กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-01-2010, 10:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,685
ได้ให้อนุโมทนา: 151,964
ได้รับอนุโมทนา 4,417,348 ครั้ง ใน 34,275 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ

พระพุทธเจ้าท่านไม่ปรินิพพานที่เมืองใหญ่ แต่ว่าไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราแทน พระอานนท์ทูลถามว่า "ทำไมพระองค์ไม่ปรินิพพานที่เมืองใหญ่ แต่ทรงปรินิพพานที่เมืองไกล เมืองกิ่งแค่นี้เอง" พระพุทธเจ้าบอกว่า "กุสินาราในอดีตไม่ใช่เมืองเล็ก เป็นเมืองใหญ่ชื่อมหาสุทัสสนะ เป็นเมืองที่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองมาแล้ว ฯลฯ"

แต่จุดมุ่งหมายจริง ๆ ของพระองค์ท่านก็คือ กุสินาราเป็นเมืองเล็ก ถ้าหากพระองค์มรณภาพ เหล่ากษัตริย์แคว้นต่าง ๆ ที่เคารพนับถือ ต้องการอัฐิธาตุไปบูชา ถ้าหากพระองค์ปรินิพพานที่เมืองใหญ่ คนจะทำสงครามกันจนตายมหาศาล แต่ถ้าหากปรินิพพานที่เมืองเล็ก เมื่อเมืองใหญ่ยกทัพมา เมืองเล็กก็จะไม่กล้ารบ ต้องแบ่งพระอัฐิธาตุให้

จะเห็นว่ากระทั่งการมรณภาพ พระองค์ท่านก็ยังมองไปถึงการณ์ข้างหน้า เตรียมการไว้พร้อม ไม่ให้คนเดือดร้อนกัน นั่นขนาดเมืองเล็ก...พวกมัลลกษัตริย์เขายังลงมติว่ารบ จนกระทั่งโทณพราหมณ์ต้องไปเกลี้ยกล่อมว่า เราเป็นพุทธศาสนิกชน การรบราฆ่าฟันกันไม่ใช่วิสัยที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเรา จึงได้ยอมสงบศึก

จุดหนึ่งที่หลวงพ่อท่านเคยบอกก็คือ กระดูกของครูบาอาจารย์ ไม่จำเป็นอย่าไปเอาไว้เลย ท่านบอกว่าเราจะเคารพนับถือเฉพาะแต่รุ่นของเราเท่านั้น พอรุ่นหลัง ๆ การเคารพก็จะจางลงไปเรื่อย และท้ายสุด ดีไม่ดี..ไม่มีใครรู้จัก บางท่านเอาไปแล้วก็เอาไปทิ้งไว้เฉย ๆ เหมือนเป็นสิ่งของทั่วไป ไม่มีการบูชาหรือดูแลรักษาให้สมเกียรติยศ

เมื่อวันที่ ๒๙ ไปงานหลวงปู่เก็บ (ท่านเจ้าคุณพระวิบูลเมธาจารย์) วัดดอนเจดีย์ อดีตเจ้าคณะอำเภอดอนเจดีย์ และอดีตเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ท่านมรณภาพมา ๒๗ ปีแล้ว ปรากฏว่าเขาจัดงานใหญ่โตสมเกียรติท่านมาก เฉพาะโกศกระดูกของท่าน เขาทำในลักษณะย่อมุมไม้สิบสอง ปิดทองอร่าม ลวดลายละเอียดยิบเลย ถ้าหากลูกศิษย์รู้จักจัดงานบูชาพระคุณครูบาอาจารย์ลักษณะนั้น เคารพบูชายกย่องให้เกียรติอาจารย์ตนเองขนาดนั้น คนอื่นเห็นเขาก็เคารพตามเอง แต่ถ้าลูกศิษย์ไม่ได้ทำอย่างนั้น ทิ้งไว้เฉย ๆ นอกจากจะไม่ได้อะไรขึ้นมาแล้ว ยังเกิดโทษแก่ตนเองขึ้นด้วยซ้ำไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2014 เมื่อ 12:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-01-2010, 10:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,685
ได้ให้อนุโมทนา: 151,964
ได้รับอนุโมทนา 4,417,348 ครั้ง ใน 34,275 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงปู่มั่นมรณภาพมาสามสิบกว่าปี อัฐิท่านไม่ได้กลายเป็นพระธาตุ หลวงปู่มั่นไม่ต้องการให้กระดูกเป็นพระธาตุ เพราะกลัวว่าลูกศิษย์จะไปยึดติดตรงนั้น พอบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านมรณภาพแล้ว อัฐิกลายเป็นพระธาตุไปตาม ๆ กัน แต่ด้วยความสงสัยของคน พวกประเภทดี ๆ ไม่คิด คิดแต่ชั่ว ๆ เขาก็เลยคิดว่า แล้วหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ? อัฐิหลวงปู่ไม่เห็นเป็นพระธาตุกับเขาเลย ลูกศิษย์เป็นแล้ว แต่อาจารย์ไม่เป็นสักที ความเคารพเลื่อมใสก็เริ่มคลอนแคลน คราวนี้ก็ต้องเดือดร้อนถึงพระ ท่านก็ต้องทำให้เป็น...

ความต้องการของคนนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ที่ดี ๆ ไม่คิด ไปคิดแต่ที่ชั่ว ๆ เดือดร้อนแม้กระทั่งพระ การที่อัฐิจะเป็นพระธาตุหรือไม่เป็น ขึ้นอยู่กับว่า ๑. เจ้าของร่างได้อธิษฐานไว้หรือไม่ ? ๒ . พระท่านได้สงเคราะห์ให้หรือไม่ ? อาตมาถึงได้บอกว่า "ถ้าตายวันไหน ภายในสามวันจะเอาให้เน่าเหม็นตลบไปเลย ดูซิว่ายังจะยึดร่างกายอยู่อีกไหม ?"

มีอยู่เที่ยวหนึ่งตอนเป่ายันต์เกราะเพชร เขาทำบายศรีเป็นรูปนาคเกี้ยว พออนุญาตให้นำเครื่องบายศรีไปบูชาได้ คนนี้ก็เอาดอกไม้ช่อหนึ่ง คนนี้ก็ไข่ต้ม ดึงกันไปดึงกันมา มีอยู่คนหนึ่งเอานาคไปคู่หนึ่ง ตัวยาวเป็นเมตรเลย แล้วก็เดินถือโทง ๆ มาถามว่า "เอาไว้ทำอะไร ?" ก็บอกไปว่า "เลี่ยมแขวนคอไว้..!" ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไปทำอะไร แต่เห็นคนอื่นเอาด้วยก็เลยเอา ลักษณะอย่างนั้นแหละ

ที่กล่าวมาจะสรุปลงตรงที่ว่า ส่วนใหญ่พวกเราที่ไม่สามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะว่าความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรานั้น ไม่ได้เคารพจากตัวปัญญา แต่เป็นโมหะ ไปยึดผิดเป้าหมาย เราไม่ได้เคารพเพราะเห็นคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ แต่เราไปถือในเรื่องฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าท่านจึงห้ามไม่ให้พระภิกษุแสดงปาฏิหาริย์ เพราะว่าในเมื่อไม่ได้เคารพออกมาอย่างจริงใจแล้ว ความเข้าถึงธรรมก็ไม่มี ไปเคารพว่าท่านเก่งอย่างนั้น ท่านเก่งอย่างนี้ ก็จะทำให้คนยึดติดอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้

ถ้าหากเราปฏิบัติตามจนกระทั่งเกิดผลในระดับหนึ่ง ก็จะเห็นชัดเจนว่า คุณพระรัตนตรัยที่แท้จริงเป็นอย่างไร ถ้าหากเป็นอย่างนั้น ความเคารพในพระรัตนตรัยที่แท้จริงจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นกติกาของพระโสดาบัน ต้องแยกแยะให้ถูก ถ้าแยกผิดเดี๋ยวก็ได้แต่พญานาคไปแขวนคอแบบนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2014 เมื่อ 12:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-01-2010, 10:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,685
ได้ให้อนุโมทนา: 151,964
ได้รับอนุโมทนา 4,417,348 ครั้ง ใน 34,275 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราเคารพพระรัตนตรัยจริง ๆ ?
ตอบ : ก็ต้องถามว่าเราเป็นพระโสดาบันหรือเปล่า ? ถ้ายังก็แปลว่ายังไม่จริง..!

ถาม : แล้วทำอย่างไรจึงจะเป็นพระโสดาบัน ?
ตอบ : ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก ข้อเดียว ก็คือ รักษาศีลเพราะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รักษาศีลเพื่อไปพระนิพพาน เอาแค่นี้..สามข้อบางทีเยอะไป ที่บอกว่ารักษาศีลเพราะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เพราะเราเห็นคุณจริง ๆ ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีความดีอย่างไร รักษาศีลเพราะว่าเราจะไปพระนิพพาน เพราะเรารู้ตัวอยู่ว่าเราจะต้องตาย เกิดใหม่เมื่อไรก็ทุกข์อย่างนี้อีก ขึ้นชื่อว่าความทุกข์อย่างนี้ไม่ขอมี จึงเหลือที่ศีลตัวเดียว

ถาม : แล้วคนที่เป็นพระโสดาบันจะรู้ตัวไหมว่าเป็น ?
ตอบ : ถ้าเป็นวิชชาสามขึ้นไปก็จะรู้ เพราะว่าญาณคือเครื่องรู้จะเกิดขึ้นตอนนั้น แต่เนื่องจากว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถึงระดับนั้นแล้ว สติปัญญาท่านจะเพียบพร้อมมาก ความไม่ประมาทจะมีเป็นปกติ ถึงแม้รู้ว่าตัวเองเป็นก็ยังทำไปเรื่อย ๆ ด้วยความไม่ประมาท เพราะฉะนั้น..ถ้าไปคิดว่าเราเป็นแล้ว ไม่ต้องทำ เดี๋ยวก็อยู่แค่นั้นแหละ ไม่ต้องไปถึงไหนกัน


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2014 เมื่อ 12:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว