#1
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๕
ปกิณกธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง ด้วยความที่เป็นวัดปฏิบัติธรรม ก็เลยไม่จำเป็นที่ต้องไปหลบ ๆ ซ่อน ๆ ใครทำอะไรได้ก็รู้กันหมด เพราะฉะนั้น...ญาติโยมไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมสมัยนี้ลูกศิษย์หลวงพ่อเดียวกัน ไม่ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหน ถึงเวลามีงานมีการมีอะไร ต้องเรียกวัดท่าขนุนไป เพราะเขารู้กันมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วว่า แต่ละคนใครฝีมือระดับไหน
มีโยมอยู่คนหนึ่ง ก็คือคุณป้าเอี่ยมศรี อ่อนคำ พวกเราเรียกกันสั้น ๆ ว่า ป้าเอี่ยมบ้าง ยายเอี่ยมบ้าง ยายเอี่ยมเป็นคนที่เคารพเลื่อมใสในหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นอย่างมาก ติดตามมาตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อท่านยังอยู่วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท เมื่อหลวงพ่อท่านย้ายมาอยู่วัดท่าซุง ก็ตามมาเฝ้าวัดให้ ด้วยความที่การอยู่วัดก็คือความศรัทธาเฉพาะตน จะอยู่จะกินอย่างไรก็แล้วแต่ว่ามีมากน้อยแค่ไหน คราวนี้พวกเรามีค่านิยมอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า อย่างน้อย ๆ ก็ให้ได้ถวายสังฆทานกับหลวงพ่อท่านบ้าง อย่างกระผม/อาตมภาพสมัยนั้น ออกกิจนิมนต์ได้มา ๑๐ บาท ๒๐ บาท เก็บรวบรวมเอาไว้ ถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ป้าเอี่ยมก็น่าจะอยู่ในลักษณะว่าอยากจะถวายสังฆทานบ้าง แต่ไม่มีเงิน เพราะว่าอยู่วัดก็ไม่มีเงินเดือนอะไร ทำงานวัดแลกข้าวก้นบาตรไป พูดง่าย ๆ ก็คือว่าทำงานเต็มที่ แต่กินแค่วันละ ๒ มื้อเหมือนกับพระ วันดีคืนดีป้าเอี่ยมก็เดินมาหา บอก "หลวงพี่..ขอหวยสักตัวสิ" อาตมาเป็นคนไม่เล่นหวย ก็เลยถามว่า "ตัวเดียวไปเล่นได้อย่างไรวะ ?" เขาบอกว่า "เล่นได้" "เอ้า..เล่นได้ก็เล่นได้..แล้วป้าจะเอาเงินไปทำอะไร ?" "อยากจะถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ" เพิ่งจะรู้วัตถุประสงค์การเล่นหวย เล่นเพื่อถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ..!! ก็เห็นว่า "เอ้า..พอได้อยู่" ก็เลยให้แกไป ปรากฏว่าพอหลังวันหวยออก ป้าเอี่ยมแกมากับพรรคพวก ๔ - ๕ คน มากราบขอบคุณที่ให้หวยไป ถามว่า "ถวายสังฆทานกับหลวงพ่อหรือยัง ?" บอก "ถวายหมดแล้ว" "ได้มาเท่าไร ?" "ได้มา ๖๐๐" ไม่รู้เขาเล่นอย่างไรนะ เขาบอกว่าได้ ๖๐๐ ถวายสังฆทานหมดแล้ว อาตมาก็เลยปากคัน ถามว่า "งวดหน้าเอาไหม ?" ป้าเอี่ยมบอก "ถ้าได้ก็ดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2022 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ปรากฏว่าหลังหวยงวดต่อไป คนมากันเป็นสิบเลย สอบถามดู ปรากฏว่าเจ้าพวกนี้นกรู้ ถ้าใครถูกหวยก็จะคอยจ้องอยู่ พอถูกซ้ำงวดที่ ๒ ก็แน่ใจว่าจะต้องได้เลขดีมาจากไหนแน่ จึงตามมาเสียบานเลย เอาเงินมาถวาย แม้ว่าจะไม่มากก็เถอะ
อาตมาก็แซวว่า "เฮ้ย...มากันเยอะขนาดนี้ งวดต่อไปต้องชักเปอร์เซ็นต์แล้วนะ" ปากเสียแค่นั้นแหละ...เรียบร้อย ลงอุโบสถงวดนั้นก็เหมือนกับวันนี้แหละ วันนี้ขึ้น ๑๕ ค่ำ พระต้องลงโบสถ์ฟังพระปาฏิโมกข์ หลวงพ่อวัดท่าซุงประกาศชัดกลางโบสถ์เลย "ต่อไปแกห้ามให้หวยอีกเด็ดขาด รู้ ๆ อยู่ แล้วไปให้เขา ข้าถือว่าแกไปปล้นเขา เพราะฉะนั้น...เดี๋ยวพ่อปรับอาบัติปาราชิกเลย..!" โอ้...พระเจ้า เล่นจะเอาไม่ให้เป็นพระกันเลย อาตมาโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านห้ามให้หวย หมดความสนุกไปเยอะ อาตมาโดนห้ามอยู่คนเดียวทั้งวัด มี ๒ เรื่อง เรื่องแรกก็คือห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหน อีกเรื่องหนึ่งก็คือห้ามให้หวย ตอนแรกก็สงสัย "ห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหน ก็หลวงพ่ออุตส่าห์สอนมโนมยิทธิให้พวกผมมา เพื่อที่จะรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แล้วห้ามทำไมครับ ?" ท่านบอกว่า "แกไปดูในมหากัมมวิภังคสูตรด้วย" "ถ้าหากว่าพ่อแม่เขาทำความดีมาทั้งชีวิต แกเห็นว่าตายแล้วตกนรก แล้วไปบอกลูกหลานเขา แกคิดว่าลูกหลานเขาจะทำความดีต่อไปไหม ? แล้วถ้าพ่อแม่ชั่วมาทั้งชีวิต แล้วแกบอกว่าได้ขึ้นสวรรค์ ก็ฉิบหายแหละ ไอ้ตระกูลนั้นก็ทำชั่วกันหมด..!" อาตมาก็เลยต้องไปเปิดพระไตรปิฎก ปรากฏว่าในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า โยคีบุคคลผู้ตั้งใจเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ ยังทิพจักขุญาณอันบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้น สามารถรู้เห็นนรกสวรรค์ได้ แล้วกล่าวว่า บุคคลผู้ทำความดีไปสวรรค์โดยส่วนเดียว บุคคลผู้ทำความชั่วไปนรกโดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่ บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน มีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปสุคติ บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ไปทุคติแน่นอน บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปทุคติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2022 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าอดีตเคยดี แต่ปัจจุบันชั่ว เราเห็นแต่ตอนเขาชั่ว แต่บังเอิญว่าตอนจะตาย ความดีมาสนองก่อนตายนิดเดียวแบบสุปติฏฐิตเทพบุตร ชั่วมาทั้งชีวิต แต่ตายแล้วไปดี แล้วขณะเดียวกันก็เหมือนอย่างนางมัลลิกาเทวี ทำความดีมาทั้งชีวิต ก่อนตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียว..ลงนรก..!
เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าเราไปยืนยันว่าคนทำดีตลอดชีวิตอย่างที่เห็นแล้วไปดี..ย่อมไม่ใช่ เพราะว่าในอดีตเขาอาจจะเคยทำชั่วมาก่อน แล้วกรรมชั่วมาสนองพอดี ส่วนคนที่ทำชั่วมาทั้งชีวิต ยังอุตส่าห์ได้รับเลือกเป็น ส.ส. ไม่ใช่...คนละเรื่องกัน..! เรื่องนี้หยุด..ไม่พูดถึง บุคคลที่ทำความชั่วมาทั้งชีวิต แต่กลับได้ดี ถ้าหากว่าเราไปพยากรณ์ ลูกหลานเขาก็เห็นว่าญาติพี่น้องตัวเองไม่เคยทำความดี แต่ตายแล้วไปดี คนทั่วไปก็รับไม่ได้ ส่วนไอ้ลูกหลานก็คะนอง ทำชั่วมาทั้งชีวิตแล้วไปดี กูก็ชั่วบ้างสิ เพราะฉะนั้น...ท่านก็เลยต้องสั่งห้าม แต่มีบางรายที่ญาติโยมถามแล้วกระผม/อาตมภาพบอกไป ตรงนี้ไม่ใช่ว่ากระผม/อาตมภาพบอกเอง เพราะว่ารับปากหลวงพ่อไว้แล้วว่าไม่บอก แต่บังเอิญตอนถาม คนตายมายืนอยู่ตรงนั้น ขอให้ช่วยบอกอย่างนี้อย่างนี้หน่อย คนตายเขาขอร้อง ก็เลยบอกไปตามที่คนตายขอ อันนี้ไม่เกี่ยวกันนะ หลวงพ่อท่านห้ามตะเกียกตะกายไปบอกเอง ใช่หรือเปล่า ? เดี๋ยวคืนนี้ก็หัวแตกอีก...! ดังนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราฝึกปฏิบัติไป เกิดทิพจักขุญาณขึ้นมา แล้วจัดการไม่ดี จัดการไม่ถูก บางทีก็อาจจะเดือดร้อนกว่าที่คิด ดีไม่ดีก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาไปเลย คนที่ได้ทิพจักขุญาณแล้ว ส่วนที่จำเป็นต้องได้ และจำเป็นต้องมีก็คือ ต้องรู้ว่าเรื่องนี้พูดได้เท่าไร บอกได้เท่าไร โดยเฉพาะพระที่ท่านเป็นปฏิสัมภิทาญาณ ท่านจะรู้ว่าบอกเท่าไรคนจะรู้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องบอกให้ชัด แต่ว่าตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเล่าประวัติเอาไว้ ก็มี "ไอ้พวกแสนรู้" ไปขยายประวัติ ฟันธงตูมเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าเคยเกิดเป็นในหลวงรัชกาลที่ ๕ มารดามึงเถอะ...! มาตรา ๑๑๒ รออยู่ เขาเรียกว่าโง่แล้วเสือกอวดฉลาด...! ไม่จำเป็นต้องให้มึงบอก คนอื่นเขาก็พอเดาได้ ดังนั้น...ในเรื่องของการรู้แล้วพูดได้แค่ไหน พระที่ท่านรู้จริง ท่านจะรู้ตรงนี้ด้วย ส่วนประเภทรู้แล้วเพ้อเจ้อไปเรื่อย ประมาณ "ปากไม่มีหูรูด" ถ้าลักษณะอย่างนั้น ก็ไม่แน่ว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง ถ้าจิตของเราสงบแล้ว ญาณคือเครื่องรู้ปรากฏขึ้น จะเหมือนกับคนที่ฉลาดมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถจับแพะชนแกะออกมาเป็นสมเสร็จได้ เพราะว่าสามารถยกเหตุยกผล ดึงกันเข้ามาเป็นเรื่องเดียวกันได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-04-2022 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
(โยมช่วยกันยกพระพุทธรูปมาเข้าพิธี)
ยกดี ๆ เดี๋ยวโดนทับตาย แข็งแรงพอหรือเปล่า ? องค์นี้หลวงพ่อยกคนเดียวนะ..! เล่นยกกัน ๓ คน แสดงว่ายังแก่ไม่พอ ต้องรอให้แข็งแรงกว่านี้ก่อน เดี๋ยวอายุ ๖๓ ปีแล้วจะแข็งแรงเท่าหลวงพ่อเอง..! อาตมาก็แปลกใจ ทำไมคนอื่นยกอะไรลำบากกันแท้ ของเราแค่ตอนเพิ่งจะวัยรุ่น แบกข้าวสารกระสอบละ ๑๐๐ กิโลกรัมได้สบายมาก สมัยนี้เหลือกระสอบละ ๒๐ กิโลกรัมบ้าง กระสอบละ ๑๐ กิโลกรัมบ้าง ความแข็งแรงหายไปไหนกันหมด ? ก็คงประมาณที่อาตมาถือพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ก็หยิบ ก็จับ ก็ถือตามปกติ คนอื่นขอลองน้ำหนักหน่อย จับปุ๊บเกือบหลุดมือ..! ได้แต่ถอนใจว่าหนักตรงไหนวะ ? ใครเคยลองน้ำหนักพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชมาบ้าง ? ในโลกนี้มีแค่ ๘๔ เล่ม ไม่ต้องไปหา..อาตมาถวายสหธรรมิกไป ๒ เล่มก็คือพระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม หรือหลวงพ่อนิล ๑ เล่ม แล้วก็ท่านเจ้าคุณไพโรจน์ วัดห้วยมงคลเล่มหนึ่ง ที่เหลืออีก ๘๒ เล่ม โดนญาติโยมบูชาไปเกลี้ยงแล้ว สร้างได้แค่นั้นแหละ วัสดุไม่พอ โลหะอาถรรพ์ที่สะสมมาตลอดทั้งชีวิตใส่ลงไปเกลี้ยงเลย เมื่อมาหลอมมีดหมอรุ่นหลัง ๆ ต้องใช้วิธีเอาเศษโลหะที่เหลือจากรุ่นนี้มาหลอมแทน อ้าวไปไกลแล้ว...พูดถึงทิพจักขุญาณออกไปเรื่องสร้างมีดหมอเสียนี่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2022 เมื่อ 01:23 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
การที่เราหลอมวัตถุมงคลด้วยโลหะชนวนมาก ๆ ถ้าไม่ได้เตาหลอมความดันสูง อุณหภูมิสูงจริง ๆ เนื้อโลหะจะไม่เข้ากัน เมื่อถึงเวลาตีขึ้นรูป จะมีแตก มีร้าวเป็นปกติ ก็เลยทำให้สร้างได้ยากมาก แต่ก็เป็นเรื่องแปลกอีก เขามีค่านิยมอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าหากว่ามีดหมอมีรอยร้าว รอยแตก รอยรานอยู่ในใบมีด เขาถือว่าขลังมาก ขลังขนาดดันใบมีดตัวเองแตกเลย..! ก็ดีเหมือนกันนะ
อาตมภาพมีมีดหมอเทพศาสตราวุธของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ใบมีด ๑๑ นิ้วอยู่เล่มหนึ่ง มีรอยแตก คนเขาให้ราคามาสามแสนบาท ยังนั่งมองอยู่ว่า เกิดมายังไม่เคยเจอมีดหมอเล่มไหนสวยเท่าเล่มนี้ จึงขอเก็บไว้ก่อน ส่วนเล่ม ๕ นิ้ว สวยที่สุด ว่าจะถวายกรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร อุตส่าห์พกไปเข้าเฝ้าด้วย ปรากฏว่าพระองค์ท่านไม่ได้ตรัสอะไรด้วยสักคำ ประเคนผ้าไตรแล้วก็เสด็จเลยไป ในเมื่อไม่ตรัสสักคำ ถือว่าไม่มีเหตุ จึงถวายไม่ได้ ต้องเก็บไว้ใช้เองต่อไป ล้วงออกมาให้ดู ลูกศิษย์ทำตาเหลือก..! "พกไอ้นี่เข้าเฝ้าหรือครับ ?" "เออ...ก็เครื่องตรวจไม่ร้องนี่หว่า..!" ที่ตลกกว่านั้นก็คือตอนไปเนปาล เดินผ่านเครื่องตรวจร้อง ตี๊ด ๆ ๆ เขาเรียกกลับมา "มีอะไรเป็นโลหะ เอาออกมาให้หมด" ปลดวัตถุมงคลรอบตัวลงมาเป็นถาดเลย เจ้าหน้าที่ถือเดินผ่านเครื่อง...เงียบ เดินผ่าน...เงียบ พอตัวอาตมภาพเดินผ่านเอง...ดังอีก..! ค้นไปค้นมา ท้ายสุดเป็นซองยาอม เหลืออยู่ ๒ เม็ด ไอ้ลูกศิษย์ตัวดียัดใส่กระเป๋ามาให้ เพราะเห็นว่าพระอาจารย์เจ็บคอ ดันเป็นซองเคลือบโลหะ ไม่เคยผ่านพิธีมาก่อน พอเขากรีดผ่านเครื่อง เสียงร้องลั่นเลย เจ้าหน้าที่หัวเราะกันเฮฮา แต่ว่าเขาโง่ไปหน่อย ลืมไปว่าทั้งถาดนั่นโลหะทั้งนั้น แต่ทำไมถึงไม่ดัง ? อันนั้นเป็นความโง่ของเขาเอง ปล่อยไป..เราก็ไม่ไปบอกเขาหรอก ขืนบอกเดี๋ยวโดนขอหมดถาด..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2022 เมื่อ 01:28 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
สำหรับการปฏิบัติธรรมของเราวันนี้ก็เหลืออีกเพียงครึ่งวัน จริง ๆ แล้วก็ไม่ถึงครึ่งวันหรอก เพราะว่าเราปฏิบัติกันแค่บ่ายสามโมงก็เลิกแล้ว ส่วนพระเราก็น่าจะได้แค่เดินจงกรมรอบเดียว เดินจงกรมเสร็จก็ไปลงโบสถ์ฟังพระปาฏิโมกข์กัน เป็นการทบทวนศีลพระ กว่าจะออกมาเข้าปฏิบัติใหม่ก็คงช่วงเป็นท้าย ๆ เพราะว่าคงจะใกล้บ่ายสามโมงแล้ว
พรุ่งนี้พวกเราปฏิบัติธรรมกันตอนเช้านิดเดียวก็เตรียมเดินทางกลับ ถ้าปล่อยให้กลับสาย พรุ่งนี้นั่งร้องไห้กันแน่..! เพราะว่ารถทุกคันจะประดังกันเข้ากรุงเทพฯ เราต้องรีบปิดรีบไป อย่าให้สายมาก เดินทางกลับต้องให้เข้ากรุงเทพฯ ก่อนบ่ายสองโมง ถึงจะปลอดภัย หลังบ่ายสองโมงไปแล้ว สายใต้นี่จากเพชรเกษมแห่กันขึ้นมา จะมาประเดประดังแถว ๆ ที่เขาเรียกว่า "หนองตะแคง" ก่อนแยกลาดปลาเค้า นครปฐมโน่น เพราะว่ามีทั้งสายตะวันตกของกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี แล้วก็สายใต้ ตั้งแต่เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ลงไปยันสุไหงโกลก จะมาชนกันตรงนั้นพอดี ส่วนสายเหนือก็ไม่ต้องห่วง น่าจะติดเลยวังน้อยไปอีก ขออภัย...บอกว่าวังน้อย บางคนนึกภาพไม่ออก เอาเป็นว่าติดเลยรังสิตไปอีก ส่วนทางด้านมิตรภาพ ปกติก็ติดยันแก่งคอยอยู่แล้ว "แก่งคอย"นี่สมัยก่อนเขาเรียกว่า "แร้งคอย" ฟังแล้วไม่เป็นมงคล เขาเลยเปลี่ยนเป็นแก่งคอย ที่บอกว่าแร้งคอย เพราะว่าเป็นปากทางเข้าออกดงพญาเย็น สมัยนั้นถ้าข้าราชการจะไปรับราชการทางอีสาน ต้องผ่าน "ดงพญาเย็น" เขาให้ติดหม้อใหม่ไปด้วย หม้อใหม่ก็คือหม้อดินที่ไม่เคยใช้งาน เก็บเอาไว้อยู่ใกล้ ๆ ตัว ถ้าตายแล้ว คนเขาเผาจะได้เอากระดูกใส่หม้อดินส่งกลับมา แถวตรงสถานีรถไฟแก่งคอย ก่อนหน้านี้จึงชื่อว่าแร้งคอย อีแร้งมารอกินศพอยู่ตรงแถวนั้น ปัจจุบันนี้ชื่อบ้านผ่านเมืองได้เปลี่ยนไปเยอะมาก สมัยอาตมาเด็ก ๆ ชื่อ "โคกอีหอม" พอแก่ตัวลงมา เปลี่ยนเป็น "ดอนยายหอม" สาว ๆ อยู่ไปนาน ๆ แก่ตัวเข้าก็เลยกลายเป็นยาย..! ทางด้านประเวศ ลาดกระบัง เขามี "คลองไอ้โส" สมัยนี้เปลี่ยนเป็น "คลองตาโส" ก็พอกันนั่นแหละ สมัยหนุ่ม ๆ ก็ยังเป็นไอ้โส ผ่านไปห้าหกสิบปี แก่แล้วเลยกลายเป็นคลองตาโส ยังดีที่ไม่เรียกว่า "คลองปู่โส"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2022 เมื่อ 01:33 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้ารู้จักพิจารณา เราก็จะเห็นอนิจจัง คือความไม่เที่ยง เป็นปกติธรรมดาของโลก พระพุทธเจ้าทรงตรัสยืนยันไว้ในบทธัมมนิยามปริตร
