กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-05-2012, 07:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,280 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัว ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราถนัด

วันนี้เป็นวันเสาร์ ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายประจำเดือนพฤษภาคมนี้ สำหรับเมื่อวานได้กล่าวไปแล้วว่า การที่เราเป็นนักปฏิบัตินั้น ที่สำคัญคือต้องเห็นไตรลักษณ์ คือลักษณะของความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขา ถ้าเราไม่เห็นตรงจุดนี้ ก็แปลว่าการปฏิบัติของเรานั้นเสียเปล่า แล้วการเห็นนั้น อย่าให้เห็นเฉพาะตอนที่นั่งปฏิบัติอยู่ แต่ว่าให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม เราต้องเห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่าง มองไปเห็นตึกรามบ้านช่อง ก็ให้เห็นว่าก่อนหน้านี้ใหม่ แต่ปัจจุบันนี้ค่อย ๆ เก่า แล้วท้ายสุดเดี๋ยวก็ร่วงโรยพังลงไป มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ระหว่างที่ดำรงสภาพอยู่ ก็ก้าวเข้าไปหาความเสื่อม คือความทุกข์เป็นปกติ อย่างเช่นว่า แม้กระทั่งปูนก็ยังมีการกัดกร่อนผุพัง เป็นต้น และท้ายที่สุดก็ไม่สามารถยึดถือมั่นหมายได้ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เพราะถ้าไม่ใช่เราตายจากไปก่อน ตึกรามบ้านบ้านช่องนั้นก็จะพังเสียก่อน เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นที่เราจะต้องดู จะต้องรู้ จะต้องเห็น และยอมรับความจริงนั้นให้ได้ มองไปในหมู่ผู้คน เห็นเด็กเล็ก ๆ เห็นเด็กโต เห็นหนุ่มสาว เห็นคนกลางคน เห็นคนชรา เราก็รู้ว่านี้คือสภาพที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนจริง ๆ ระหว่างที่แต่ละคนดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์การเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ท้ายสุดเราก็ไม่สามารถที่จะยึดถือตัวตนร่างกายนี้เอาไว้ได้ เพราะว่าต้องเสื่อมสลายตายพังไป กลับกลายเป็นธาตุ ๔ คืนไปเป็นสมบัติของโลกตามเดิม

มองออกไปเห็นต้นไม้ ต้นเล็ก ต้นกลาง ต้นใหญ่ เห็นใบไม้อ่อน เห็นใบไม้ปานกลาง เห็นใบไม้แก่ เห็นใบไม้ที่เหลืองร่วงหล่นลงจากขั้ว เราก็จะเห็นว่า ต้นไม้ก็มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีหนอนมีแมลงคอยบ่อนเบียนชอนไชอยู่ กัดกินอยู่ ต้นไม้ก็มีความทุกข์เป็นปกติ และท้ายที่สุดก็โค่นล้ม เน่าสลาย ผุพังจมดินไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2012 เมื่อ 14:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 24-05-2012, 22:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,280 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราเห็นสรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงแล้ว ก็ต้องดึงย้อนกลับเข้ามาหาตัวเราด้วย อย่าเอาแต่มองออกเพียงอย่างเดียว แต่ให้น้อมนำเข้ามาข้างใน ภาษาบาลีว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาที่ตน ให้เห็นว่าเราก็เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุดเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เป็นเด็กเล็ก แล้วก็เป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นคนหนุ่มคนสาว บัดนี้อายุเราล่วงเลยมาถึงปานนี้แล้ว จะล่วงลับดับขันธ์ลงไปเมื่อใดก็ไม่ทราบ ให้เห็นชัด ๆ ว่าร่างกายนี้มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เช่นเดียวกับตึกรามบ้านช่อง เช่นเดียวกับผู้คนทั้งหลายที่เราเห็น เช่นเดียวกับต้นไม้ใบหญ้าที่เราเห็น

ขณะที่เราดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ว่าจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ ปรารถนาไม่สมหวัง กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น เราเองก็ทุกข์เช่นเดียวกับเขา เขาเองก็ทุกข์เช่นเดียวกับเรา ถ้ายังต้องมาเกิดอีกก็จะพบกับความทุกข์เช่นนี้อีก และท้ายที่สุดร่างกายนี้ก็ยึดถือมั่นหมายเป็นเรา เป็นของเราไม่ได้ เพราะว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมตัวกันขึ้นมาเป็นเครื่องอาศัยของเราชั่วคราว แล้วเราก็จะไปยึดถือมั่นหมายว่านี้เป็นเรา เป็นของเรา

ในเมื่อเราเห็นชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ เรือนโรง ผู้คน สัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งร่างกายของเรา ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ระหว่างที่ยังทรงตัวอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ และไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายได้ ท้ายสุดทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องคืนไปเป็นสมบัติของโลกตามเดิม

เมื่อเห็นชัดเจนดังนี้ จิตของเราก็จะเบื่อหน่าย ถอนตัวเองออกมาจากความอยากเกิด ถอนตัวเองออกมาจากความอยากได้ใคร่ดีในร่างกายของเรา ถอนตัวเองออกมาจากความอยากได้ใคร่ดีในร่างกายคนอื่น ถอนตัวเองออกมาจากความอยากเกิดในโลกนี้ เอาจิตของเรามุ่งไปที่เดียวคือพระนิพพาน เมื่อเราสามารถที่จะไล่ความรู้สึกของเราขบคิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็ให้จับลมหายใจของเราภาวนาต่อไป เพื่อจะเป็นการตอกย้ำปัญญาของเราให้หนักแน่น ให้มั่นคงยิ่งขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2012 เมื่อ 03:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-05-2012, 13:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,280 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ให้ทุกคนนึกถึงลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา ดูไปด้วยว่าแม้แต่ลมหายใจเข้าออกก็ไม่เที่ยง ผ่านจมูก ผ่านอก ลงไปสุดที่ท้อง ออกจากท้อง ผ่านอก มาสุดที่ปลายจมูก ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอนเลย เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราต้องใช้ความพยายามในการกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ก็คือเรากำลังอยู่ในกองทุกข์ และท้ายที่สุดแม้กระทั่งลมหายใจนี้ ก็ต้องเสื่อมสลาย คืนกลายเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม ก็แปลว่าแม้แต่ลมหายใจเราก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเช่นกัน

ถ้าหากว่าต้องตายลงไปจะด้วยอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ หรือด้วยการหมดอายุขัยก็ตามที เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียว เอาใจของเราจดจ่ออยู่ที่พระนิพพาน ใครสามารถยกจิตขึ้นไปพระนิพพานได้ ให้ยกจิตขึ้นไปกราบพระข้างบน ถ้าหากว่าท่านใดไม่ชำนาญก็ให้กำหนดนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบ ว่านั่นเป็นองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์อย่างนี้เอาไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 18:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-06-2012, 12:58
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,423 ครั้ง ใน 1,284 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-05-12

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว