่อทวน โฆสโก เจ้าพ่อธุดงค์สายชายแดนพม่า ท่านแบกย่ามธุดงค์สองใบ พอท่านวางลง กระผม/อาตมภาพลองยกดู ใบเดียวยังยกไม่ขึ้นเลย..! ทั้ง ๆ ที่น้ำหนักตนเองแบกไปคือ ๒๒ กิโลกรัม แปลว่าของหลวงพ่อทวน ใบหนึ่งนั้นเกิน ๓๐ กิโลกรัมแน่นอน เมื่อกราบเรียนถามท่านว่า "หลวงพ่อครับ ใส่อะไรไว้บ้าง ?" ท่านก็รูดซิปเปิดย่าม หยิบให้ดูทีละอย่าง สรุปว่าแค่น้ำตาลทรายอย่างเดียว ๑๓ กิโลกรัม..! แล้วท่านก็ไม่ได้ฉันเองด้วย ท่านแบกไปเผื่อพวกกระผม/อาตมภาพที่ตามไป ๗ - ๘ รูปนั่นแหละ..!

ถึงเวลาสรงน้ำสรงท่าเสร็จ เข้าที่สวดมนต์ไหว้พระแล้วก็เดินจงกรมภาวนา หลวงพ่อทวนต้องถือแกลอนน้ำข้างละ ๕ ลิตร ถึงจะเดินจงกรมได้..! กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วก็แปลกใจ ถามว่า "หลวงพ่อ..ทำไมต้องหิ้วแกลอนด้วยครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าไม่หิ้วไว้มันจะลอย..!" ก็คือตัวเองแบกน้ำหนักข้างหนึ่ง ๓๐ กว่ากิโลกรัม พอถึงเวลาปลดลง ก็คงประมาณฝึกวิทยายุทธแบบกำลังภายในเขา ทำให้ตัวเบามากจนเกินไป เดินไม่เป็น ต้องเอาน้ำถ่วงไว้ข้างละ ๕ ลิตร ก็คงประมาณข้างละ ๕ กิโลกรัม ไม่อย่างนั้นท่านก็จะเดินไม่ได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2024 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 14-03-2024, 23:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,142 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วการธุดงค์ในสมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ไปธุดงค์เกินครึ่งเป็นพวกที่อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ยาก..! มีความประพฤติแบบที่วัยรุ่นเขาว่า "ไม่สนโลก"

กระผม/อาตมภาพเจอมากับตัวเองเลย พักอยู่รวมกัน ๗ - ๘ คน พ่อเจ้าประคุณตื่นตี ๑ ครึ่ง กูก็ห่มผ้า ปูอาสนะ สวดมนต์ทำวัตรสนั่นหวั่นไหวอยู่คนเดียว ไม่สนใจว่าคนอื่นจะหลับจะนอนอย่างไร..! ดังนั้น..ในเมื่ออยู่ร่วมกับใครไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องออกป่า

คราวนี้การออกป่าแทนที่จะขัดเกลานิสัยของตนเอง กลับกลายเป็นปลีกตัวหนีจากสังคม เพื่อไปทำอะไรตามใจตนเอง โอกาสที่จะได้ดี ก็เลยหาไม่ได้หนักเข้าไปอีก บางรายก็เข้าไปดูดยาบ้า พอเรี่ยวแรงเหลือเฟือขึ้นมา ก็วิ่งแข่งกันขึ้นเขา แช่งให้เป็นลมตาย ก็ไม่เป็นสักที..! บางทีคึกจนหาทางออกไม่ได้ ก็เอามีดสปาตาร์ฟันหัวกัน..! กระผม/อาตมภาพก็ต้องแบกออกมารักษาอีก..!

ดังนั้น..ภาพพจน์ของพระธุดงค์สมัยปัจจุบันจึงตกต่ำไปมาก โดยเฉพาะพวกหากินด้วยการโบกรถ คนที่อยากได้บุญว่าไปส่งพระธุดงค์ พอให้ขึ้นเท่านั้นแหละ..ไม่ลงหรอก..! จนกว่าจะถวายปัจจัยค่ารถเท่านั้นเท่านี้ ถึงจะยอมลง กลายเป็นแก๊งหากินข้างถนนไปอีก

ถ้าท่านทั้งหลายจะประพฤติในธุดงควัตร ก็ศึกษาว่า ๑๓ หัวข้อเราทำอะไรได้บ้าง แล้วทำอยู่ในวัดก็ได้ เพราะไม่ได้บังคับว่าต้องเดินดง ยกเว้นข้อที่ว่าอยู่ป่าช้าเป็นวัตร วัดของเราก็ไม่มีป่าช้า มีแต่ที่เก็บกระดูก ก็เลือกเอาว่าเราถือข้อไหนได้ โดยที่ไม่ทำให้ตนเองแปลกแยกจากเพื่อนฝูงมากนัก ก็ทำไปตามนั้น เป็นการหาหลักยึดหลักปฏิบัติสักอย่างหนึ่งที่เป็นของตัวเอง จะได้ขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนให้ดีขึ้น

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2024 เมื่อ 02:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว