กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 08-04-2022, 19:34
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,643
ได้ให้อนุโมทนา: 216,887
ได้รับอนุโมทนา 747,490 ครั้ง ใน 36,410 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-04-2022, 23:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,981
ได้รับอนุโมทนา 4,416,066 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อเช้าก็ได้ออกไปงานวันบูรพาจารย์ที่วัดท่ามะขาม ซึ่งการจัดงานก็มีการคัดกรองกันค่อนข้างจะเข้มงวด แล้วก็ให้แขกทั้งหลายนั่งเว้นระยะ พูดง่าย ๆ ว่าระยะนี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้มงวด ระมัดระวังในเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แต่ยิ่งระวังก็ยิ่งระบาดเยอะ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคนทั่วไปเลิกกลัวเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ไปแล้ว

อย่างของตอนนี้ที่ทองผาภูมิ ถ้าหากว่าอาการค่อนข้างจะหนัก ถึงจะเอาเข้าโรงพยาบาลสนาม ถ้าอาการระดับสีเหลืองหรือสีแดงก็จะเอาเข้าโรงพยาบาลทองผาภูมิ เมื่อวานนี้ทางด้านแพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ ได้โทรมาขอเตียงพยาบาล ๑๐ เตียง เพื่อที่จะเปิดอาคารรับผู้ป่วยเพิ่ม ก็แปลว่าคนป่วยที่อาการอยู่ในระดับหนักมีมากขึ้นทุกที ส่วนคนป่วยที่มีอาการน้อยให้กักตัว รักษาตนเองอยู่ที่บ้าน

แต่ปรากฏว่าพวกเราขาดวินัยกันอย่างมาก อย่างเช่นว่ามีโยมบางคนที่รู้อยู่ว่าเพิ่งจะตรวจเจอเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แต่ตอนเช้ามาใส่บาตรกระผม/อาตมภาพ อย่างนี้เป็นต้น จะมาศรัทธาอยากได้บุญอะไรกันตอนนี้ เดี๋ยวก็ได้ถวายเชื้อไวรัสให้กับพระไปด้วย..!

ในเมื่อพวกเราไม่กลัวเชื้อไวรัส แถมยังขาดระเบียบวินัย ถึงเวลาให้กักตัวก็ไปทำบุญบ้าง ไปซื้อของในตลาดบ้าง ก็ยิ่งทำให้การแพร่ระบาดหนักขึ้นไปอีก จึงเป็นที่มั่นใจได้ว่า หลังสงกรานต์ยอดผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล เนื่องเพราะว่าไม่ว่าทางรัฐบาลหรือว่า ศบค.จะออกกฎระเบียบอะไรมา ก็คงไม่ฟังกันแล้ว

แม้กระทั่งวัดท่าขนุนของเรา พยายามห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามา โดยเฉพาะในสถานที่ซึ่งพระภิกษุสามเณรรวมกันมาก ๆ และต้องถอดหน้ากากอนามัยด้วย ก็คือหอฉัน ก็ยังมีพวกดื้อ ไม่ฟังเสียง..ลุยเข้าไป โดยคิดแบบมักง่ายว่า "แค่พักเดียว..ไม่เป็นอะไรหรอก"

เหตุที่ต้องห้ามกันก็เพราะว่างานบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ถ้าหากว่าพลาดขึ้นมา มีใครติดเชื้อ ที่เหลือก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงทั้งวัด..! แล้วถ้าตรวจเชื้อเป็นจำนวนมาก รับประกันว่าดังไปทั้งประเทศ เพราะจะกลายเป็น "คลัสเตอร์สามเณรภาคฤดูร้อนวัดท่าขนุน..!"

แต่บรรดาพวกมักง่าย..ปัญญานิ่ม ไม่ได้คิดถึงเรื่องความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นกับวัด คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะทำอะไรตามใจตนเอง แล้วก็ฝ่าฝืนคำสั่ง แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้มงวด ก็ยังไปด่าว่าเจ้าหน้าที่ ซ้ำร้ายกว่านั้น แม่ชีของเราแทนที่จะห้ามปราม..ก็ดันไปเข้าข้างเขาอีก..!