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจะอุบัติขึ้นก็ดี อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง หรือว่าไม่อุบัติขึ้นก็ดี ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธรรมทั้งหลายก็ตั้งมั่นทรงตัวอย่างนั้นอยู่แล้ว ธัมมะนิยามะตา คำจำกัดความของคำเหล่านี้คือ สัพเพ สังขารา อนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารนี่หมายถึงทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ดูศาลาหลังใหญ่ ๆ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ค่อย ๆ เก่า เดี๋ยวก็พังไปหมด สัพเพ สังขารา ทุกขาติ สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ เรือนชานบ้านช่อง ภูเขา รถยนต์ เป็นทุกข์อย่างไร ? เป็นทุกข์ตามสภาพที่ก้าวไปสู่ความพังอยู่เสมอ เขาเรียกสภาวทุกข์ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ธรรมทั้งหลาย ก็คือสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่มีอะไรยึดมั่นเป็นตัวตนเราเขาได้ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติฯ จนกระทั่งตถาคตบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2022 เมื่อ 01:35 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีเป็นปกติ แต่ไม่มีใครเห็น จนกระทั่งพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ จึงนำมาบัญญัติ นำมาก่อตั้ง ก็คือเห็นอยู่อย่างนั้น ก็เลยเอามาจัด เอามาเรียง ทำให้เข้าใจได้ง่ายหน่อย วิวะระติ วิภัชชะติ นำมาจำแนก นำมาแยกแยะ อุตตานีกะโรติ ทำของลึกให้ตื้น ก็คือทำของยาก ๆ ให้ง่ายหน่อย จะได้ปฏิบัติกันถูก เราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ฉะนั้น...อย่าไปยึดถืออะไรมากนัก มีก็ใช้ไป มีน้อยก็ใช้น้อย ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง มีมากก็ใช้มาก ถ้ายังเหลือก็แบ่งปันคนอื่นเขา สร้างบุญสร้างบารมีเอาไว้ ถ้าหากว่ายังไม่หลุดพ้นจากกองทุกข์ อย่างน้อยผลบุญก็ช่วยให้เราประสบแต่สิ่งที่ดี ๆ ให้ทาน เกิดมาใหม่ก็จะมีฐานะมั่นคง เจริญ ร่ำรวย รักษาศีล เกิดมาก็เป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ มีหน้าตาสวยงาม มีจิตใจดีงาม เจริญภาวนา เกิดมาก็มีปัญญามาก จะเรียนอะไรก็ง่ายไปหมด มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็แก้ไขได้ง่าย ๆ ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคเพื่อผล ก็สามารถที่จะบรรลุมรรคผลอย่างที่ต้องการได้ เพราะฉะนั้น...บุญจึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เพราะว่าจะก่อให้เกิดเฉพาะสิ่งที่ดี ๆ เท่านั้น เพียงแต่เราสร้างบุญกับบาปปนกันไปปนกันมา ก็เลยดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่เวรแต่กรรม เดี๋ยวเรามาสร้างความดีกันต่อ ตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานกันนะ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ปกิณกธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2022 เมื่อ 01:37 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|