เหลือเวลาอีก ๒ วัน สำหรับโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนของเรา กำลังลุ้นว่าทุกคนจะอยู่รอดปลอดภัยไปจนจบโครงการหรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2022 เมื่อ 02:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 08-04-2022, 23:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,981
ได้รับอนุโมทนา 4,416,066 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความจริงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเรามีจิตสำนึก เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ก็จะไม่มีเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้น แต่ด้วยความที่เราเห็นแก่ตัวมากกว่า โดยเฉพาะขาดหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือประกอบไปด้วยอคติ ลำเอียงเพราะรักบ้าง ลำเอียงเพราะเกลียดบ้าง พอถึงเวลาความฉิบหายวายป่วงเกิดขึ้น ก็ไม่มีปัญญาที่จะแก้ไข กลายเป็นภาระของกระผม/อาตมภาพที่ต้องมาแก้ไขต่อไป

หลังจากงานวันบูรพาจารย์ที่วัดท่ามะขามแล้ว กระผม/อาตมภาพก็แวะไปที่สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ไปรบกวนท่านพระครูศรีกาญจนวิสุทธิ์ (ไพรัช อินฺทวิสุทฺโธ ป.ธ.๖) หรือบรรดาคนคุ้นเคยเรียกกันติดปากว่า "มหาไพรัช" ให้ท่านช่วยออกตราตั้งฐานานุกรมเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิให้ฉบับหนึ่ง โดยนำข้อมูลไปให้ท่านช่วยพิมพ์ให้

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าใบตราตั้งนั้นเป็นกระดาษพิเศษ ขนาดแผ่นใหญ่เกินปกติ แล้วเครื่องพิมพ์ที่รองรับได้มีอยู่ที่สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดเครื่องเดียว เพราะว่าการพิมพ์กระดาษที่ใหญ่กว่าปกตินั้น ที่อื่น ๆ แทบจะไม่มีโอกาสได้ใช้เลย จึงไม่มีใครไปลงทุนไปซื้อเครื่องแบบนั้นไว้

เมื่อนำเอาตราตั้งที่พิมพ์เสร็จแล้ว มาให้หลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิช่วยเซ็นรับรองและประทับตราให้ ก็เพราะว่าอดีตสมุห์ชาย (พระสมุห์ธนกฤต ขนฺติพโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท สึกหาลาเพศไป ตำแหน่งฐานานุกรมเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิที่ "พระสมุห์" ว่างลง จึงเรียนท่านเจ้าคณะอำเภอว่า "ขอให้กับเลขาฯ รองอำเภอของผมต่อไปเลยครับ"

ในเรื่องของยศของตำแหน่ง ขอให้ทุกคนทราบอยู่เสมอว่า ยศศักดิ์และตำแหน่งมักจะมาพร้อมกับหน้าที่ ในเมื่อมาพร้อมกับหน้าที่ อันดับแรกก็คือ...ภาระรับผิดชอบของเราต้องมากขึ้น อันดับที่สองก็คือ...เราต้องระมัดระวังกำลังใจของตนเองว่ายินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้รับมากเกินไปหรือเปล่า ? อันดับสาม...หนักกว่านั้นอีก เพื่อนสหธรรมิกพี่น้องทั้งหลายรักษากำลังใจไว้ได้หรือเปล่า ? ก็คือยินดีกับท่าน หรือว่าอิจฉาท่านกันแน่ ?

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โลกธรรม ก็คือเป็นธรรมดาของโลก เมื่อได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข ก็จะมีการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทา มีความทุกข์ ถ้าบุคคลเห็นชัดตรงนี้ ก็จะไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ตนเองได้รับมากจนเกินไป สามารถรักษากำลังใจของตนให้อยู่ในด้านดีได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2022 เมื่อ 02:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 08-04-2022, 23:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,981
ได้รับอนุโมทนา 4,416,066 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีบาลีกล่าวรับรองเอาไว้ว่า ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา ถ้าเป็นภาษาโบราณ เขาใช้คำว่า "ยศช้าง ขุนนางพระ" ก็คือเวลาช้างออกศึก โดนใช้ในการรบ เมื่อได้รับชัยชนะกลับมา พระมหากษัตริย์ก็มักจะตั้งยศให้ เป็นคุณพระบ้าง เป็นพระยาบ้าง เหมือนอย่างกับช้างเผือกคู่บารมีในหลวงที่ ๙ ก็คือ คุณพระเศวตอดุลยเดชพาหน เป็นต้น

คราวนี้ต่อให้เป็น
เป็นคุณหลวง คุณพระ หรือเป็นเจ้าคุณ คือเป็นพระยาก็ตาม ช้างก็ยังคงกินหญ้า กินกล้วยเหมือนเดิม ดังนั้น...คำว่า "ยศช้าง" ก็คือให้ไปก็เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงตามยศไปด้วย

ส่วน "ขุนนางพระ" ก็คือพระภิกษุที่มีเกียรติคุณเป็นที่เคารพนับถือของญาติโยมจำนวนมาก องค์พระมหากษัตริย์ถวายภาระธุระในการดูแลอบรมสั่งสอนประชาชน โดยถวายสมณศักดิ์ให้ด้วย ในเมื่อมีสมณศักดิ์ก็จะมี "นิตยภัต" ซึ่งแปลว่าค่าอาหารที่ให้เป็นปกติ แต่คนเรามักจะเรียกง่าย ๆ ว่า "เงินเดือนพระ"

ในเมื่อรับเงินเดือนก็เหมือนกับเป็นข้าราชการ เขาก็เลยใช้คำง่าย ๆ ว่า "ขุนนางพระ" ก็แปลว่าต่อให้มียศใหญ่ขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือเราเป็นพระ ต้องปฏิบัติตามระเบียบวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดไว้ อันดับแรกก็คือ รักษาตนเอง ไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น อันดับที่สองก็คือ ยังความเลื่อมใสให้แก่บุคคลที่ยังไม่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลที่ได้ยศจึงไม่พึงเมา ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเรามีความเป็นพระภิกษุที่ต้องปฏิบัติ เพื่อรักษาอริยประเพณีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดไว้ให้

เรื่องของยศ เรื่องของตำแหน่งเป็นแค่สัญญาบัตร ถ้าเรียกกันแบบภาษาชาวบ้านก็แค่ "กระดาษแผ่นเดียว" เรื่องของพัศยศประกอบตำแหน่ง เพื่อแสดงให้รู้ว่าท่านมียศชั้นไหน ก็คือ "ตาลปัตรอันเดียว" แถมดูแลรักษายากอีกต่างหาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2022 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 08-04-2022, 23:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,981
ได้รับอนุโมทนา 4,416,066 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น...ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกต จะเห็นว่าตราตั้งหรือพัดยศของกระผม/อาตมภาพ ไม่เคยโผล่มาให้เห็นหน้า ยกเว้นเวลาจำเป็นต้องใช้ โดยเฉพาะตราตั้งจะน่าสงสารมาก สัญญาบัตรหรือตราตั้งจะโดนถอดออกจากกรอบ แล้วก็เสียบเอาไว้ในสมุดเล่มใหญ่ ๆ กันยับเท่านั้น เพราะเบื่อตรงที่มีตำแหน่งมาก พอถึงเวลาแล้ว ตรงโน้นอันหนึ่ง ตรงนี้อันหนึ่ง เกะกะไปหมด..!

แต่ว่าบางท่านไม่ใช่เช่นนั้น เข้าไปในวัดจะเจอรูปเต็มวัดไปหมด พูดง่าย ๆ ว่าติดเสียทุกเสา เสาละหลาย ๆ รูป จน
กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบไว้ว่า "เหมือนอย่างกับหมา เวลาไปไหนก็ยกขาเยี่ยวรดไว้ ให้เขารู้ว่ากูผ่านมาตรงนี้แล้ว กูเป็นเจ้าของพื้นที่ตรงนี้" ซึ่งการพูดแบบนี้ก็แรงเกินไป แต่เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ ว่า ถ้าเราไม่ยินดียินร้าย ก็ยังคงทำตนเป็นปกติ แต่ถ้ายินดียินร้าย ก็จะมีการแสดงออกที่ค่อนข้างจะ "เว่อร์วังอลังการ" ตามภาษาวัยรุ่น

บางคนก็เหมือนอย่างกับว่าเพิ่มระดับของตนเองขึ้นไป ไปใช้ข้าวของที่ราคาแพง ๆ ซึ่งมีแต่จะทำให้ห่างไกลจากญาติโยมหนักเข้าไปอีก เพราะว่าโยมส่วนหนึ่งก็จะไม่กล้าเข้าใกล้ ประมาณว่า "สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว" เป็นต้น ตรงจุดนี้นอกจากทำให้ตัวเราเสื่อมแล้ว ยังทำให้พุทธศาสนาเสื่อมลงไปอีกด้วย

จึงเป็นเรื่องที่พระภิกษุสามเณรของเราต้องพึงสังวรไว้ให้มาก ไม่ว่ายศตำแหน่งจะมากแค่ไหน จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม หน้าที่หลักของท่านก็คือปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อขัดเกลาตนเอง ให้ กาย วาจา ใจ ของเรา เบาบางจากกิเลสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าสามารถขัดเกลาจนกิเลสหมดสิ้นไปได้ก็ยิ่งดี ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปหลงยึดกับวัตถุภายนอก แล้วก็มาสร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนา

วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมที่ฟังอยู่ ที่พลอยได้รับการบอกกล่าวไปด้วยแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2022 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว